พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 106 ผู้ต้องสงสัย
ไม่เพียงแค่นางเท่านั้นที่ตกตะลึง สีหน้าของเหยียนหรูชิงเองก็ตกอยู่ในอาการพูดอะไรไม่ออก สายตาของเขาไปตกอยู่ที่จ้านถิงเฟิงรัชทายาทองค์ปัจจุบันที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือสุด
จ้านถิงเฟิงสวมใส่ชุดสีทอง ศีรษะของเขาประดับมงกุฎที่ดูแตกต่างจากเครื่องประดับที่สวมใส่ทั่วๆ ไป แต่หากลองสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าโมเสกที่อยู่บนมงกุฎทองของเขาที่เป็นสีฟ้าบ้าง ทองบ้าง แดงบ้างล้วนเป็นของที่มีมูลค่าสูง
โมรา เปลือกมุก มรกต เทอร์ควอยซ์ และพลอยตาแมว
และคงกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีฐานะสูงส่ง เพราะแม้แต่เข็มขัดสีแดงของเขายังสลักลวดลายด้วยทอง
องค์รัชทายาททั้งคนมาที่วัดแห่งหนึ่งโดยที่ไม่มีกิจอะไร แถมยังพาเด็กรับใช้มาเพียงคนเดียว เหตุการณ์เช่นนี้คล้ายเป็นเหตุการณ์หวังผลบางประการที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในหัวของเฟิ่งชิงหัวปรากฎฉากที่คุณชายผู้ร่ำรวยแอบนัดพบกับสาวชาวบ้าน หลังจากนั้นก็ทำร้ายนางอย่างน่าอนาจใจ
เมื่อนึกภาพร่างที่ขึ้นอืดแล้ว แต่ยังคงพอเห็นใบหน้าของนางได้อย่างคุลมเครือแล้ว ก็พบว่านางเป็นคนที่หน้าตาไม่เลว ดังนั้นความเป็นไปได้นี้จึงมีสูงมาก
ด้านข้างของจ้านถิงเฟิงคือเนี่ยหานซิงซื่อจื่อแห่งจวนเจ้าผู้อารักขา ผู้ที่ติดตามเขามาด้วยคือวัยรุ่นคนหนึ่งที่อายุค่อนข้างมากหน่อย ที่มีแววตาล้ำลึก ใบหน้ายู่ยี่ที่เพียงดูแว็บแรกก็รู้แล้วว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่ชอบเที่ยวสตรี
ดวงตาเจ้าชู้ของเขาเวลานี้จ้องอยู่ที่ผู้หญิงที่อยู่ตรงกันข้ามคนหนึ่งอย่างไม่กะพริบตา แววตาของเขาเลื่อนลอยเพียงดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้คิดเรื่องดี
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งถูกสายตาเจ้าชู้เช่นนี้จับจ้อง หากเป็นหญิงสาวทั่วๆ ไปอาจจะร้องไห้ออกมาหรือไม่ก็อายจนหน้าแดงและเอาตัวไปซุกอยู่ด้านหลังไปแล้ว
ทว่าแม่นางทั้งสี่คนนี้สวมใส่ชุดสีขาวทั้งตัวแถมยังใส่หมวกคลุมใบหน้า ในมือยังถือกระบี่เอาไว้ด้วยดวงตาดุดัน สตรีที่เป็นผู้นำบนชุดคลุมของนางยังปักดอกชีซิงเหลียนเอาไว้ ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางมีฐานะที่ต่างจากสตรีที่เหลืออีกสามคน
ส่วนอีกสองกลุุ่มที่เหลือ กลุ่มหนึ่งคือแม่นางดอกบัวขาวที่เฟิ่งชิงหัวเคยเห็นหน้านางมาก่อนที่วังหลวง แต่ได้ลืมชื่อของนางไปแล้ว เลยให้ฉายานางว่าแสงจันทราของท่านอ๋อง
ผู้ที่มากับนางน่าจะเป็นครอบครัวและคนรับใช้ของนาง
เพียงครอบครัวเดียวก็บังเอิญมากแล้ว แต่นี่ยังมีฮูหยินเฉิงเซี่ยงและหนานกงเยว่หลีลูกสาวคนโปรดของนางมาด้วยอีก
สายตาของเฟิ่งชิงหัวตกไปอยู่ที่จ้านถิงเฟิงและหนานกงเยว่หลีสลับกันไปมาอย่างสนอกสนใจ
“เรียกพวกเรามาด้วยเรื่องอะไรกัน! พวกเจ้ามีเวลาว่างมายืนเหม่อลอยตรงนี้ไม่สู้เอาเวลาไปตามจับคนร้ายไม่ดีกว่าหรือ! ยืนมองพวกเราอยู่ตรงนี้จะทำให้รู้หรือว่าใครเป็นคนร้าย” จ้านถิงเฟิงเอ่ยปากออกมาก่อนด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
ตระกูลเหยียนขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีมีความเที่ยงตรงและใจแข็ง และยิ่ง เหยียนหรูชิงก็นับว่าเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงกว่า เขาดูออกแต่แรกแล้วว่าคนผู้นี้คือองค์รัชทายาท เพียงแต่ไม่อยากเอ่ยสถานะของเขาออกมาและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เนื่องจากการที่เชื้อพระวงศ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น คดีนั้นจึงถูกโอนไปให้กรมคลังเป็นผู้สอบสวน ถึงตอนนั้นก็ไมรู้ว่าใครกันที่จะต้องตกเป็นแพะรับบาปแทน
ดังนั้นเหยียนหรูชิงจึงกล่าวเสียงเข้มว่า “เงียบ! ตอนนี้ข้ากำลังสงสัยว่าหนึ่งในพวกท่านนั่นแหละคือคนร้าย ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปจะต้องถูกนำตัวไปไต่สวน หากตอบคำถามไม่ได้จะต้องถูกกุมตัวไปไต่สวนต่อที่ศาลาว่าการพระนคร
ระหว่างที่กล่าวสายตาของเหยียนหรูชิงจ้องไปที่จ้านถิงเฟิงก่อนเป็นคนแรก “มีชื่อแซ่ว่าอะไร รายงานมาเดี๋ยวนี้!”
จ้านถิงเฟิงจ้องเขม็งไปที่ผู้ว่าการศาลาว่าการพระนคร เขาอยากจะฆ่าเขาให้ตายไปให้พ้นเสียเดี๋ยวนี้ เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทจำเป็นต้องรายงานชื่อแซ่ให้รู้ด้วยหรือ
“ว่ามา เป็นใบ้หรืออย่างไร” เฟิ่งชิงหัวที่อยู่อีกด้านหนึ่งกล่าวขึ้นเชิงข่มขวัญ “แม้แต่ชื่อของตัวเองยังไม่กล้ารายงาน คดีนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าแน่ สงสัยต้องกุมตัวไปสอบสวนเสียแล้ว”
จ้านถิงเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น เขาจะยอมไปที่ศาลาว่าการพระนครได้อย่างไร เพราะนั่นจะทำให้เขาต้องขายหน้าเป็นอย่างมากจึงส่งสายตาให้คนรับใช้ของตน