พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 158 ใครเป็นสายลับสอดแนม
หนานกงจี๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ลังเลขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับฟังที่เฟิ่งชิงหัวกล่าวว่า: “งั้นหากข้าไม่ได้ถูกผงที่อยู่ในห้องลับนั้น ก็หมายความว่าข้าบริสุทธิ์แล้วงั้นสิ?”
“ไม่ผิด แต่เจ้าต้องสัมผัสถูกอย่างแน่นอน! เพราะว่าเจ้าเข้าไปจริงๆ” ฮูหยินใหญ่ดูมีความมั่นใจมาก
ความสัมพันธ์ของเหตุและผลนี้ก็ดุเหมือนว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องระวังร้ายแรงเช่นนี้ แต่เห็นท่าทางที่แน่ใจของฮูหยินใหญ่เช่นนี้แล้ว อาจเป็นไปได้ว่าวงจรสมองของคนโง่แตกต่างจากคนปกติ เฟิ่งชิงหัวก็ขี้เกียจจะไปต่อล้อต่อเถียงกับนาง
เฟิ่งชิงหัวยักไหล่ขึ้น: “ข้าไม่มีความเห็น ยังไงผู้บริสุทธิ์ก็ย่อมบริสุทธิ์อยู่วันยังค่ำ”
ในขณะที่พูดอยู่ นางก็มองมาที่จ้านเป่ยเซียว: “ท่านอ๋อง ท่านไม่มีข้อคิดเห็นใดใช่ไหม?”
“ตอนนี้ยังไม่มี”
ในใจของเฟิ่งชิงหัวได้ยกนิ้วหัวแม่มือให้กับจ้านเป่ยเซียวขึ้นมาหนึ่งอันเลย
คนผู้นี้พูดได้แบบไม่มีช่องโหว่จริงๆ ไม่มีชั่วคราวไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่มีอีก หากผลไม่เป็นที่น่าพอใจ เขาก็ย่อมมีความเห็นอย่างแน่นอน
ช่างเป็นคนที่เล่นกลลวงในราชสำนักจริงๆ เชียว แต่ละคนดูเชี่ยวชาญในการเล่นกล ความคิดชั่วร้ายก็เยอะมากเช่นกัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง เชิญเถอะ?” เฟิ่งชิงหัวทำท่าทางมือไม้ป็นการว่าเชื้อเชิญมาทางหนานกงจี๋
หนานกงจี๋ไม่มีทางเลี่ยง ได้เพียงสะบัดมือขึ้น ให้องครักษ์พวกนั้นถอยออกไป ตัวเองเดินขึ้นมาและเข้าไปในห้องหนังสือก่อนคนแรก จากนั้นฮูหยินใหญ่ก็พุ่งตามเข้ามา ไม่รอให้หนานกงจี๋ได้กระทำการใดก็เปิดกลไกออกทันที เผยให้เห็นห้องลับที่อยู่ใต้ดินออกมา ใบหน้าที่ซีดขาวสลับกันของหนานกงจี๋ก็มองดูอยู่
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยท่าทางแปลกประหลาดใจอย่างเสแสร้ง: “ว้าว คิดไม่ถึงว่านี่จะมีห้องลับจริงๆ นะ”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มอย่างเยือกเย็นออกมา: “เจ้าก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปเถอะ รอจนถึงช่วงต่อไปเจ้าก็ไม่มีทางกลบเกลื่อนความจริงได้แล้ว”
ห้องลับข้างในก็ไม่ได้ใหญ่ เฟิ่งชิงหัวก็ไม่ได้คิดว่าจะมุดเข้าไป จ้านเป่ยเซียวก็ไม่ใช่คนที่ชอบจะออกหน้าออกตาเช่นนั้นแน่นอน ทั้งสองคนก็ยืนอยู่ด้านบนด้วยท่าทีนิ่งๆ เช่นนี้ นี่กลับทำให้หนานกงจี๋ถอนใจออกมาได้
เขาลงไปด้วยกันกับฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่เห็นด้านในห้องลับ ชุดตำราพวกนั้นที่อยู่ด้านบนแต่เดิมนั้นได้ถูกคนสัมผัสเอาผงที่สาดเอาไว้ไปแล้ว ด้านบนยังมีร่องรอยลายนิ้วมือเล็กน้อยและรอยแขนเสื้อไปปาดถูกไว้อยู่ จากนั้นจึงรีบกล่าวออกมาเสียงดังว่า: “ผลที่อยู่ด้านบนตำราพวกนี้ล้วนหายไปแล้ว! หนานกงเยว่ลั่ว ข้าจะดูว่าเจ้าจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ยังไงอีก!”
ทั้งสองคนก็ขึ้นมาอีก ต่างพากันจ้องมองไปยังเฟิ่งชิงหัว ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่ไม่เหมือนหนานกงจี๋คือความไม่พอใจ แต่ฮูหยินใหญ่กลับได้ใจ
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างน่าขำว่า: “ข้าแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อะไรเหรอ ท่านพูดแต่เพียงว่าผงที่อยู่ด้านในถูกคนสัมผัสไปแล้ว แล้วทำไมจึงทราบได้ว่าคนที่สัมผัสไปคนนั้นก็คือข้า?”
“นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครอีก? เจ้าดูสิด้านบนนี้ยังมีรอยนิ้วมือของเจ้าอยู่เลย!” ฮูหยินใหญ่ถือชุดตำราออกมาหนึ่งเล่มที่อยู่ด้านบนอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีร่องรอยสีเขียวเทาหนึ่งรอยอยู่
“แน่นอนว่าจะต้องเป็นคนที่รู้ว่าที่นี่มีห้องลับ ข้าก็ไม่รู้ว่ามีห้องลับนี้อีก อีกอย่างบนตัวของข้าก็ไม่มีเลอะผงอะไรใช่ไหม?” ในขณะที่พูดอยู่นั้น เฟิ่งชิงหัวก็อ้าแขนออกทั้งสองข้าง เผยให้เห็นฝ่ามือที่ขาวสะอาดทั้งสองข้าง: “ท่านดู นิ้วมือของข้า สะอาดสะอ้าน คราวนี้ข้าสามารถล้างมลทินได้แล้วใช่ไหม?”
“ไม่ถูก ต้องเป็นเจ้าแน่นอน จะต้องเป็นเจ้าที่ใช้วิชาคุณไสยอะไรลบรอยนิ้วมือออกไป ยังมีอีก เมื่อครู่ชุดที่เจ้าใส่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ชุดนี้! ฝุ่นผงพวกนั้นจะต้องเลอะอยู่บนเสื้อผ้าของเจ้าอย่างแน่นอน หากไม่ใช่กินปูนร้อนท้อง เหตุใดเจ้าจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ด้วย?” ฮูหยินใหญ่กล่าวออกมาด้วยความมั่นใจอย่างมาก
เฟิ่งชิงหัวไม่มีทางเลี่ยง: “ฮูหยินใหญ่ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ลูกสาวในไส้ของท่าน แต่ยังไงก็อยู่ด้วยกันมานานหลายปีเช่นนี้ ท่านจะต้องเอาความผิดอันนี้มาป้ายสีใส่ตัวข้าให้ได้เลยใช่ไหม?”
“พูดไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย เจ้าจะยอมรับแต่โดยดีหรือไม่!”
“นี่มันไม่เหมือนกับที่พูดไว้ตอนแรก ข้าย่อมไม่ยอมรับแน่นอน ใครจะไปรู้ว่าเป็นผู้เฝ้าคุ้มกันของใต้เท้าเฉิงเซี่ยงขโมยไปเองหรือเปล่า แล้วก็หาไม่มีคนมารับผิด ก็เลยโยนความผิดให้ข้า”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังกล้าแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อีกเหรอ เรื่องนี้แม้ว่าจะต้องร้องเรียนไปถึงฝ่าบาททางนั้นข้าก็จะทำ! ใครจะไปรู้ว่าเจ้าถูกคนซื้อไปเป็นสายลับสอดแนมของศัตรูหรือเปล่า? ข้าคิดออกแล้ว เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่ว่าเคยอาศัยอยู่ห้องเดียวกันกับขุนนางแคว้นอื่นนั้น ใครจะไปรู้ว่าพวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกันหรือเปล่า” คราวนี้หนานกงจี๋ยืดเอวออกมาค่อนข้างตรง ท่าทางมีเหตุผลเดินไปรอบพื้นที่ตรงนั้น
ฮูหยินใหญ่พอเห็นก็ยิ่งพอใจทีเดียว ถูกหนานกงเยว่ลั่วกดเอาไว้จนอัดอั้นเอาไว้เป็นเวลานานเช่นนี้ ก็นับว่าความขมขื่นทั้งก็หายไปเลย มีโอกาสที่ได้เหยียบย่ำหนานกงเยว่ลั่วเช่นนี้ จะให้ปล่อยไปได้อย่างไร
ดังนั้น ฮูหยินใหญ่หัวเราะเย็นชาและกล่าวออกมา: “สายลับสอดแนมของศัตรูโทษหนักหนาเชียวนะ ข้าว่าครั้งนี้เจ้าจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ยังไง แม้ว่าท่านอ๋องจะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน”
ในขณะที่พูดอยู่ ก็กล่าวกับจ้านเป่ยเซียวอย่างมีเหตุผลมาก: “ท่านอ๋อง เพียงแค่ในตอนนี้ท่านขีดเส้นแบ่งแยกออกจากหนานกงเยว่ลั่ว ถึงตอนนั้นท่านพี่ของข้าจะต้องช่วยให้ท่านหลุดพ้นจากความเกี่ยวข้องต่อหน้าของฝ่าบาทแน่นอน มิเช่นนั้นโทษของการขายชาตินี้ลงมา แม้แต่ท่านเป็นราชวงศ์ก็คงจะปล่อยให้ลอยนวลไปไม่ได้หรอก”
จ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ข้างกายของเฟิ่งชิงหัว สายตาไม่ได้มองไปทางด้านของฮูหยินใหญ่นั้นเลยอยู่แล้ว ยังคงจ้องมองไปยังเฟิ่งชิงหัวอยู่ ใบหน้าที่อยู่ใต้หน้ากากนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ผู้หญิงคนนี้ทำไมตอนที่ต่อกรกับเขามาเป็นชุดๆ ปากนั้นยิ่งแข็งขึ้นยิ่ง โต้เถียงกับเขาก็เถียงอย่างไม่ให้เหลือที่ยืนเลย พอเจอเข้ากับคนงี่เง่าสองคนเช่นนี้ตนเองก็โ.ไปเลยงั้นเหรอ?
หนานกงเยว่ลั่วเป็นคนของเขา แม้ว่าจะถูกรังแกก็ทำได้เพียงปิดประตูขังเอาไว้ให้เขารังแกเท่านั้น ใครคิดจะรังแกนาง งั้นก็ยอมรับผลที่จะตามมาอย่างคาดไม่ถึงก็แล้วกัน
จ้านเป่ยเซียวจ้องนาง: “พูด เป็นใบ้หรือ?”
เฟิ่งชิงหัวสบตากับจ้านเป่ยเซียวอย่างไร้เดียงสาไม่รู้ตัว
จ้านเป่ยเซียวขบกรามแล้วกล่าวว่า: “เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรว่าคนที่เข้าไปเป็นคนอื่นไม่ใช่เจ้า?”
เฟิ่งชิงหัวกำลังเตรียมที่จะจัดฉากให้ฮูหยินใหญ่ให้นางรับผลจากสิ่งที่พูดออกมาเอง พอได้ยินคำพูดของจ้านเป่ยเซียวก็กล่าวออกมาตามสัญชาตญาณว่า: “ในเมื่อเป็นพี่ใหญ่ของข้าบอกว่าข้าเข้าไปในห้องหนังสือ และในเมื่อข้าไม่ได้เข้า งั้นนางที่เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ก็มีความน่าสงสัยมากที่สุด ไปตรวจสอบดูว่าในมือของนางมีรอยนิ้วหรือไม่ ก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าได้แล้ว?”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้น ยกมือขึ้น กวักเรียกองครักษ์มาหนึ่งนาย
องครักษ์นายนั้นรีบออกจากเฟยเก๋อหลิวตันไป รอจนตอนที่ฮูหยินใหญ่ดึงสติกลับมาได้ก็ไล่ตามออกไปตามสัญชาตญาณทันที: “เจ้าจะทำอะไร! ลูกสาวของข้าเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บถูกพิษหลับหมดสติไป เจ้าอย่าไปทำให้นางตกตะลึง!”
เป็นเพียงคนของจวนอ๋องจะไปฟังคำสั่งของนางได้อย่างไร เห็นแค่เพียงคนผู้นั้นไปมาด้วยความไวอย่างมาก หาหนานกงเยว่หลีเจอได้ในจวนเฉิงเซี่ยงที่กว้างใหญ่อย่างแม่นยำ
ทุกคนเห็นแค่เพียงองครักษ์ชุดดำที่มือหนึ่งถือกระบี่คู่กายไว้ อีกมือหนึ่งเหมือนกับว่าหิ้วหนานกงเยว่ลั่วที่ซูบผอมในชุดคลุมสีขาวเดินทางมาอยู่ นั่งยองลงครู่หนึ่งและโยนลงบนพื้นไป เหมือนดั่งโยนขยะทิ้งก็ไม่ปาน
หนานกงเยว่หลีราวกับเป็นเหมือนดินโสโครกก้อนหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้น ฝ่ามือข้างหนึ่งยกขึ้น เผยให้เห็นบนนิ้วมือนั้นมีร่องรอยสีเขียวเทาออกมา
“คนที่ทรยศชาติก็พบเจอแล้ว เฉิงเซี่ยงสั่งการได้เลย” จ้านเป่ยเซียวกล่าว
ฮูหยินใหญ่กลืนน้ำลายลงไป กำลังคิดจะพูด ก็ถูกดวงตาคลุมเครือคู่นั้นของจ้านเป่ยเซียวจ้องไว้ครู่หนึ่ง ก็เลยรีบอยู่เฉยๆ ที่เดิมทันที แม้แต่คำเดียวก็ไม่กล้าพูดมาก
เฟิ่งชิงหัวลูบคางไปมา มองไปยังใบหน้าเย็นชานั้นของจ้านเป่ยเซียว พยักหน้าออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
เป็นอย่างที่คิดไว้ว่านำพาแรงที่สามารถสยบได้มาด้วยก็ค่อนข้างจะดีกว่า เหมือนกับว่านางกำลังลอยอยู่บนใบหน้าที่นุ่มนิ่มเช่นนี้เลย ก็ทำให้รู้สึกฟินไปตามๆ กัน ดังนั้นสามีภรรยาสองคนนี้จึงกล้าที่จะเลิกยุ่งกับนางได้นานเช่นนั้นได้
นางเองก็ไม่ได้ถนัดในการทะเลาะกับคนอื่นมากนัก โดยพื้นฐานแล้วคำพูดที่นางพูดก็เป็นคำพูดสุดท้าย ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านเลย
เปลี่ยนกลายเป็นท่าทางเดิมของนาง แล้วก็พาท่านแม่ออกมาเลย ระหว่างนั้นก็ทำลายจวนเฉิงเซี่ยง ยังต้องถึงคราวที่คนอวดฉลาดพวกนี้มาเกะกะต่อหน้านาง ตอนนี้ถูกจ้านเป่ยเซียวดูหมิ่นอีก
เป็นคนฐานะต่ำต้อยมันช่างน่าเศร้าจริงๆ
ทันใดนั้นเฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกว่าไม่น่าสนใจแล้ว ก็เลยกล่าวกับจ้านเป่ยเซียวว่า: “ท่านอ๋อง พวกเรากลับกันเถอะ ตามนิสัยของใต้เท้าเฉิงเซี่ยงที่ช่วยคนที่มีเหตุผลแต่ไม่ช่วยญาติ แน่นอนว่าจะต้องสามารถให้คำอธิบายที่ดีได้”
จ้านเป่ยเซียวเห็นว่านางไร้ซึ่งความสุข จึงเดาได้ว่าตอนนี้นางจะต้องเสียใจเป็นแน่ ขณะที่กำลังพยักหน้า กลับได้ยินเสียงคร่ำครวญดังขึ้นมา จู่ๆ ก็เป็นหนานกงเยว่หลีที่อยู่บนพื้นรู้สึกตัวขึ้นมา
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงหัวขบกรามแล้วกล่าวออกมาว่า: “หนานกงเยว่ลั่ว ข้ากับเจ้าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!”
เฟิ่งชิงหัวสะบัดมือขึ้นมา: “ก่อนที่เจ้าจะไม่อยู่ร่วมโลกเดียวกับข้า เจ้าอธิบายมาก่อนว่าทำไมจะต้องไปลักเอาเอกสารทางการในห้องลับ ใช่เป็นสายลับสอดแนมขายชาติ พูดให้ดีหน่อยนะ หากพูดไม่ดีก็อาจจะได้รับโทษประหารเก้าชั่วโคตรได้”
“ขโมยเอกสารทางการอะไรกัน ขายชาติอะไรกัน เจ้าพูดจาไร้สาระอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าที่เข้าไปในห้องหนังสือ……” ในใจของหนานกงเยว่หลีว้าวุ่นไปหมด อยากจะรู้ว่าตอนที่ตนเองไม่ได้สติอยู่นั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่ว่าเรื่องขโมยเอกสารทางการ ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด
เฟิ่งชิงหัวเกาหูไปมาแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่ทนอยู่บ้างว่า: “หยุดเลย นี่เจ้าตกยุคไปแล้ว ตอนนี้ฉบับล่าสุดก็คือเจ้าเข้าไปในห้องลับของใต้เท้าเฉิงเซี่ยงโดยพลการ ขโมยเอกสารทางการที่เป็นความลับมากไป อย่าไม่ยอมรับ หลักฐานก็อยู่บนมือของเจ้า สีเทาพวกนั้นก็คือสัญลักษณ์ที่ในห้องลับของใต้เท้าเฉิงเซี่ยงได้หลงเหลือเอาไว้ให้”
หนานกงเยว่หลีได้ยินแล้วก็ตาถลึงอ้าปากค้างเลย แล้วก็มองดูมือของตนเองครู่หนึ่งตามสัญชาตญาณ ทันใกนั้นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วก็รีบกล่าวออกมาว่า: “เปล่า ข้าไม่ได้ขโมยเอกสารทางการ ข้าไม่ได้ขโมย ข้าก็ไม่ได้เข้าห้องลับอะไรด้วย เจ้าอย่ามาปรักปรำข้า”
“คำอธิบายนี้น่าสนใจนะ ตอนที่ผู้ร้ายถูกจับได้ก็มักจะพูดเช่นนี้แหละ ข้าไม่ได้คิดว่าจะขโมยของ ข้าก็แค่เห็นว่าพวกเจ้าต่างหลับกันไปหมดแล้ว ดังนั้นก็เลยเข้ามาสำรวจเสียหน่อย เจ้าคิดว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้โง่หรือว่าสติไม่ดีล่ะ?”