พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 179 แค่คิดก็น้ำลายไหล
ท่านน้าสุ่ยพยักหน้าทั้งน้ำตาพลางเข้าไปกอดหนานกงลู่ซิ่วและร้องไห้ “ลูกสาวของข้า ลูกสาวที่น่าสงสารของข้า ทำไมชีวิตเจ้าถึงลำบากเช่นนี้ อายุยังน้อยก็ต้องมาเป็นม่ายไปเสียก่อน ตอนนี้พ่อของเจ้ายังทำร้ายเจ้าอีก เจ้าเป็นลูกแท้ๆ ของเขานะ ทำไมเขาถึงลงมือกับเจ้าได้”
หนานกงลู่ซิ่วแค่นยิ้ม “แม่ หนูบอกแม่ไปตั้งนานแล้วว่าอย่าไปคาดหวังอะไรกับคนในจวนนี้ ภายนอกจวนเฉิงเซี่ยงอาจจะดูสวยงาม แต่เบื้องหลังกลับเน่าเฟะ ไม่มีใครเป็นคนดี คนที่พวกเราเชื่อได้ก็คือพวกเราเองเท่านั้น”
“อย่างนั้นพวกเราหนีกันดีไหม หนีจากจวนเฉิงเซี่ยงแล้วไปยังที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเรา หลายปีมานี้แม่เก็บเงินเอาไว้บ้าง เรายังสามารถใช้ชีวิตไปได้กันอีกหลายปี รอให้ออกไปได้ก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ”
“แม่อย่าไร้เดียงสาหน่อยเลยได้ไหม แม่คิดว่าหนานกงจี๋จะปล่อยให้พวกเราเป็นอิสระหรือ อย่าว่าแต่ตอนนี้ที่จวนเฉิงเซี่ยงมีองครักษ์เฝ้าอย่างแน่นหนาเลย หากพวกเราหาคนช่วยพวกเราหนีออกไปได้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างพวกเราจะเอาตัวรอดกันได้อย่างไร” หนานกงลู่ซิ่วตีแผ่ปัญหาออกมาให้เห็นเพื่อเตือนสติท่านน้าสุ่ย
“แต่หากอยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยงต่อไป เจ้าจะทำอย่างไร หากพวกเขารู้ว่าอาการป่วยของเจ้าหายแล้ว เขาคงไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่” ตอนนี้แค่ท่านน้าสุ่ยนึกถึงสายตาที่หนานกงจี๋มองลู่ซิ่วก็รู้สึกหนาวสันหลังแล้ว สายตานั้นไม่ใช่สายตาที่ใช้มองลูกสาวของตัวเอง แต่เป็นสายตาที่ใช้มองของทดลองเท่านั้น
“มีวิธีสิ ขอเพียงแค่จวนเฉิงเซี่ยงล้ม พวกเราก็จะรอด” หนานกงลู่ซิ่วยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก แววตาของนางเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
“ล้ม? จะเป็นไปได้อย่างไร ลู่ซิ่ว นี่คือจวนเฉิงเซี่ยงนะ ไม่ใช่จวนเล็กๆ เลย จะล้มไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
ท่านน้าสุ่ยยังไม่ทันพูดจบ หนานกงลู่ซิ่วก็เอ่ยขัดขึ้นมาว่า “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ ท่านแม่คิดว่าการกระทำทุกอย่างของเขาจะไม่มีใครสังเกตเห็นเลยหรือ เมื่อครู่นี้ใต้เท้าคนนั้นก็บอกแล้วว่าพี่รองเป็นคนบอกเขาเรื่องนี้เอง นั่นแสดงว่าพี่รองตั้งใจให้คนจากจวนศาลาว่าการพระนครจับตาดูจวนเฉิงเซี่ยง อีกอย่างแม่ก็บอกเองไม่ใช่หรือว่าวันนั้นพี่รองกับท่านพ่อเกิดเรื่องขัดแย้งกัน โชคดีที่ท่านอ๋องตามมาทัน หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นห้องทรงงานที่จวนก็เกิดทรุดตัว เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับพี่รองอย่างไม่ต้องสงสัย นางจะต้องรู้เรื่องอะไรบางอย่าง พวกเราจะต้องอยู่ข้างพี่รองรับรองว่าเราจะไม่เป็นไรแน่นอน”
“แต่ว่าคุณหนูรองเป็นลูกสาวของฮูหยินใหญ่ นางจะช่วยพวกเราจริงหรือ” ท่านน้าสุ่ยไม่อยากจะเชื่อ
หนานกงลู่ซิ่วมองมารดาของตนเองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าคนที่สังเกตอะไรไม่ได้อย่างนางเท่านั้นถึงได้อยู่รอดในจวนเฉิงเซี่ยงแห่งนี้มาอย่างยาวนาน ส่วนผู้หญิงคนอื่นๆ หากตอนตั้งครรภ์ไม่โดนฮูหยินใหญ่วางยาทำแท้ง บางคนก็ตาย บางคนก็เป็นบ้า หรือไม่ก็ถูกยัดข้อหาทำให้ถูกไล่อออกจากจวนไป
“ท่านแม่ แม่ยังมองไม่ออกอีกหรือว่าพี่รองไม่ใช่ลูกสาวของฮูหยินใหญ่ ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมชีวิตของพี่ใหญ่กับพี่รองถึงแตกต่างกันนักตั้งแต่เด็กยันโต ทำไมพี่ใหญ่ถึงคอยช่วยเหลือข้าแต่รังแกพี่รอง แม่คิดว่าหนูจะมองไม่ออกงั้นหรือ”
ท่านน้าสุ่ยได้ยินดังนั้นก็ตกใจมาก “มันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ว่า ฮูหยินกับนายท่านก็พูดแบบนี้”
หนานกงลู่ซิ่วส่ายหน้าและตั้งใจจะไม่บอกนางว่าพี่รองในวันนี้ไม่ใช่พี่รองตัวจริง หนานกงจี๋คงคิดว่าก่อนหน้านี้ตนเองสามารถควบคุมนางได้ แต่ตัวเขาเองก็คงไม่คิดเช่นกันว่าพี่รองไม่ใช่คนนิสัยอ่อนแอที่จะรังแกเอาได้ง่ายๆ อีกแล้ว
“ท่านแม่ เรื่องอื่นแม่ไม่ต้องรู้หรอก แม่รู้แค่ว่าพวกเราอยู่ข้างพี่รองน่ะถูกต้องแล้ว วันหน้าเรื่องใดที่พี่รองฝากฝังท่านต้องเชื่อฟังนาง อีกไม่นานนางต้องมาหาข้าแน่ๆ ตอนนี้พวกเราอยู่เงียบๆ เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงก็พอ”
ท่านน้าสุ่ยพยักหน้า ตอนนี้ชีวิตนางให้ความสำคัญกับลูกสาวมากที่สุด แน่นอนว่านางว่าอย่างไรก็ว่าตามนาง
ทว่าในเวลานี้ ในจวนอ๋องเจ็ด เฟิ่งชิงหัวกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยกเยก พลางโยนเม็ดแตงเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ ม่านเฉ่าที่อยู่ข้างๆกำลังยกเอาจานเมล็ดแตงและของว่างมาวางไว้ให้บนโต๊ะ
“เดี๋ยวก่อน เอาเมล็ดแตงส่งมาให้ข้า” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยพลางชี้นิ้วสั่งการ เมื่อรับจานเม็ดแตงมาแล้วจึงเอาวางไว้บนท้องของตนเองแล้วเริ่มขบเปลือก
ม่านเฉ่าเห็นท่าทางสบายๆ ของนางก็มีความคิดบางอย่าง จึงอดไม่ได้ที่กล่าวว่า “พระชายา พวกเราทำอย่างนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่กระมังเจ้าคะ”
“มีอะไรไม่เหมาะอย่างนั้นหรือ” เฟิ่งชิงหัวขบเปลือกไปพลางมองไปที่นาง นางมีประสบการณ์ในการแทะเม็ดแตงมาก แต่ละนาทีสามารถแทะได้หลายเม็ดทีเดียว
ม่านเฉ่าชี้ไปด้านในห้อง “ท่านอ๋องอยู่ด้านใน แต่ท่านกลับออกมานั่งเล่นอยู่ด้านนอกเช่นนี้ ไม่ค่อยดีกระมัง”
สิ่งที่ม่านเฉ่าอยากจะบอกก็คือ ที่นี่คือจวนอ๋อง คนที่นั่งอยู่ด้านในคือเจ้าของจวน ท่านเป็นพระชายาไม่คิดจะใช้โอกาสนี้เอาชนะใจคนในจวนท่านอ๋องแล้วยังมามีอารมณ์นั่งแทะเม็ดแตงโมแบบนี้อีก
หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่ขาของท่านอ๋องยังไม่หายดีก็แล้วไป เพราะด้านนอกต่างพากันพูดว่าไม่สามารถเดินได้ คุณหนูส่วนมากก็คงไม่อยากแต่งงานเข้ามาอยู่ที่นี่
แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าขาของท่านอ๋องหายดีแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่ แต่หากไม่นับข้อเสียเล็กๆ นี้แล้ว เขานับเป็นลูกชายที่ฝ่าบาทโปรดปราณมากที่สุด นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สตรีมากมายอยากพาตัวเองเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้
เวลาเช่นนี้หากยังไม่ยอมเอาชนะใจท่านอ๋องให้ได้ รอให้พระชายารองแต่งเข้าจวนมาก่อน ตอนนั้นจะยังมีที่สำหรับพระชายาอยู่อีกต่อไปหรือไม่
แม้ว่าคนอื่นรอบตัวของนางจะเริ่มร้อนใจแทนนางแล้ว แต่คนต้นเรื่องอย่างนางกลับไม่มีอารมณ์จะแย่งความรักจากใคร และในช่วงเวลาเพียงชั่วครู่เดียวนี้ เม็ดแตงในจานก็หายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“จานเดียวน้อยเกินไป เจ้าไปหยิบจานใหญ่และเอาใส่มาให้มากกว่านี้หน่อย เม็ดแตงพวกนี้กรอบหอมจริงๆ” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยในช่วงที่ตนเองไม่ได้แทะเม็ดแตง และในขณะที่พูดเพียงประโยคเดียวนั้น เม็ดแตงในมือก็หายไปแล้วเกือบครึ่ง
ม่านเฉ่ารับจานว่างเปล่ามาแล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างจนปัญญา นางเดินอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะรบกวนท่านอ๋องที่กำลังวาดรูปอยู่
เขาใส่ชุดสีดำยืนอยู่หน้าโต๊ะ มือถือพู่กันเอาไว้แล้วค้อมตัวลงเล็กน้อย ท่าทางของเขาให้ความรู้สึกเคร่งขรึม ทำให้ม่านเฉ่าไม่กล้ามองเท่าไหร่นัก
ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ที่ขึ้นอยู่บนภูเขาสูง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความสูงส่งในแบบฉบับของราชนิกุล หน้ากากบนใบหน้าไม่ทำลายความสูงศักดิ์ของเขา แต่กลับทำให้เขายิ่งดูลึกลับมากยิ่งขึ้น
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงคนบางคนที่นั่งแทะเม็ดแตงอยู่ในสวนอย่างไม่ระมัดระวังกิริยานั้น ม่านเฉ่าก็ได้แต่อับจนถ้อยคำ
ขณะที่กำลังจะเอาเม็ดแตงถือออกไป ก็ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นอย่างลุ่มลึกว่า “พระชายาล่ะ”
“พระชายาอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ ให้บ่าวไปตามพระชายาให้ไหมเจ้าคะ” ม่านเฉ่าคิดว่าท่านอ่องรอจนเบื่อแล้วเลยเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
จ้านเป่ยเซียวมองไปที่เม็ดแตงที่มือของนาง แล้วใช้ผ้าเปียกทำความสะอาดมือพลางเดินเข้ามาจากนั้นรับจานเม็ดแตงไปแล้วมุ่งหน้าออกไปข้างนอก
ม่านเฉ่าจ้องไปที่แผ่นหลังของเขาด้วยอารมณ์สับสน จมูกของนางยังได้กลิ่นอ่อนๆ ของสมุนไพรรวมทั้งกลิ่นหมึกบางๆมาจากตัวของเขา
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวกำลังนั่งหลับตานอนเอนพิงหลังอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาก็ยังคงไม่ลืมตา ได้แต่บ่นพึมพำว่า “วางไว้ได้เลย แทะจนปวดฟันไปหมดแล้ว ขอพักสักหน่อย”
จากนั้นเฟิ่งชิงหัวก็ได้ยินเสียงจานวางลงบนโต๊ะเบาๆ นางจึงพึมพำขึ้นมาว่า “ถ้ามีเม็ดแตงที่แกะแล้วก็ดีสินะ หยิบขึ้นมาแล้วกินเข้าไปทั้งกำมือเลย เวลาเคี้ยวต้องอร่อยมากแน่ๆ แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว”