พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 135 หอไล่ตามเมฆา
เฟิ่งชิงหัวตบไหล่ของเขา กล่าวด้วยยิ้มตาหยี : “ดีมาก ข้าเอาใจช่วยเจ้า งั้นข้าไปก่อนล่ะ”
อู่ตู๋จื่อกล่าวอย่างนอบน้อม : “อาจารย์ย่าเดินทางปลอดภัย”
เฟิ่งชิงหัวมองงานอีกสองประโยคก่อนจะกระโดดลอยออกจากกำแพง
ลานบ้านที่อู่ตู๋จื่อเลือกนั้นเปลี่ยว แต่มีข้อดีนั่นคือรอบทิศไม่มีบ้านคน เฟิ่งชิงหัวกระโดดกำแพงออกไปไม่ต้องกังวลจะถูกคนพบ
ทว่าเฟิ่งชิงหัวเพิ่งจะกระโดดออกกำแพง องครักษ์ดวงตาดุจคบเพลิงสิบนายปรากฏพร้อมกับต่อหน้านาง
สิบคนตรงหน้านี้ ฝีมือการต่อสู้ไม่อ่อนด้อย ถ้าเข้ามาพร้อมกัน เฟิ่งชิงหัวก็รู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้
“พวกเจ้าเป็นใคร ?”
“พระยาชา ท่านนายเรียนเชิญ”
เฟิ่งชิงหัวก่อนหน้าที่เข้าไปในลานบ้านจากนั้นก็เช็ดการอำพรางใบหน้า ในขณะนี้ยังรักษาใบหน้าหญิงที่แต่งเป็นชายหนานกงเยว่ลั่ว คนเหล่านี้จำนางได้ นางไม่แปลกใจเลยสักนิด
เฟิ่งชิงหัวหรี่ตามองคนเหล่านี้ก่อนกล่าว : “พวกเจ้าเป็นคนของจ้านเป่ยเซียว ?”
นางออกมาได้ไม่นาน ก็ถูกพบแล้ว จ้านเป่ยเซียวมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เก่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“บอกนายท่านของพวกเจ้า ข้ายังมีธุระ ยังมิกลับเร็ว ๆ นี้” เฟิ่งชิงหัวกวาดสายตาเฉียบแหลมมององครักษ์ตรงหน้า
“พระยาชา นายท่านกำชับ จะต้องพาท่านกลับไปให้ได้”
“หากข้าไม่กลับไปเล่า ?”
“นายท่านกล่าวแล้ว หากพระยาชาไม่ให้ความร่วมมือ เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถรักษาคำมั่นสัญญาได้ นอกจากนี้ ทางด้านจวนเฉิงเซี่ยง เขาก็ไม่มีทางที่จะรับรองอะไรได้”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินก็เลือดพุ่ง จ้านเป่ยเซียวผู้นี้ นอกจากอำนาจข่มขู่ก็ไม่มีอะไรแล้ว
ทางด้านจวนเฉิงเซี่ยง สองสามคำนี้หมายถึงอะไร หรือเขารู้อะไร ?
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง : “ไปก็ไป นำทางสิ”
“เชิญพระยาชาขึ้นรถม้า”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวจึงเพิ่งสังเกต หัวมุมตรอกมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่
รอจนเฟิ่งชิงหัวขึ้นรถ รถม้าก็เดินรถระยะหนึ่ง เฟิ่งชิงหัวมองไปยังข้างนอก จึงเพิ่งสัเกต นี่ไม่ใช่ทางไปจวนอ๋อง
“นี่จะไปที่ไหน ?”
“เมื่อถึงแล้วพระยาชาก็จะรู้เอง”
หลังจากผ่านเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา รถม้าก็มาหยุดอยู่ที่ประตูโรงเหล้าแห่งหนึ่ง
เฟิ่งชิงหัวกระโดดลงมาจากรถม้า มองดูป้ายโรงเหล้า “หอไล่ตามเมฆา”
เฟิ่งชิงหัวเคยได้ยินหอไล่ตามเมฆา ผิวเผินเป็นโรงเหล้าที่ใหญ่ที่สุดในนครหลวงจริง ๆ แล้วกลับเป็นจุดติดต่อของหอเงาโลหิต
จ้านเป่ยเซียวอยู่ที่นี่ เป็นเรื่องบังเอิญ หรือมีความหมายลึกซึ้ง เฟิ่งชิงหัวไตร่ตรองในใจ
หอไล่ตามเมฆาพอเห็นชื่อก็ทราบความหมายแฝง หอสูงถึง 12 ชั้น รูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของนักษัตรจีนวางอยู่ที่มุมชายคาของแต่ละชั้น สูงขึ้นไปทีละชั้นดูสง่างามและโดดเด่น
เล่ากันว่าหากยืนอยู่ชั้นสูงสุด ก็จะสามารถกวาดเห็นทิวทัศน์ของกลางพระราชวังได้โดยตรง
แต่ก็เล่ากันว่าเป็นเช่นนั้นเท่านั้น เพราะนับตั้งแต่หลังจากชั้น 7 คนทั่วไปมิสามารถย่างก้าวเข้าไปได้
เฟิ่งชิงหัวยืนมองรอบ ๆ หน้าประตูอยู่เป็นเวลานาน สิบคนข้างหลังยืนมั่งคงอยู่เงียบ ๆ มิได้เร่งรัด และมิได้พูดอะไร คงไว้ซึ่งคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมขององครักษ์
เฟิ่งชิงหัวสาวเท้าก้าวเข้าไป ขณะกำลังจะขึ้นหอ ก็เห็นคนคนหนึ่งกำลังเดินลงมาข้างล่าง เดิมทีราวกับไม่มีใครอื่น ทว่าหลังจากที่เล็งเห็นใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวก็ปีติอย่างมาก : “ท่านอาวุโส ! ท่านนี่เอง !”
เฟิ่งชิงหัวเงยหน้ามอง นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเนี่ยกวางหย่วนที่ไม่เจอเป็นเวลานาน
เฟิ่งชิงหัวก้มหัวเล็กน้อยอย่างเมินเฉยเขา
เนี่ยกวางหย่วนในเวลานี้เพิ่งจะเห็นองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง กล่าวถามด้วยสายตากังวลใจ : “ท่านผู้อาวุโส ท่านไม่เป็นอะไรนะ ? ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ?”
คาดอย่างมั่นใจว่าเฟิ่งชิงหัวพบกับปัญหา
เฟิ่งชิงหัวตบไหล่ของเขา : “ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแค่เพื่อนข้าให้ข้ามาพูดคุยเรื่องในอดตีก็เท่านั้นเอง”
“ต้องการให้ข้าขึ้นไปพร้อมกับท่านไหม ?” เนี่ยกวางหย่วนกล่าว
“ไม่ต้องหรอก ใช่แล้ว ในเมื่อบังเอิญได้พบเจ้า ก็จะบอกเจ้าไว้ก่อน ข้าได้รับข่าว…” เฟิ่งชิงหัวพูดข้างหูของเนี่ยกวางหย่วนสองประโยค
แววตาของเนี่ยกวางหย่วนตกใจ : “ท่าอาวุโส ข่าวนั้นเป็นจริง ?”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า : “เป็นจริงอย่างแน่นอน ตอนนี้น้องชายข้าถูกข้าส่งให้ไปทำธุระ อีกสามวันจะกลับมา เมื่อถึงเวลาก็จะรู้ละเข้าใจเอง”
“เช่นนั้นข้าของขอบคุณล่าวหน้าสำหรับความเมตาของท่านอาวุโส” เนี่ยกวางหย่วนไหว้อย่างตั้งใจ
“เจ้ามากินข้าวที่นี่ ?” เฟิ่งชิงหัวกวาดตามองชั้นบน
เนี่ยกวางหย่วนได้ยินเช่นนี้ ก็มองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเฟิ่งชิงหัว เอ่ยปากพูด : “ท่านอาวุโส คุยกันลำพังเถิด”
เฟิ่งชิงหัวกวาดตามองคนข้างหลัง คนเหล่านั้นถอยหลังไปสองก้าวทันที ด้วยจิตสำนึก
เนี่ยกวางหย่วนเห็นคนพวกนี้เชื่อฟังเช่นนี้ ก็วางใจ ตราบใดที่คนเหล่านี้น่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโส ดังนั้นก็ยิ่งเคารพชายลึกลับผู้นั้นมากขึ้น
“ท่านอาวุโส เรื่องเป็นเช่นนี้ วันนี้เป็นงานประมูลหนึ่งปีหนึ่งครั้งของฉีเป่าเจทุกปีฉีเป่าเจจะจองพื้นที่บนชั้นเจ็ดของหอไล่ตามเมฆาเพื่อมาจัดประมูล ของประมูลทั้งหมดทั้งสิ้นมิใช่สินค้าธรรมดา อาจจะเป็นหนังสือโบราณเล่มสุดท้ายหรืออาจจะเป็นยาครอบจักรวาลหรือโสมเลือดพันปี ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ต่างทำให้คนบ้าคลั่งได้ ครั้งนี้ข้าได้ยินมาว่าฝ่ายในของหมู่บ้านศัสตราวุธค้นคว้าศัสตราวุธชิ้นหนึ่ง ดังนั้นจึงตั้งใจเร่งมา ตอนนี้ลงมาเพื่อให้คนรับใช้ไปหยิบเงินธนบัตรขอรับ”
ตอนที่ฟังหมู่บ้านศัสตราวุธสีหน้าของเฟิ่งชิงหัวก็เปลี่ยนเป็นใครควรญ กล่าวยิ้ม : “อาวุธของหมู่บ้านศัสตราวุธ เป็นของใหม่ที่ไม่เคยเผยโฉมมาก่อน เจ้าคงมิได้โดนคนหลอกแล้วหรอกหรือ ?”
“ไม่ ๆ ๆ ท่านอาวุโส แต่ไหนแต่ไรฉีเป่าเจไม่เคยล้อเล่น บอกว่าเป็นหมู่บ้านศัสตราวุธ นั่นก็หมายถึงหมู่บ้านศัสตราวุธไม่ผิดแน่ ท่านอาวุโสเองก็สนใจในศัสตราวุธชิ้นนี้หรือ ? ศัสตราวุธชิ้นนี้ในตอนที่ประมูลจะถูกนำออกมาสาธิต หากท่านอาวุโสสนใจ เหตุใดไม่เข้าไปชมพร้อมข้าเล่า ?”
จริง ๆ แล้วเฟิ่งชิงหัวอยากจะไปดู แต่เมื่อคิดว่าจ้านเป่ยเซียวยังอยู่ข้างบนรออยู่ ก็กล่าวว่า : “อีกสักพักข้าจะไป เจ้าไปก่อนเลย”
เนี่ยกวางหย่วนได้ยินเช่นนี้ก็รีบยื่นตัวอย่างตราประทับของตนให้กับเฟิ่งชิงหัว : “ท่านอาวุโส ชั้นที่เจ็ดนั้นไม่เหมือนที่อื่น ในตอนที่ท่านจะเข้าไปสามารถตัวอย่างตราประทับของข้าผ่านเข้าไปได้”
เฟิ่งชิงหัวรับมาตามประสงค์ พยักหน้า ถึงจะเดินหน้าต่อไป
ในใจของเฟิ่งชิงหัวคิดไว้ก่อนแล้ว สามารถสร้างอาคารสูงเช่นนี้กลางนครหลวงโดยไม่ให้ความสำคัญกับอำนาจจักรพรรดิ นอกจากจ้านเป่ยเซียวแล้วไม่มีผู้อื่น คิดว่าที่ที่เขาอยู่คงจะมิต่ำไปกว่าชั้นเจ็ด
เฟิ่งชิงหัวคอยฟังการเคลื่อนไหวของคนเหล่านั้นที่อยู่หลัง เห็นว่าจังหวะฝีเท้าของพวกเขาไม่หยุด นางจึงเดินขึ้นไปอย่างเป็นธรรมชาติ จนถึงชั้นที่สิบสอง สิบคนนั้นถึงเฝ้าอยู่หน้าบันได มิได้เข้ามา
ทั้งชั้นสิบสองกว้างโล่ง ฉากกั้นทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยฉากกั้นสีขาวและม่านผ้าโปร่งเท่านั้น มีกลิ่นสดชื่นจาง ๆ ออกมา
เฟิ่งชิงหัวเดินอยู่ข้างในไปเรื่อย ๆ สุดท้ายหลังฉากกั้นบานหนึ่งก็เห็นชายกำลังนั่งอยู่หน้าที่นั่งดื่มชา
ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำเข้ม ใบหน้าเคร่งขรึม ริมฝีปากเม้มเล็กน้อย หน้ากากบนใบหน้าก็ยิ่งเพิ่มความรู้สึกลึกลับ
เฟิ่งชิงหัวยืนอยู่นอกฉากกั้นมองเขา ชายหนุ่มไม่ส่งเสียง เพียงแค่เคลื่อนไหวมือต่อไป
ล้างผัก ต้มชา มือซ้ายดึงเสื้อคลุมด้านขวา มือถือที่คีบอุ่นถ้วยชา แต่ละการกระทำช่างดูเย่อหยิ่งจองหอง ชัดเจนและสง่างาม แต่เพียงเอ่ยปาก ก็กลับทำลายบรรยากาศ
“ยังไม่เข้ามาอีก”