พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 130 ทั้งสองเข้ากันได้
หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวเดินเล่นในสวนใหม่เป็นเวลาหนึ่งวันแล้ว ในตอนกลางคืน จ้านเป่ยเซียวก็ส่งคนไปเรียกนางเพื่อเริ่มคัดลอกกฎของตระกูล
เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะกลอกตา คำนวณที่ยังขาดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ และมือไพล่หลังค่อยๆ เดินไปที่ลานเรือนของจ้านเป่ยเซียว
ยังไม่เข้าประตู ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ฟังจนหญิงสาวอย่างเฟิ่งชิงหัวก็ทนฟังไม่ได้
บวกกับความจริงที่ว่าเสียงนั้นยังค่อนข้างคุ้นเคย เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะมองดีๆ
เห็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งคุกเข่าข้างรถเข็นของจ้านเป่ยเซียวและดึงชายเสื้อผ้าของเขา เสื้อผ้าบนตัวนางขาดหลุดลุ่ยและไม่เรียบร้อย แต่มองได้ลางๆว่าเป็นชุดจากราชวัง
จนกระทั่งเฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ข้างๆและได้ยินสิ่งที่นางพูด นางจึงจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร คือองค์หญิงเหออานนั่นเองที่ถูกจ้านเป่ยเซียวกักขังอยู่จวนอ๋องเมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อ “ฟื้นฟูกฎตะกูล”
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้นางยังอยู่ในจวนอ๋อง ดูจากรูปโฉมของนาง ช่วงนี้น่าจะแย่ทีเดียว
“เสด็จพี่ เหออานรู้แล้วว่าข้าผิดไปแล้ว ท่านยกโทษให้ข้าเถอะ ข้าสาบานว่าข้าจะไม่สร้างปัญหาในจวนของท่านอีก โปรดปล่อยข้ากลับราชวังเถอะ ข้าคิดถึงเสร็จพ่อ เมื่อคืนข้าฝันถึงเสร็จพ่อเรียกข้าไปเล่านิทานให้เสร็จพ่อฟัง และเมื่อข้าตื่น ข้าได้ร้องไห้ทั้งวัน ดูข้าตอนนี้สิ ข้ารู้แล้วว่าข้าผิดไปแล้ว” องค์หญิงเหออานจับชายเสื้อจ้านเป่ยเซียว และพูดอย่างสถานะต่ำต้อยมาก
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เหออานใช้ชีวิตแบบตายไปดีกว่ามีชีวิตอยู่
นางกำนัลและขันทีที่มาด้วยถูกคนในจวนอ๋องไล่ออกไปทั้งหมด เหตุผลก็คือจวนอ๋องไม่เลี้ยงดูคนเกียจคร้าน
มีเพียงเหออานเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในจวนอ๋อง ตอนกลางวัน ได้ใช้ทุกวิธีทางในการคัดลอกกฎของตระกูลจากเศษชิ้นกระดาษที่ปะติดปะต่อ เมื่อหิว มีเพียงซาลาเปาเย็นสองลูกและผักดอง เดิมทีนางไม่อยากกินและโยนมันทิ้ง แต่ต่อมาเพิ่งรู้ว่าซาลาเปาสองลูกเป็นอาหารของทั้งวัน เวลาหิว นางอยากจะเลียชามผักดองด้วยซ้ำ
ตอนกลางคืน ได้แต่นอนในคอกม้า หลับไปโดยได้ลับโดยต้องดมกลิ่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ หลายวันนี้ก็ซีดเซียวมากไม่น้อย
เดิมทีนางคิดว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่จะต้องมารับนางอย่างแน่นอน แต่ใครจะรู้ว่ากลับไม่มีใครกล้ามาจวนอ๋องเพื่อรับนาง นางรู้ว่าเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ และถ้านางไม่ช่วยตนเอง นางอาจจะต้องอยู่อย่างนี้เป็นปีหรือมากกว่านั้น นางจะยอมได้อย่างไร
หลังจากที่ได้ยินว่าท่านอ๋องเจ็ดกลับมาแล้ว เหออานก็รีบไปขอความอภัยจากเขาทันที
ในความเป็นจริง จ้านเป่ยเซียวลืมไปนานแล้วว่ามีคนแบบนี้อยู่ในจวนอ๋อง ถ้าเหออานไม่ได้มาเอง เขาคงจะนึกขึ้นมาไม่ได้ช่วงหนึ่ง
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงหัวมาแล้ว เขาก็เลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “พระชายา เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ องค์หญิงเหออานก็มองไปที่เฟิ่งชิงหัวทันที สายตาของนางเต็มไปด้วยการอ้อนวอน
เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจ นางไม่ได้มีความชอบร้าย ๆ ที่จะทำให้หญิงสาวอับอาย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวได้เรียนรู้บทเรียนแล้ว ไม่จำเป็นต้องสั่งสอนต่อไป
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อองค์หญิงรู้แล้วว่านางผิด งั้นท่านอ๋องก็จะปล่อยนางกลับไปราชวังเถอะเพคะ”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว “คาดไม่ถึงว่าพระชายาจะเป็นคนดีขนาดนี้”
“ข้าไม่กล้าเป็นคนดีหรอก ข้าเป็นคนที่คนอื่นไม่มารุกรานข้า ข้าก็ไม่รุกรานผู้อื่น คนที่องค์หญิงทำให้ขุ่นเคืองใจไม่ใช่ข้า ข้าจึงปล่อยวางได้ง่ายอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เป็นข้าเองที่ทำให้เรื่องใหญ่โตหรือ?” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว สงสัยว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงเริ่มผิดปกติอีกครั้ง แต่นางไม่ใช่คนขี้กลัว ดังนั้นนางจึงพูดตรงๆ ว่า “ท่านอ๋อเป็นคนฉลาดและเก่งกาจ ในเมื่อท่านรู้สึกว่าท่านทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ งั้นก็คงจะเป็นทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เพคะ” ควรจะเอะอะโวยวายอะไรนักหนา” เอาล่ะ”
“ดูเหมือนว่าพระชายาจะเข้าใจข้าเสียจริง”
“เป็นไปได้อย่างไรเพคะ สีหน้ของท่านอ๋องก็เหมือนกับฤดูใบไม้ร่วง เปลี่ยนทุกวัน ข้าจะเข้าใจได้อย่างไรในเมื่อข้ามอไม่ทัน”
องค์หญิงเหออานคุกเข่าอยู่บนพื้นทั้งแบบนี้ สายตาเดี๋ยวมองจ้านเป่ยเซียวเดี๋ยวก็มองเฟิ่งชิงหัว มองดูทั้งสองคนพูดเสียดสีและกลอกตาขาวใส่กันอย่างไร้ความปรานี ในใจตกใจจนไร้คำอธิบาย
นางคิดเสมอมาว่าเฟิ่งชิงหัวสมรสเข้าไปในจวนอ๋องเฉินจะต้องมีชีวิตที่ยากลำบาก เพราะช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หลังจากอาการป่วย นิสัยของเสร็จพี่นั้นเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทนไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนที่ตนเองไม่ชอบ
คาดว่าเฟิ่งชิงหัวจะมีชีวิตที่น่าสังเวช แต่นางคาดไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่นางจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในจวนอ๋องเท่านั้น แต่นางยังกล้าที่จะสนทนาเช่นนี้กับเสร็จพี่อีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากนัก
ถ้าพูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อแน่นอน