พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 12 ฮองเฮาชักสีหน้า
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 12 ฮองเฮาชักสีหน้า
เฟิ่งชิงหัวเดินทางจากตำหนักของฮ่องเต้เซวียนถ่งไปยังตำหนักบรรทมของฮองเฮาค่อนข้างราบรื่น
นางทำการคำนับฮองเฮาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ถูกฮองเฮาดึงมือทั้งสองข้างอย่างเป็นกันเอง ไล่นางกำนัลทั้งหมดออกไป บอกว่ามีเรื่องส่วนตัวต้องการจะคุยกับนาง
เฟิ่งชิงหัวเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ ฮองเฮาเหนียงเหนียงองค์นี้ เหมือนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเฉิงเซี่ยง เป็นท่านป้าของหนานกงเยว่ลั่ว
หรือว่าท่านป้าคนนี้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับหนานกงเยว่ลั่ว
เรื่องนี้นางไม่เคยได้ยินหนางกงจี๋พูดถึงเลย
ในขณะที่กำลังรู้สึกสงสัย ก็เห็นว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงที่เมื่อครู่ยังแสดงความสนิทสนมรักใคร่ต่อกันอยู่ชักสีหน้าขึ้นมาทันที ปล่อยมือของเฟิ่งชิงหัวและพูดเสียงเย็นว่า
“ท่านอ๋องดีกับเจ้าหรือไม่”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มเย็นในใจ ที่แท้ก็เสแสร้งนี่เอง
“ก็ ก็ดีมาก”เฟิ่งชิงหัวจงใจทำท่าทีอ่อนแอพูดจาตะกุกตะกัก
“เจ้ากล้าโกหกข้าหรือ”ทันใดนั้นฮองเฮาก็พูดด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้น “อ๋องเจ็ดตอนนี้กลายเป็นคนพิการไปแล้ว เขาจะดีกับเจ้าได้อย่างไร หรือว่า ที่แท้ขาของเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย”
เฟิ่งชิงหัวเข้าใจขึ้นมาทันที รู้สึกว่าฮองเฮาคนนี้คิดว่านางเป็นคนอ่อนแอ ใช้วิธีการบังคับเช่นนี้ในการหลอกถามเรื่องของจ้านเป่ยเซียว
โชคดีที่มีใบหน้าที่ดูน่ารังแกนี้ของตนเอง เฟิ่งชิงหัวก้มหน้าแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ท่านอ๋องให้ข้าไปอยู่ที่เรือนด้านข้าง ไม่ ไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อข้า ฮอง ฮองเฮาเหนียงเหนียง อย่าทรงกริ้วเลยเพคะ”
สายตาแหลมคมที่อยู่เหนือศีรษะของนางกำลังมองอย่างวิเคราะห์ ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าสิ่งที่นางพูดนั้นจริงหรือไม่ เฟิ่งชิงหัวตัวสั่นเล็กน้อย สั่นไปทั้งตัว ดูน่าสงสารมาก
ผ่านไปชั่วครู่ ฮองเฮาจึงดึงของเฟิ่งชิงหัวขึ้นมาอย่างสนิทสนมอีกครั้ง เอ่ยปลอบใจว่า “เยว่ลั่ว ที่ป้าดุเจ้าก็เพราะหวังดีกับเจ้า สะใภ้ราชวงศ์ไหนเลยจะเป็นกันได้ง่ายๆ ป้าเกรงว่าเจ้าจะทำเรื่องอะไรผิดพลาดไปแล้วจะทำให้จวนเฉิงเซี่ยงพลอยลำบากไปด้วย ความตั้งใจดีของป้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าขึ้น น้ำตาอาบเต็มใบหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ พยักหน้าติดๆกัน ใช้มือเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “เยว่ลั่วเข้าใจเพคะ ท่านป้าดีกับเยว่ลั่วมาก”
ระหว่างที่เช็ดน้ำตา สายตาก็มองไปยังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเป็นระยะ
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้หญิงที่ได้เป็นถึงฮองเฮา ดูแลตนเองได้ดีมากเป็นพิเศษ ดูหน้าตาแล้วรู้สึกว่ามีอายุยี่สิบนิดๆเท่านั้น ที่จริงนางเป็นผู้หญิงที่มีอายุสี่สิบกว่าแล้ว ลูกชายตนเองยังเป็นถึงรัชทายาท จะบอกว่าเป็นผู้หญิงที่มีศักดิ์สูงสุดในใต้หล้านี้ก็ไม่เกินไป
เมื่อผู้หญิงคนนี้เห็นว่าหลานสาวของตนเองร้องไห้เสียใจมาก ก็ไม่ได้ปลอบใจอะไร แต่รอให้นางร้องไห้จนพอสมควรแล้วจึงเอ่ยต่อว่า “เยว่ลั่ว หลังจากที่อ๋องเจ็ดได้รับบาดเจ็บจากสนามรบนิสัยก็เปลี่ยนไปมาก วันหน้าเจ้าคงต้องได้รับความลำบากไม่น้อย ถ้าหากรู้สึกไม่สบายใจ ก็มาพูดกับป้า อย่าได้เก็บเอาไว้คนเดียวอย่างเด็ดขาด รู้หรือไม่”
“อืม เยว่ลั่วทราบแล้วเพคะ”
“ถ้าหากจวนอ๋องเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น หรือว่าอาการป่วยของท่านอ๋องมีการเปลี่ยนแปลงไป จำไว้ว่าต้องมาบอกให้ป้ารู้ เข้าใจหรือไม่”
ฮองเฮาเกลี้ยกล่อม
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้ารับ ใช้แขนเสื้อบดบังดวงตาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยแววดูถูก
ฮองเฮาคนนี้คงคิดว่าหนานกงเยว่ลั่วโง่มาก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจะให้นางเป็นสายสืบในจวนอ๋อง นางกังวลว่าอาการป่วยของจ้านเป่ยเซียวนั้นจะเป็นเรื่องโกหก และจะขัดขวางเส้นทางของลูกชายนาง
ฮองเฮาได้ส่งป้ายสีทองให้กับเฟิ่งชิงหัว สีหน้ายิ่งแสดงถึงความรักและเมตตา “วันหน้าก็เข้าวังมาหาป้าบ่อยๆนะ”
เฟิ่งชิงหัวเดินตามขันทีที่นำทางออกมาจากห้องบรรทมในวังหลังของฮองเฮา พลางเดินพลางก็จับป้ายคำสั่งที่อยู่ในมือใต้แขนเสื้อเล่น ความคิดยังคงวนเวียนไปมา
จ้านเป่ยเซียวเป็นถึงขนาดนี้แล้วยังสามารถทำให้ฮองเฮารู้สึกกลัวได้ เห็นทีตำแหน่งรัชทายาทก็ไม่ได้มั่นคงขนาดนั้น
แต่หลังจากผ่านเรื่องนี้ เฟิ่งชิงหัวกลับพบข้อสงสัยเล็กน้อย
ที่หนานกงจี๋ให้นางปลอมตัวมาแทนหนานกงเยว่ลั่ว ก็เพราะเกรงว่าลูกสาวตนเองจะตาย แต่ฮองเฮากลับใช้นางเป็นหูเป็นตา นี่มันน่าประหลาดใจมาก
หรือนางจะไม่เป็นห่วงเลยว่าหากสายสืบของนางถูกเปิดโปงแล้วจะทำให้จวนเฉิงเซี่ยงเดือดร้อนไปด้วย