พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 182 ไม่ค่อยชอบนั่งเก้าอี้
หนานกงจี๋มีปากแต่พูดไม่ได้ เขาสามารถพูดอะไรได้ล่ะ หรือจะให้บอกว่า ตนเองไม่อยากจะมอบหนานกงลู่ซิ่วออกมา เวลานี้เขาได้แต่โทษตัวเองว่าไม่ควรไปจงใจลองหยั่งเชิงเพื่อป้องกันเฟิ่งชิงหัว ทว่าบัดนี้ เขาได้เพียงแต่กล้ำกลืนฝืนทน มีเพียงพยายามตามหาคนให้ได้โดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน ในเมื่อพระชายาได้กล่าวเช่นนี้แล้ว ตราบใดที่ฝ่าบาทเองก็คิดว่ามีความจำเป็น กระหม่อมย่อมไม่คัดค้านอยู่แล้ว” หนานกงจี๋ทำเป็นกล่าวอย่างใจกว้าง
ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองไปยังเฟิ่งชิงหัว จากนั้นก็มองไปทางหนานกงจี๋ รู้สึกเพียงเหมือนว่าจะมีรอยแตกขนาดใหญ่ระหว่างบิดาและบุตรสาวทั้งสองคนนี้ แต่พระองค์เองกลับมีความสุขที่ได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้
เมื่อเห็นว่าพระโอรสของตนก็ไม่ได้มีการคัดค้านใด ๆ ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็กล่าวขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม: “เฉิงเซี่ยงวางใจ อยู่ในวังหลวงข้าจะให้คนของสำนักหมอหลวงดูแลบุตรสาวของเจ้าเป็นอย่างดีทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะถูกพิษอะไร ก็จะต้องมอบบุตรสาวที่แข็งแรงกลับคืนให้เจ้าอย่างแน่นอน”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ กระหม่อมกราบขอบพระทัยฝ่าบาท”
เหยียนหรูชิงอยู่ที่ด้านข้าง และได้เอ่ยตามขึ้นมาติด ๆ : “ฝ่าบาท เช่นนั้นเรื่องศพพวกนั้น”
กระทั่งตอนนี้ฮ่องเต้เซวียนถ่งถึงได้ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ มองไปทางจ้านเป่ยเซียว แล้วกล่าวให้สัญญาณ: “เจ้าเจ็ด”
จ้านเป่ยเซียวกลับทำเป็นมองไม่เห็น และได้หันไปทางเฟิ่งชิงหัวแทน
ฮ่องเต้เซวียนถ่งรู้สึกโมโหอยู่ภายในใจ ตอนนี้เจ้าเจ็ดหมายความเช่นไรกันแน่ เหตุใดถึงเหมือนกับว่ามอบอำนาจทั้งหมดให้กับหนานกงเยว่ลั่วอย่างไรอย่างนั้น หรือว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เจตนารมณ์ของเขา จริงอย่างที่เหยียนหรูชิงกล่าว เป็นเจตนารมณ์ของนาง?
เฟิ่งชิงหัวกล่าวขึ้นมา: “เสด็จพ่อ เรื่องเป็นเช่นนี้ พระองค์ยังจำไป๋จื่อหยางได้หรือไม่เพคะ?”
“อืม” อันที่จริง ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ลืมไปตั้งนานแล้ว ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นจะต้องรักษาท่าทางเหมือนว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมตน
สำหรับเรื่องนี้ คนที่อยู่ตรงนี้ย่อมไม่มีผู้ใดเปิดโปงอยู่แล้ว และยิ่งจะไม่มีใครพูดออกมา
เฟิ่งชิงหัวกล่าวต่อ: “คืออย่างนี้เพคะ ไป๋จื่อหยางสงสัยว่าทั้งสามคนนี้ได้ถูกพิษ ดังนั้นจึงต้องการผ่าศพเพื่อพิสูจน์อวัยวะด้านใน ดังนั้นลูกสะใภ้และท่านอ๋องจึงเพียงแค่อำนวยความสะดวกเรื่องสถานที่ให้เขาเท่านั้นเอง ตอนนี้ร่างของทั้งสามคนนั้นน่าจะถูกเขาตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สถานการณ์โดยละเอียด ขอฝ่าบาทได้โปรดส่งคนไปที่หน้าประตูวังเพื่อเรียกให้เขาเข้ามาตอบคำถามเพคะ”
ได้ยินดังนั้น ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นยกเว้นจ้านเป่ยเซียวต่างพากันมีสีหน้าเปลี่ยนไป
หนานกงจี๋รู้สึกกินปูนร้อนท้อง เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเอา ทว่าเขาเองก็ชำนาญด้านการเสแสร้ง ไม่นานก็กลับมามีสีหน้าปกติ
ส่วนสิ่งที่คนอื่น ๆ คิดนั้นเป็นเรื่องของความปลอดภัย
“เหลวไหลสิ้นดี! พระชายาเจ็ด ไม่มีทางที่ไป๋จื่อหยางจะไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้ ศาลาว่าการพระนครมีกฎว่า ไม่มีลายมือจากข้าจะผ่าศพโดยพลการไม่ได้ จื่อหยางมิใช่คนบุ่มบ่ามเช่นนั้น นอกจากนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าศพพวกนั้นเป็นเช่นไรกันแน่ จะผ่าศพง่าย ๆ ได้อย่างไร ถ้าหากเป็นโรคติดต่อ เช่นนี้ข่าวลือก็จะยิ่งแพร่ไปเร็วยิ่งขึ้น ท่านจะทำให้จื่อหยางมีอันตราย!”
บิดาของไป๋จื่อหยางกับเขาได้รู้จักกันมานาน ในหัวใจของเขา ได้เห็นไป๋จื่อหยางเป็นเพื่อนของตัวเองไปนานแล้ว ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับไป๋จื่อหยาง แล้วจะให้เขามีหน้าไปพบกับบิดาของไป๋จื่อหยางในวันหน้าได้อย่างไรเล่า!
เฟิ่งชิงหัวยักคิ้ว มองดูเหยียนหรูชิง: “เรื่องมันได้เกิดขึ้นแล้ว บัดนี้ไป๋สวี่โจ้ว (ขุนนางชันสูตรศพไป๋) จะต้องพบเจออะไรบางอย่างเข้าเป็นแน่ รีบเรียกตัวเข้ามาจะดีกว่า”
“มิได้” จู่ ๆ หนานกงจี๋ก็กล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน: “ฝ่าบาท ศพพวกนั้นยังไม่อาจรู้ได้แน่ชัด บัดนี้ไป๋จื่อหยางได้ทำการผ่าตัดศพ ถ้าเกิดติดโรคระบาดอะไรขึ้นมาจริง ๆ จะไม่นำความหายนะมาสู่ทั่วทั้งวังหลวงหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ตามความคิดเห็นของกระหม่อม ตอนนี้จะต้องให้ไป๋จื่อหยางกักตัวถึงจะถูก สำหรับสิ่งที่เขาตรวจสอบออกมาได้นั้น ก็จะเชื่อทั้งหมดไม่ได้ใครจะไปรู้ล่ะว่าเพื่ออนาคตของตนเองแล้วเขาจะจงใจปิดบังผลในการชันสูตรหรือไม่?”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งส่ายศีรษะ และคิดว่าคำพูดนี้นั้นมีเหตุผลมาก เหล่าขุนนางใหญ่หลายคนที่อยู่ด้านข้างเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
เฟิ่งชิงหัวกลับยิ้มกล่าวขึ้นมา: “ในเมื่อไม่พบคน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดูผลลัพธ์อยู่ดี ไม่สามารถเรียกพบได้ เช่นนั้นก็ดูหลักฐานแล้วกัน ดูว่าไป๋จื่อหยางชันสูตรพบข้อมูลอะไรที่สำคัญออกมาหรือไม่”
“ฝ่าบาท เช่นนี้ไม่เหมาพ่ะย่ะค่ะ ผลลัพธ์และหลักฐานพวกนั้นยิ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นสิ่งที่ไป๋จื่อหยางสร้างขึ้นมาเอง” หนานกงจี๋กล่าวแนะนำขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเหยียนหรูชิงได้ยินหนานกงจี๋กล่าวย่ำยีไป๋จื่อหยางเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง แม้ว่าท่านจะกังวลใจต่อความปลอดภัยของฝ่าบาท แต่อย่างไรเสียไป๋จื่อหยางก็อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของข้า ข้ารู้จักนิสัยของเขาดี เขามิใช่คนเช่นนั้น ถ้าหากเป็นโรคติดต่อจริง ๆ เขาจะต้องสั่งคนมารายงานแทนอย่างแน่นอน จะไม่มาเองอย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้”
“ใต้เท้าเหยียนหรูชิง คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนที่เจ้าคิดว่าไม่เลวเลยนั้นเบื้องหลังเป็นเช่นไรกันแน่”
“ใต้เท้าหนานกง ท่านพูดอะไรให้ระวังคำพูดหน่อย คำพูดหยาบคายเจ็บปวดถึงหกเดือนหนาว! ท่านเป็นคนมีการศึกษา ไม่มีหลักฐานก็อย่าได้มาพูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริงอยู่ที่นี่ หลายปีมานี้เหยียนหรูชิงไม่เคยมองคนผิดมาก่อนเลย ท่านกล่าวเช่นนี้ หรือว่าอยากจะจับขังแม้กระทั่งข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้นเสียหน่อย ใต้เท้าเหยียนเป็นคนตรงไปตรงมาไม่ประจบสอพลอมาแต่ไหนแต่ไร หากเป็นใต้เท้าเหยียนข้าจะต้องไม่สงสัยอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้อื่น ตัวข้านั้นไม่กล้ารับประกันหรอกนะ” หนางกงจี๋กล่าวอย่างเยาะเย้ยเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นความโมโหของเหยียนหรูชิง
ตราบใดที่หลักฐานของไป๋จื่อหยางไม่เพียงพอ เช่นนั้นต่อให้หนานกงลู่ซิ่วเข้าวังก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี
เหยียนหรูชิงกล่าวอย่างสมเหตุสมผล ทว่ากลับถูกตัดด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ
พบเพียงว่าเฟิ่งชิงหัวได้ปิดปากแอบหัวเราะอยู่ มองดูหนานกงจี๋: “ท่านพ่อ ท่านร้อนใจบอกว่าคำให้การของไป๋จื่อหยางไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ ทำให้ผู้คนสงสัยได้ง่ายยิ่งนัก ข้าว่าท่านท่าจะเลอะเลือนแล้วจริง ๆ ไม่ผิดที่ท่านจะกังวลความปลอดภัยของฝ่าบาท แต่ว่าทำให้จวนเฉิงเซี่ยงตกอยู่ในสถานการณ์ประหม่าแบบนี้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าลูกอยู่ตรงกลางจะรู้สึกเช่นไร?”
หนางกงจี๋ขมวดคิ้วมองไปยังเฟิ่งชิงหัว: “เหตุใดถึงต้องรู้สึกประหม่าด้วย เดิมไป๋จื่อหยางนั่นก็ได้ชันสูตรเองโดยพลการ หากจะว่าไปแล้ว ข้าเองก็มีเหตุผลที่จะสงสัยว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา”
“ข้าเป็นคนให้อำนาจไป๋จื่อหยางชันสูตรศพเอง หรือว่าความหมายของท่านพ่อก็คือเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวขข้องกับข้า? เบื้องหลังของข้านั้นมีทั้งจวนเฉิงเซี่ยงและจวนอ๋องเฉิน ไม่ทราบว่าที่ท่านพ่อกล่าวมานั้นเป็นจวนไหนกันแน่?” เฟิ่งชิงหัวเอียงศีรษะ กล่าวด้วยความสงสัย
ช่างเป็นสตรีที่ปากคอเราะราย คราวนี้ แม้แต่หนานกงจี๋เองก็ยังพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่จ้องมองเฟิ่งชิงหัวอย่างเย็นชา และเสียใจภายหลังที่ตัดสินใจไปแบบนั้นอยู่ภายในใจ
เฟิ่งชิงหัวกล่าว: “เสด็จพ่อ ในเมื่อตอนนี้เฉิงเซี่ยงกับใต้เท้าเหยียนต่างก็มิได้คัดค้านใด ๆ แล้ว เช่นนั้นก็ให้ไป๋จื่อหยางมอบหลักฐานคำให้การขึ้นมาก่อนเถอะเพคะ ลูกสะใภ้และท่านอ๋องอยู่ตรงนี้พอดี และเคยได้เห็นร่างของคนพวกนั้นมาก่อน ก่อนง่ายที่จะเปรียบเทียบ”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งพยักหน้า ให้ข้าหลวงไปถ่ายทอดคำสั่ง ให้ไป๋จื่อหยางไปรอที่เรือนรับรอง รอหลังจากที่ส่งผลลัพธ์แล้วค่อยวางแผนการต่อไป จากนั้นฮ่องเต้เซวียนถ่งก็หันไปมองจ้านเป่ยเซียวที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ : “ร่างกายของเจ้าเจ็ดยังสบายดีอยู่ไหม ข้าหลวง ประทานที่นั่ง”
หลังจากนั้น ทั่วทั้งห้องทรงพระอักษร ยกเว้นฮ่องเต้เซวียนถ่ง ก็มีเพียงจ้านเป่ยเซียวเท่านั้นที่นั่ง เห็นแล้วก็ทำให้เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก
ความรักใครของฮ่องเต้ไม่ค่อยจะชัดเจนเลยจริง ๆ นะ มิน่าจ้านถิงเฟิงถึงได้ไม่สงบเช่นนี้ ต่อให้เท้าทั้งสองของจ้านเป่ยเซียวถูกทำลายใบหน้าเสียโฉม แต่ก็ยังคงเป็นปรปักษ์กับเขาอยู่เช่นเดิม
มองสีหน้าท่าทางของเฟิ่งชิงหัวอยู่ในสายตา จ้านเป่ยเซียวพลันยื่นมือออกมา ในตอนที่ทุกคนยังไม่ทันได้สติกลับคืนมานั่นเองเขาก็พลันดึงนางให้เขามานั่งที่บนขาของตัวเอง
เฟิ่งชิงหัวหลังเหยียดตรงขึ้นมาทันที ดวงตาเบิกโต มองดูจ้านเป่ยเซียวอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้น ก็เอ่ยถามเขาด้วยภาษาปาก: “ท่านกำลังเล่นอะไรของท่านอยู่?”
ก็ได้ยินจ้านเป่ยเซียวเอ่ยขึ้นมา: “เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้ล้มลงมาเล่า หรือว่าหิวแล้วเช่นนั้นหรือ?”
น้ำเสียงทุ่มต่ำอ่อนโยน แฝงไปด้วยความห่วงใย
ความจริงของเรื่องราวมีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นที่รับรู้ เมื่อได้ยินเสียงสนทนาของจ้านเป่ยเซียว ก็คิดว่าเฟิ่งชิงหัวทรงตัวไม่มั่นคงอย่างไม่ทันระวัง ฮ่องเต้เซวียนถ่งเองก็กล่าวขึ้นมาอย่างเป็นห่วงเป็นใยตาม: “เช่นนั้นก็ให้ข้าหลวงเขาเก้าอี้เข้ามาอีก”
“ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ แบบนี้ก็ได้” จ้านเป่ยเซียวเอ่ย มองไปยังเฟิ่งชิงหัว และกล่าวด้วยแววตาลึกซึ้ง: “พระชายาไม่ค่อยชอบนั่งเก้าอี้เท่าไรนัก”
เฟิ่งชิงหัวริมฝีปากเผยอเล็กน้อย พยายามแสดงท่าทางปีติยินดีออกมาอย่างเต็มที่ และอดกลั้นไม่ให้ตนเองเหลือบตามองบนออกมา
“ทำไม เท้าข้างเดียวไม่พอหรือ?” กล่าวไป จ้านเป่ยเซียวก็พลันกอดเอวของเฟิ่งชิงหัว และอุ้มนางขึ้นมาในแนวขวางอยู่บนขาทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียว
เท้าของบุรุษหนุ่มแข็งแรงมีพลัง ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวนั่งลงไปก็รู้สึกร่างกายดีดเล็กน้อย