พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 181 เผชิญหน้ากันต่อหน้าพระพักตร์
ฮ่องเต้เซวียนถ่ง: “……”
ถึงแม้ว่า ในราชสำนักมีขุนนางใหญ่ที่จงรักภักดีเช่นนี้เขาในฐานะจักรพรรดิรู้สึกปลื้มปีติยิ่งนัก แต่ว่าได้พบกับขุนนางใหญ่ที่ไม่รู้จักพลิกแพลงเช่นนี้ เขาก็ปวดศีรษะมากจริง ๆ
คิดเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอยู่ทุก ๆ วัน และยังต้องสร้างความสมดุลให้กับวังหลัง และยังต้องใช้สติปัญญาและความกล้าเพื่อรับมือกับบรรดาขุนนางใหญ่ที่บ้างก็เจ้าเล่ห์บ้างก็มีความยุติธรรมบ้างก็หัวโบราณ เขานี่ช่างลำบากเสียจริง
เหยียนหรูชิงเห็นฮ่องเต้ไม่พูดอะไร นึกว่ากำลังคิดเรื่องโทษฐานอยู่ ดังนั้นจึงได้กล่าวขึ้นมาอย่างจงรักภักดี: “หากว่าฝ่าบาททรงลำบากใจ กระหม่อมมีคำแนะนำอย่างหนึ่ง ตอนนี้ท่านอ๋องเพิ่งหายดีได้ไม่นาน จะเหนื่อยเกินไปไม่ได้ ลงโทษกักบริเวณคัดพระคัมภีร์สามเดือน ส่วนพระชายาเจ็ด เรื่องนี้นางเป็นคนชักจูง ลงโทษนาง”
“จะลงโทษพระชายาของข้าอย่างไรหรือ? ข้าไม่รู้เลยว่า ใต้เท้าเหยียนไม่เพียงสืบคดีร้ายกาจ ความสามารถในการดึงคนอื่นลงม้าอยู่เบื้องหลังก็ร้ายกาจเช่นเดียวกัน” น้ำเสียงเคร่งขรึมเย็นชาของบุรุษดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู
ถึงตอนนี้เสียงรายงานจากข้าหลวงถึงได้ดังตามขึ้นมา: “ท่านอ๋องเจ็ดพระชายาเจ็ดเสด็จ!”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งเหลือบตามองบนให้กับการรายงานที่ล่าช้าของข้าหลวงที่ จากนั้นก็หันไปดูพระโอรสของตนที่กำลังจับมือพระชายาด้วยท่าทางเย็นชา จึงกล่าวขึ้นมาอย่างปีติยินดี: “เจ้าเจ็ด ขาของเจ้าหายดีแล้วเหรอ?”
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้า: “หายดีชั่วคราวพ่ะย่ะค่ะ”
“หายดีแล้วก็คือหายดี เหตุใดยังมีชั่วคราวอีกเล่า? ข้าจะรีบให้หมอหลวงมาตรวจดูให้เจ้าตอนนี้เลย”
“ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้ายังเจ็บหรือไม่ นำรถเข็นติดตัวเอาไว้ตลอดดีกว่า หากเดินเหนื่อยแล้วยังพอให้นั่งพักผ่อนได้” น้ำเสียงของฮ่องเต้เซวียนถ่งเป็นมิตรเป็นพิเศษ หากไม่รู้ว่าทั้งสองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน ยังต้องคิดเลยว่าขุนนางที่ประจบสอพลอคนนี้กำลังประจบประแจงท่านอ๋องเจ็ดอยู่
เฟิ่งชิงหัวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยังแทบทนดูไม่ได้ เห็นฮ่องเต้เซวียนถ่งมีท่าทางรักและเมตตาต่อจ้านเป่ยเซียวเช่นนี้ ไม่เหมือนกับจักรพรรดิเลือดเย็นในคำร่ำลือเลย ข่าวลือไม่เป็นที่น่าเชื่อถือจริง ๆ
เหยียนหรูชิงเห็นท่าทีของฮ่องเต้เซวียนถ่งก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น: “ฝ่าบาท พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะว่าจะลงโทษท่านอ๋องเจ็ดและพระชายาเจ็ด?”
“ตกลงกันแล้ว? ผู้ใดตกลงกับเจ้ากัน?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งขมวดคิ้ว สีหน้าเปลี่ยนไป มีท่าทางที่เหมือนกำลังบอกว่าอย่ายุแยงให้พวกเราสองพ่อลูกแตกแยกกัน
เหยียนหรูชิงมีสีหน้าเคร่งขรึมลง: “ฝ่าบาท เช่นนั้นเรื่องในวันนี้ปล่อยให้มันแล้วไป ตอนนี้ศพพวกนั้นยังอยู่ในมือของท่านอ๋อง แม้กระทั่งว่าเป็นโรคอะไรยังไม่รู้เลย ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง ๆ ฝ่าบาทคิดจะปกป้องก็คงปกป้องไม่ได้ ต้องถือโอกาสนี้ควรจะลงโทษก็ลงโทษควรจะสืบเสาะก็สืบเสาะ นี่ถึงเป็นวิถีของจักรพรรดิผู้ปราดเปรื่อง?”
เหลือแค่พูดออกมาตรง ๆ พระองค์เป็นถึงบิดา เห็นพระโอรสทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้กลับไม่ลงโทษ พระองค์ช่างเป็นบิดาที่ไม่เอาไหนเลยจริง ๆ
ฮ่องเต้เซวียนถ่งหน้าเสีย และมองไปยังเหยียนหรูชิงอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อหันไปมองจ้านเป่ยเซียวก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด: “เจ้าเจ็ด ศพพวกนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว ใต้เท้าเหยียนกำลังสืบคดีอยู่ รับมอบให้เขาไปเร็วเข้า”
จ้านเป่ยเซียวตอบไปอย่างเรียบ ๆ : “ตอนนี้ ยังมอบออกมาไม่ได้”
“เช่นนั้นเมื่อไหร่ถึงจะมอบออกมาได้เล่า?”
“พอถึงเวลาก็จะมอบออกมาเอง” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างไม่เรียบไม่ร้อน
“ท่านอ๋องเจ็ด แต่ไหนแต่ไรมาท่านทำอะไรตามอำเภอใจก็แล้วไป เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องใหญ่ จะให้ท่านปล่อยให้เรื่องเลยผ่านไปแบบลวก ๆ ไม่ได้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าศพพวกนั้นจะเป็นโรคระบาด จะต้องรีบเผาแต่โดยเร็ว มิเช่นนั้นอาจทำให้เกิดเรื่องใหญ่เอาได้!” เหยียนหรูชิงกล่าวอย่างโมโห
จ้านเป่ยเซียวเอียงหน้าไปมองเหยียนหรูชิงแวบหนึ่ง และกล่าวอย่างเน้นย้ำทีละคำ: “พระชายาของข้าได้กล่าวอย่างชัดเจนแล้วมากพอแล้ว คนพวกนั้นถูกพิษ ไม่ใช่โรคระบาด”
“ที่พระชายาเจ็ดกล่าวมานั้นจะนับได้อย่างไร? พระนางไม่สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าพิษที่ถูกนั้นเป็นพิษอะไรกันแน่!” เหยียนหรูชิงกล่าวอย่างรีบร้อน
เมื่อได้ยินดังนั้นเฟิ่งชิงหัวก็เลิกคิ้วขึ้น: “ใต้เท้าเหยียนพูดผิดไปแล้ว แม้ว่าตัวข้าจะไม่ทราบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านพ่อของข้าจะไม่ทราบใช่ไหมเล่า? น้องสาวสามของข้าก็ถูกพิษนี้เช่นเดียวกัน หากเป็นโรคระบาดจริง ๆ เช่นนั้นท่านพ่อของข้าจะกล้ายืนอยู่ที่นี่อย่างเปิดเผยได้อย่างไร?”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเอ่ยขึ้นมาก็ได้ดึงหัวข้อสนทนาไปที่หนานกงจี๋ที่พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนอยู่อีกด้าน
หนานกงจี๋ถูกกล่าวถึง ก็เดินไปข้างหน้าสองก้าว: “กราบทูลฝ่าบาท ท่านอ๋อง บุตรสาวของกระหม่อมป่วยเป็นโรคประหลาดจริง ๆ เรื่องนี้หมอหลวงได้ตรวจดูแล้ว ไม่มีท่าทางของการถูกพิษเลย บุตรของกระหม่อมน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศพพวกนั้น แต่นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาของกระหม่อมและหมอหลวง ตอนนี้เรื่องราวยังไม่ชัดแจ้ง กระหม่อมยินดีที่จะหยุดตำแหน่งเฉิงเซี่ยงเอาไว้ก่อน ปิดประตูไม่พบผู้ใด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของกระหม่อม”
ได้ยินดังนั้น ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็รีบกล่าวขึ้นมาโดยเร็ว ในเมื่อหมอหลวงก็ได้บอกแล้วว่ามิใช่โรคระบาด เช่นนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่หรูชิงกำลังสืบอยู่ เจ้าวางใจเถอะ”
หนานกงจี๋เดินขึ้นไปคารวะตอบรับ สีหน้าผ่อนคลายลง
“รอเดี๋ยว เสด็จพ่อ เรื่องนี้มันไม่แน่นอนหรอกนะเพคะ” เฟิ่งชิงหัวพลันเอ่ยขึ้นมา
“เป็นอย่างไร?”
เฟิ่งชิงหัวเดินขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยขึ้น: “เสด็จพ่อ ศพทั้งสามศพนั่นและน้องสาวสามข้าต่างก็ได้ดูแล้ว พวกเขามีจุดที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง จากการคาดเดาของลูกสะใภ้ อาการของน้องสาวสามเป็นอาการเริ่มต้นของทั้งสามคน ถ้าหากน้องสาวสามไม่ถูกพิษ แต่เป็นโรคระบาดจริง ๆ เช่นนั้นจะต้องมีจุดจบเหมือนศพพวกนั้นอย่างแน่นอน ถ้าหากถูกพิษจริง ๆ เช่นนั้นบุตรสาวของจวนเฉิงเซี่ยงทั้งคน เหตุใดถึงได้สัมผัสกับสิ่งพวกนี้เล่า?”
“น้องสาวสามของพระองค์อาจจะเพียงแค่แพ้อะไรบางอย่างก็ได้ พระชายา ท่านจะคาดเดาไปมั่วซั่วเพียงเพราะความสัมพันธ์ของพวกท่านไม่ดีเช่นนี้ไม่ได้ ข่าวลือมันสามารถฆ่าคนได้นะ!” หนานกงจี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “ท่านพ่อพูดถูก แต่ว่าในเมื่อทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดา มิสู้รับของสาวสามเข้ามาในวัง มีหมอหลวงคอยสังเกตอาการอยู่ข้างกาย หากเป็นเพราะอาการแพ้ ผ่านไปไม่กี่วันก็น่าจะหายดี หากถูกพิษหรือเป็นโรคติดต่อ เวลาผ่านไปก็จะเห็นผลได้เอง”
“เหตุใดถึงต้องรับเข้าวังด้วยเล่า อยู่ที่จวนก็ได้เหมือนกันนี่” หนานกงจี๋กล่าวด้วยความโมโห
เฟิ่งชิงหัวยิ้มกล่าว: “ท่านพ่อ ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับจวนเฉิงเซี่ยง เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย น้องเล็กเป็นเช่นนี้อยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยง ถ้าหากว่า ที่จวนเฉิงเซี่ยงมีคนคิดร้ายวางยาพิษน้องเล็กล่ะ?
คำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้ง ก็คือว่าจวนเฉิงเซี่ยงมีส่วนเกี่ยวข้องกับศพทั้งสามศพนั่นด้วย
“เหลวไหล!” หนานกงจี๋กล่าวโดยสัญชาตญาณ จากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ที่นี่คือห้องทรงพระอักษร (ห้องทรงพระอักษร) สถานะของเฟิ่งชิงหัวในตอนนี้คือพระชายาเจ็ด จึงได้แต่แอบค่อย ๆ สงบสติอารมณ์: “พระชายา ได้โปรดระวังคำพูด จวนเฉิงเซี่ยงสะอาดบริสุทธิ์ จะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้อย่างไร กระหม่อมเป็นเพียงขุนนางบุ๋นคนหนึ่ง จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “อืม ข้าเองก็เชื่อว่าท่านพ่อเป็นขุนนางที่จงรักภักดี แน่นอนว่าจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นท่านพ่อจะต้องไม่ทิ้งโอกาสดี ๆ ที่จะลบล้างมลทินให้กับจวนเฉิงเซี่ยงแน่ ใช่หรือไม่?”