พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 195 ฉากลวงในการแต้มจุดพรหมจรรย์
หนานกงเยว่หลีถูกผลักในครั้งนี้เป็นการผลักจริง ซึ่งไม่เหมือนกับเมื่อครู่ที่แสร้งทำเอง ได้เพียงรู้สึกว่ากระดูกบั้นท้ายมีความเสี่ยงที่จะหักอยู่บ้าง
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงกำลังยื่นมือจะไปดึงขึ้นมา แต่เฟิ่งชิงหัวกลับฟาดแส้ลงไปทันที นางก็หลบไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ
เฟิ่งชิงหัวดึงหนานกงเยว่หลีขึ้นมาอีก แล้วก็ตบไปบนใบหน้าของนางทั้งสองข้าง จากนั้นก็ใช้แรงถีบอย่างรุนแรงออกไปอีก ถีบจนหนานกงเยว่หลีลอยออกไปไกล 2 เมตรเลย
“พูด เจ้าคิดจะยั่วยวนองค์รัชทายาทมานานแล้วใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นเจ้าที่เป็นผู้หญิงที่อยู่ในจารีตประเพณีร่ำเรียนสิ่งต้องห้ามของสตรีมาอย่างคุ้นเคยคนหนึ่งเหตุใดจึงแอบนัดพบกับองค์รัชทายาทเพียงลำพังถึงหลายครั้งหลายครา!” เฟิ่งชิงหัวตะโกนกล่าวออกมาอย่าง “บ้าคลั่ง”
“ไม่ ข้าเปล่า เจ้า เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช” หนานกงเยว่หลีกดไปที่ท้องของตนเอง กล่าวออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความอ่อนแอ
เฟิ่งชิงหัวเดินเข้ามา ฝ่าเท้าเหยียบไปยังหน้าอกของนาง จับผมของนางไว้แน่น แล้วก็ออกแรงเขย่า เขย่าเครื่องประดับตุ้งติ้งที่อยู่บนศีรษะของนางหลุดหมด คราวนี้หนานกงเยว่หลีก็ถูกขยี้ผมจนเหมือนกับคนบ้าก็ไม่ปาน เฟิ่งชิงหัวระบายความเจ็บปวดที่อยู่ในใจเสียงดังออกมาว่า: “เจ้ายังไม่ยอมรับ? งั้นเหตุใดน้องสามถึงได้วิ่งมาโอ้อวดกับข้าว่าเจ้าไหว้วานให้นางช่วยไปส่งจดหมายให้องค์รัชทายาท มีการเขียนจดหมายไปมากับน้องเขยของตนเอง นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงตระกูลดีๆ คนหนึ่งควรจะทำกันงั้นหรือ? หากเจ้าไม่ยอมรับ งั้นพวกเราก็ให้น้องสามออกมาอธิบายให้กระจ่างไปเลย”
“หนานกงเยว่ลั่ว เจ้ารีบวางมือเดี๋ยวนี้นะ รีบปล่อยพี่ใหญ่ของเจ้าเสีย! เจ้าคนอกตัญญูชั้นต่ำ เจ้ารีบปล่อยมือให้ข้าเดี๋ยวนี้เลย!” ในที่สุดฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็ดึงสติกลับมาได้ โผเข้ามาปกป้องหนานกงเยว่หลีไว้
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่าง “ไม่อยากจะเชื่อ” : “ท่านแม่ ข้าก็เป็นลูกสาวของท่านเช่นกัน พี่ใหญ่ก็เป็นลูกสาวของท่าน ทำไมเห็นๆ กันอยู่ว่าพี่ใหญ่ทำลายคู่ครองของข้า ท่านไม่ออกหน้าให้ข้า คิดไม่ถึงยังท่าว่าข้าเสียๆ หายๆ เช่นนี้อีก? หรือว่าก็เพราะว่าข้าไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากท่านกับท่านพ่อ? ท่านพ่อดีกับท่านขนาดนั้น ท่านทำแบบนี้มันยุติธรรมต่อเขางั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวพูดเร็วมาก ฮูหยินเฉิงเซี่ยงไม่อาจคิดตามได้ทันในชั่วขณะหนึ่ง แล้วยังมีอ้อมค้อมอะไรมากมายอยู่ในนั้นอีก จึงกล่าวออกมาตามสัญชาตญาณว่า: “เจ้าไม่คู่ควรเป็นลูกสาวของข้าอยู่แล้ว!”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวว่า: “ถึงตอนนี้แล้ว ท่านยังพูดคำพูดเพราะอารมณ์พวกนี้อีกหรือ? ตอนนี้ยังไงเสียข้าก็เป็นถึงพระชายาท่านอ๋องเจ็ด นิสัยของพี่ใหญ่เช่นนี้ ท่านยังจะปกป้องนางไว้อยู่อีกหรือ?”
“คำพูดตามอารมณ์อะไรกัน พวกนี้เป็นคำพูดจากใจจริง!” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงกล่าวออกมาด้วยเสียงแข็งกร้าว
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม: “นี่ท่านแม่ไม่อยากเกี่ยวดองกับราชวงศ์แล้วอย่างงั้นหรือ? เดิมแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวของตระกูลหนานกง ข้าไม่ได้คิดจะพูดออกมา เป็นท่านที่จะต้องทำให้เรื่องเดินมาถึงทางตันเอง งั้นข้าก็จนปัญญา ข้าได้เพียงเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตนเอง เอาเรื่องจริงที่พี่ใหญ่และองค์รัชทายาทถอนหมั้นมากล่าวต่อหน้าสาธารณชน”
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงได้ฟังก็กล่าวออกมาด้วยความโมโหว่า: “หุบปาก เรื่องนั้นเห็นได้ชัดว่าเจ้าปรักปรำพี่ใหญ่ของเจ้า”
“ปรักปรำงั้นหรือ? งั้นก็รอให้ข้าพูดออกมาให้พี่ใหญ่ค่อยๆ เฟิ่งชิงหัวกระจ่างก็แล้วกัน” เฟิ่งชิงหัวยิ้มออกมาอย่างเฉยเมยเป็นพิเศษ
อันที่จริงแล้วโดยเนื้อแท้แล้วนางไม่ได้คิดจะพูด แต่ว่าสำหรับความคิดสกปรกแบบนี้รู้สึกว่าคนที่อยู่ภายใต้โลกใบนี้ต่างเป็นคนต่ำช้าย่อมแน่นอนว่ารู้สึกว่านางจะต้องพูดออกมาอย่างแน่นอน
อันที่จริงแล้วจุดพรหมจรรย์หนึ่งเม็ดจะสามารถแทนอะไรได้ ก็เพียงแค่มันเป็นเพียงฮอร์โมนเอสโตรเจนจากสัตว์บวกกับน้ำแดงที่ต้มแล้วแตะที่ข้อมือของผู้หญิงก็เท่านั้นเอง แต่จะค่อยๆ หายไปเมื่อเจอกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถล้างออกได้ด้วยน้ำ ยังไงก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทดสอบความบริสุทธิ์เลย เพียงแต่ว่าให้เกิดผลยังยั้งขึ้นมาอยู่บ้าง เพื่อเตือนผู้หญิงให้รักนวลสงวนตัวก็เท่านั้น
หากเป็นหนานกงเยว่หลีไปแต้มจุดนี้มาจากที่อื่น ก็สามารถถูไถไปได้ตามแบบเดิม แต่เฟิ่งชิงหัวก็จะให้นางในวันนี้คว้าน้ำเหลวไปเลย สำหรับนางจะบริสุทธิ์หรือไม่นั้น พระสวามีของนางทราบก็คงจะดีไม่น้อย?
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงมองมาทางเฟิ่งชิงหัวด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรง แล้วกล่าวเตือนว่า: “หากเจ้ากล้าพูดจาส่งเดชเช่นนี้ ข้าก็ ข้าก็จะตีเจ้าคนชั้นต่ำอย่างเจ้าให้ตายเสีย!”
เสียงดัง “พั๊ว” อยู่ครู่หนึ่ง บนแผ่นหลังของฮูหยินเฉิงเซี่ยงถูกตวัดตีอย่างรุนแรงออกมาเป็นรองหนึ่งเส้น เจ็บปวดจนร่างของนางทั้งร่างคุกเข่าลงไปกลิ้งอย่างสั่นเทากับพื้นเลย พูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่ประโยคเดียวนานมาก
ใบหน้าที่เย็นชามองมายังทั้งสองคนที่อยู่บนพื้น: “ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นลูกสาวของจวนเฉิงเซี่ยง ข้าจะต้องไว้หน้าพวกเจ้าทำไมอีกเล่า ฮูหยินเฉิงเซี่ยง กล้าดีอย่างไรถึงกล้ามาด่าว่าเหยียดหยามพระชายา เจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษทัณฑ์สถานใด? ทหาร จับสองคนนี้มัดไว้ให้ข้า อีกประเดี๋ยวส่งมอบให้เฉิงเซี่ยงให้ตัดสินความผิดเองคนที่เหลือไปเชิญคุณหนูสามออกมาจากหลังเรือน”
องครักษ์พวกนั้นจะเดินเข้าไปอีก แต่กลับถูกองครักษ์ลับของจวนเฉิงเซี่ยงขัดขวางเอาไว้
“ก่อนเฉิงเซี่ยงกลับมา ใครก็ไม่อนุญาตให้เข้าไป!”
“แผ่นดินกว้างใหญ่ยังไงก็เป็นดินแดนของฮ่องเต้ พวกข้าเป็นตัวแทนฝ่าบาทเพื่อมาปฏิบัติราชการ เจ้าเป็นแค่องครักษ์ลับของจวนเฉิงเซี่ยงคิดไม่ถึงว่าจะกล้ามาขวางทางพวกข้า!” จะเป็นได้อย่างไรที่ราชองครักษ์จะไร้ฝีมือได้ เตะไปสองสามทีก็ทำให้องครักษ์ลับพลิกคว่ำไปเลย กำลังเตรียมจะบุกเข้าไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” หนานกงจี๋ที่รับร้อนกลับมารีบลงจากม้า แล้วพุ่งทะยานมาทางด้านนี้เลย มองดูลูกเมียคู่นั้นที่จนตรอกไปทั้งร่าง สีหน้าดูแย่อย่างไม่อาจหาที่เปรียบได้: “พระชายาท่านอ๋องเจ็ด นี่ท่านทำอะไร? แม้ว่าท่านจะเป็นผู้แทนเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่แทนก็ไม่สามารถทุบตีคนในครอบครัวของขุนนางในราชสำนักได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ยังเป็นท่านแม่และพี่สาวของท่านด้วย”
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะออกมา: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงคำพูดนี้ก็พูดเกินไป แม้ว่าจะทราบว่าข้าเป็นตัวแทนพระองค์ ก็ยังน่าจะจำได้ว่าข้าเป็นลูกสาวของจวนเฉิงเซี่ยง และก็ทราบว่าฐานะของข้าเป็นพระชายาท่านอ๋องเจ็ด แต่กลับปิดประตูจวนสสนิท และยังเอ่ยวาจาด่าว่าเหยียดหยาม ต่อหน้าสาธารณชนก็กล่าวหาว่าข้าไม่ใช้ลูกสาวของจวนเฉิงเซี่ยง หลายเรื่องติดต่อกัน คนที่อยู่ ณ ตรงนี้ต่างเป็นพยานให้ได้ ไม่ใช่ว่าข้าพูดเอาเองอยู่ฝ่ายเดียว”
หนานกงจี๋มองมายังแม่ลูกคู่นั้นและกล่าวด้วยเสียงเย็นชา: “ที่พระชายาท่านอ๋องเจ็ดพูดเป็นความจริงหรือ?”
เผชิญกับดวงตาคู่นั้น ร่างของทั้งสองคนก็สั่นเหมือนวิญญาณไปเลย ถูกทำให้ตกใจจนพยักหน้าอย่างอ่อนแรงมาก
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงกล่าวแย้งออกมาด้วยเสียงเบาๆ ว่า: “เป็นนางที่ให้คนเปิดเข้ามาแล้วก็จะพุ่งเข้าไป ข้า ข้าก็แค่ ไม่มีทางเลือก”
หนานกงจี๋แอบด่าออกมาว่าไม่ได้เรื่องหนึ่งคำ
“พระชายาท่านอ๋องเจ็ด ฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็เพียงแค่ใจร้อนขึ้นมาชั่วขณะ หรือว่านางไม่ได้บอกท่านว่ากระหม่อมเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท พวกท่านรีบร้อนเข้ามาหาลูกสาวของข้าเช่นนี้ หรือเป็นไปได้ว่ามีเป้าหมายอะไรที่ไม่สามารถบอกให้ทราบได้งั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวมองมายังเฉิงเซี่ยงด้วยรอยยิ้ม: “ทุกคนต่างก็ทำภารกิจเพื่อฝ่าบาททั้งนั้น ราชโองการหนึ่งวันยังไม่ได้ลงมา พวกเราก็แค่จัดการภารกิจตามความประสงค์ของฝ่ายาทเท่านั้นเอง มีปัญหาอะไรหรือ? อย่าว่าแต่จวนเฉิงเซี่ยง แม้แต่เป็นวังหลวง พวกข้าก็กล้าบุก!”
“เจ้า เจ้าลูกชั่วช้า!”
“อ๋อ ลืมเตือนใต้เท้าเฉิงเซี่ยงไป เมื่อครู่ฮูหยินของท่านได้กล่าวไว้แล้วว่าข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกสาวของจวนเฉิงเซี่ยง ดังนั้นคำเรียกนี้ ท่านก็ไม่คู่ควรที่จะมาเรียกข้าเช่นนี้ด้วย หากมีครั้งหน้าอีก ข้าก็จะต้องโทษพวกเจ้าตามกฎมณเฑียรบาล”
หนานกงจี๋ก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับนาง ก็เลยหยิบเอาราชโองการที่อยู่ในมือออกมาเลย
“ราชโองการอยู่นี่ ยังไม่คุกเข่าลงรับราชโองการอีก?” หนานกงจี๋มองมาทางเฟิ่งชิงหัวอย่างแอบแฝงไว้ด้วยความลำพองใจ
ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างรีบคุกเข่าลง แม้แต่เฟิ่งชิงหัวก็คุกเข่าลงมาเช่นกัน หนานกงจี๋กางราชโองการออกกำลังเตรียมที่จะป่าวประกาศ ก็ได้ยินเฟิ่งชิงหัวพูดอย่างกะทันหันออกมา: “รอก่อน!”