พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 199 ไหมสวรรค์
“เจ้ามีแผนในใจก็ดีแล้ว กลับกันเถอะ” จ้านเป่ยเซียวเท้าคางเอาไว้แล้วกล่าวออกมาด้วยความเกียจคร้าน
เฟิ่งชิงหัวมองมายังทั้งซ้ายขวาหน้าหลังของเขานี้ที่รายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย แล้วก็ส่ายศีรษะ: “ไม่ดีกว่า ข้าเองชอบติดดินมากกว่า เจ้าดึงดูสายตาของผู้คนมากเกินไป”
นางน่ะไม่อยากจะเป็นเหมือนจ้านเป่ยเซียว นั่งอยู่บนเกี้ยวนี้ แต่เมื่อใดที่พบเจอกับชนชั้นที่ด้อยกว่าหรือว่าคนในวังก็จะโค้งคำนับตัวลง
ในขณะที่กำลังคคิดเช่นนี้อยู่นั้น รอบเอวของนางจู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างมารัดเอาไว้ เฟิ่งชิงหัวได้เพียงก้มศีรษะลงไปทันมองอยู่ครู่หนึ่ง เป็นไหมขาวเส้นหนึ่ง จากนั้นก็ถูกม้วนขึ้นไปบนเกี้ยวเลย
“เคลื่อนเกี้ยว!” คนวังพูดลากเสียงยาวออกมา จากนั้นก็แบกพวกเขาเคลื่อนออกไปทางด้านนอกวัง
“โอ๊ย ข้าไม่นั่งเกี้ยว!” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยอาการโมโห
ได้ยินดังนั้นจ้านเป่ยเซียวก็เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็โอบเฟิ่งชิงหัวเอามาไว้บนร่างของตน: “ไม่ยอมนั่งเกี้ยว อยากนั่งบนตัวของข้า เจ้าช่างตรงไปตรงมาจริงๆ เลยนะ”
“อะไรกันเนี่ย!” เฟิ่งชิงหัวตื่นเต้นหวั่นไหวจนเกือบจะกระโดดขึ้นมาแล้ว: “เจ้ารียปล่อยข้าลงไปนะ กลางวันแสกๆ เจ้าไม่รักษาหน้าตาแต่ว่าข้าต้องนะ!”
“เจ้าก็รู้ว่ากลางวันแสกๆ เจ้าร้องเสียงดังเช่นกัน หรือว่าไม่กลัวถูกคนคิดว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่?” ดวงตาลึกล้ำของจ้านเป่ยเซียวจ้องไปยังเฟิ่งชิงหัว เอนกายลงมาเพื่อที่จะแนบชิดนาง มุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มแคบๆ ขึ้นมาหนึ่งรอย
เหนือศีรษะแสงอาทิตย์แสบตา อารมณ์ร้อนของฝ่ายชายปะทุอยู่บนใบหน้า เฟิ่งชิงหัวเอะอะจนหน้าแดงไปหมด
ยกมือก็กดไปบนหน้าของจ้านเป่ยเซียว: “เจ้าอยู่ไกลข้าหน่อย”
จ้านเป่ยเซียวจับใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวเชิดขึ้น เล่นหูเล่นตา ในดวงตานั้นแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอยู่ จ้องไปยังใบหน้าของเฟิ่งชิงหัว แอบแฝงไว้ด้วยความขบขัน: “เจ้าก็ดูเองแล้วกันว่าเจ้าหนีไปได้ไหม?”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็อยากจะกระโดดลงรถ แต่ของที่อยู่รอบเอวกลับรัดนางแน่นขึ้นเรื่อยๆ นางก้มศีรษะไปดูก็กล่าวออกมาอย่างประหลาดใจว่า: “นี่คือ? เส้นไหมสวรรค์?”
“พอมีความรู้อยู่บ้างนี่” จ้านเป่ยเซียวยิ้มอยู่
“ทำไมเจ้าจึงมีของสิ่งนี้ได้? ข้าได้ยินว่าของสิ่งนี้ไฟไหม้ก็ไม่ละลาย ถูกน้ำก็ไม่เปียกชื้น มีดฟันก็ไม่ขาด ยังสามารถถอนพิษได้อีกด้วย จริงหรือลวงกันแน่?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น นางศึกษาวิชาเกราะกลไกมาเป็นเวลานาน แน่นอนว่าก็ย่อมเคยได้ยินของล้ำค่าแบบนี้ เพียงแต่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนก็เท่านั้นเอง
ไหมสวรรค์เดิมนั้นก็เป็นของหายากอยู่แล้ว สามารถเย็บปักให้กลายเป็นผืนใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงก็ไม่ง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีรอยตำหนิในผืนหนึ่งได้เช่นนี้ก็ยิ่งไม่มีเลย ลักษณะเป็นผ้าไหมสีขาวหิมะผืนหนึ่ง
จ้านเป่ยเซียวกระแอมออกมาเบาๆ : “มีของแบบนี้มันยากมากเลยหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวกลอกดวงตาไปมา คิดถึงใบหน้าหยิ่งทะนงที่หลบอยู่หลังหน้ากากของคนผู้นี้ จู่ๆ ยื่นมือออกไปโอบไหล่ของจ้านเป่ยเซียวเอาไว้แน่น น้ำเสียงก็อ่อนยวบลงมาไม่น้อย: “ท่านอ๋อง”
สองพยางค์ เรียกได้จับใจคนจริงๆ ช่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ
จ้านเป่ยเซียวก้มศีรษะลง มองมายังบางคนที่กำลังยิ้มแย้มออกมาราวกับดอกไม้ให้ตนเอง แผ่นหลังเย็นวาบไปในทันใด จากนั้นก็ดูลำพองใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
จะว่าไปแล้วหลิวหยิ่งก็มีข้อดีอยู่บ้าง
กระแอมออกมาเบาๆ จ้านเป่ยเซียวแหงนคอมองไปยังเบื้องหน้า ก็คือว่าไม่ได้ดูเฟิ่งชิงหัว แล้วก็กล่าวออกมาด้วยเสียงเฉื่อยชาว่า: “เรียกข้าทำไมหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวแอบขบฟันแล้วก็ด่าว่าเย่อหยิ่งให้ตายไปเลยออกมาหนึ่งคำ
แต่เพื่อให้สามารถทำการศึกษาค้นคว้าไหมสวรรค์นี้ว่าเป็นจริงดังในตำนานหรือไม่นั้น ในตอนนี้นางก็คันไม้คันมือไปหมดแล้ว
เฟิ่งชิงหัวทำการหารือกับจ้านเป่ยเซียว: “ท่านอ๋อง สามารถยืมไหมสวรรค์นี้ของท่านให้ข้าสองวันได้หรือไม่?”
“ของของข้าไม่ยืมให้คนนอกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาด้วยภาษาที่เย็นชา
เฟิ่งชิงหัวเม้นปาก: “งั้นท่านคิดว่าจะขายเท่าไหร่ ข้าซื้อก็ได้นะ?”
ได้ยินดังนั้นจ้านเป่ยเซียวก็หดสายตากลับทันที แล้วมองสังเกตการณ์นางไปทั้งร่าง: “ขาย? งั้นเจ้าคิดว่าจะใช้อะไรซื้อ? เจ้ามีเงินไหม?”
“ตอนที่ข้าแต่งมาที่นี่ ไม่ใช่ว่ามีสินสมรสเหรอ? ท่านก็สามารถใช้ของพวกนั้นแลกเปลี่ยนได้” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างหน้าไม่อาย แต่ความจริงแล้วในใจก็เกิดการละอายใจอยู่บ้าง ก็แค่ของเก่าที่ผุพังพวกนั้น แม้แต่มุมเล็กๆ มุมหนึ่งของไหมสวรรค์นี้ก็ซื้อไม่ได้
จ้านเป่ยเซียวยังคงแหงนศีรษะมองไปยังเบื้องหน้าอยู่ ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว
เกี้ยวถูก 6 คนแบกเอาไว้อยู่ ทั้งนิ่งคงที่ทั้งสบาย ราวกับว่าอยู่บนพื้นที่ราบเรียบ แต่ในใจเฟิ่งชิงหัวกลับอึดอัดเช่นกัน
คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กล่าวออกมาอีกว่า: “ตอนนี้ข้าไม่มีเงิน แต่ว่า แต่ว่าเดี๋ยวก็จะมีเงินแล้ว ไม่ใช่ตกลงกันไว้แล้วเหรอ ข้าปรับปรุงรูปแบบอาหารในภัตตาคารของพวกเจ้า จากนั้นเจ้าก็จะให้ผลประโยชน์แก่ข้าน่ะ? ภัตตาคารของพวกเจ้ามีเงินขนาดนั้น แน่นอนว่าผลประโยชน์ของข้าก็คงจะได้เงินไม่น้อยแน่”
“งั้นเจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าเจ้าเป็นหนี้ข้าหนึ่งล้านตำลึงอยู่ ยังเป็นหนี้หนังสือสัญญาที่จะคืนหนี้ให้ข้าภายในสองปีด้วย? ภายในสองปีเงินทองที่เจ้าสามารถหาได้ทั้งหมดนั้น ทั้งหมดให้เป็นของจวนอ๋องเจ็ด? เจ้าพูดให้ฟังหน่อยว่าเจ้ายังมีเงินอะไรอีก?” จ้านเป่ยเซียวก้มศีรษะกวาดสายตามองไปที่นาง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความทะนงตัว
เฟิ่งชิงหัวถลึงตาจ้องไปอย่างประหลาดใจ: “ภายในสองปีเงินทองที่หามาได้ทั้งหมดน่ะเหรอ? สัญญาของพวกเราเขียนไว้เช่นนี้เหรอ? งั้นบำเหน็จที่ข้าได้มาทั้งหมดจากใบวังก็ใช่งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ เจ้า พระชายาอ๋องเจ็ด ภายในสองปีนี้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่ได้มาล้วนเป็นของจวนอ๋อง และก็เป็นของข้าด้วย เจ้าอธิบายมาหน่อยว่าเจ้ามีเงินอะไรที่จะมาซื้อไหมสวรรค์ผืนนี้ของข้า? หรือว่าเจ้ารู้สึกว่าของชิ้นนี้ซื้อง่ายนักน่ะ?”
เฟิ่งชิงหัวถลึงตาโตออกมาด้วยความโมโห: “นี่มันไม่เหมือนกับที่พูดไว้ก่อนหน้านี้เลย เห็นได้ชัดว่าตกลงกันไว้ดีแล้วว่าเงินที่ในภัตตาคารหามาได้ทั้งหมดให้เอามาหักกลบลบหนี้ต้นปะการังต้นนั้น!”
“ทั้งหมดให้เอาหนังสือสัญญาเป็นหลัก”
“พ่อค้าหน้าเลือด!” เฟิ่งชิงหัวด่าว่าออกมาด้วยอารมณ์โมโหยกใหญ่!
“เจ้าพูดอะไรนะ?” จ้านเป่ยเซียวหรี่ตาลง และมองมายังเฟิ่งชิงหัวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความอันตราย
ในลำคอของเฟิ่งชิงหัวเปล่งเป็นเสียงดัง “อิดออด” ขึ้นมา จากนั้นอารมณ์ก็อ่อนยวบลงมาเท่าหนึ่ง: “งั้น งั้นข้าใช้โคมเคลือบอันนั้นมาแลกเปลี่ยนน่าจะพอได้แล่วล่ะมั้ง?โคมนั้นไม่ใช่ว่าเจ้ามอบให้ข้าหรอกหรือ?ตอนนี้ข้าแค่ต้องการไหมสวรรค์ผืนนี้”
“ข้ามอบให้เจ้า ก็เป็นเพียงแค่มอบให้เจ้าไว้ชมเชยเท่านั้น ไม่เคยบอกว่าสามารถให้เจ้าเอาไปซื้อขายได้ตามใจชอบ? ต่อไปไม่ว่าอะไรก็ตามที่ข้ามอบให้เจ้า ไม่อนุญาตให้เจ้าไปมอบให้ผู้อื่น! ขายยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย!”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ผู้หญิงคนนี้คิดไม่ถึงว่ายังจะมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้อีก นั่นเป็นสิ่งที่เขามอบให้เชียวนะ!
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น สีหน้าลอยไปสุดลูกหูลูกตา ก้มศีรษะลงไปแล้วก็ลูบคลำไปยังไหมสวรรค์อย่างเสียดาย เจ็บปวดหัวใจเป็นอย่างมาก: “งั้นให้ข้าดูอีกหน่อยได้ไหม?”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยเสียงหยาบกระด้าง: “นี่ไม่ใช่ว่ามัดไว้บนเอวของเจ้าแล้วหรือ?”
“อ่อ” ดังนั้นเฟิ่งชิงหัวก็เลยก้มศีรษะแล้วเริ่มศึกษาวิจัยขึ้นมาทันที ดูอย่างละเอียดมากเป็นพิเศษ แม้แต่ลายเส้นยังประณีตมากเป็นพิเศษ มองดูอย่างละเอียด ลายเส้นนั้นคิดไม่ถึงว่ายังละมุนดุจเมฆแต่ละก้อนๆ มันช่างเป็นสิ่งที่คาดคิดไม่ถึงเลย
เฟิ่งชิงหัวยิ่งดูก็ยิ่งใจเต้นรัวขึ้น หากไม่ใช่อีกด้านหนึ่งของไหมสวรรค์นั้นยังอยู่ในมือของคนอื่น นางอยากจะอุ้มเจ้าของล้ำค่านี้ไปแล้วหนีไปเลย
เฟิ่งชิงหัวใช้นิ้วค่อยๆ ลูบคลำไปยังผ้าไหมที่อยู่บนเอวอย่างละมุนละม่อม จ้านเป่ยเซียวก็ก้มศีรษะมองไปยังสีหน้าท่าทางของนางอยู่ เห็นว่านางดูเหมือนว่าจะชอบมากจริงๆ อดที่จะลำพองใจไม่ได้ และกล่าวออกมาอย่างทนไม่ไหวว่า: “ต่อไปหากติดตามข้าสิ่งของที่ล้ำค่าหาได้ยากยิ่งกว่านี้เจ้าก็จะได้เห็นแน่นอน”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นเงยศีรษะขึ้น มองไปที่เขาอย่างเคร่งขรึม เม้มปากครู่หนึ่ง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยการได้รับความไม่เป็นธรรม
นางกลับไม่อยากเห็นอีกด้วยซ้ำ เมื่อไม่เห็นก็ทำเป็นว่าไม่มีอยู่ เห็นแล้วก็ไม่อาจมีไว้ในครอบครองอีก ความเจ็บปวดแบบนั้นนางไม่อยากจะต้องประสบพบเจออีกแล้ว
เกี้ยวแบกมาตลอดจนถึงหน้าประตูวัง และต่อมามั้งสองคนก็เปลี่ยนมาเป็นรถม้า
หลิวหยิ่งก็รออยู่ข้างรถม้า เริ่มแรกเมื่อตอนที่เห็นทั้งสองคนออกมากำลังจะเตรียมคำนับ อึ้งไปเมื่อได้เห็นบนเอวของพระชายามีไหมสวรรค์รัดพันเอาไว้และกำลังก้มศีรษะมองอย่างไม่พอใจอยู่ แม้แต่คำเดียวก็ไม่พูดแล้วก็ขึ้นรถม้าไปเลยและในมือของนายน้อยตนเองกำลังจับอีกมุมหนึ่งเอาไว้อยู่