พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 204 นี่ไม่ใช่ใบหน้าของข้า
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเดินทางมาได้ครึ่งทางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ภูเขาลูกนี้ยิ่งชันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองข้างทางไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าขึ้น
“ด้านหน้าคือหน้าผา เจ้าไปไหนไม่ได้หรอก ยังไม่ยอมแพ้อีก!” ทหารที่ตามมาด้านหลังตะโกนเรียก
ด้านหน้ามีหมอกหนา ทหารที่ตามมาด้านหลังหันหลังกลับ เฟิ่งชิงหัวหันหัวม้าแล้วมุ่งหน้าเข้าใส่คนพวกนั้น ริมฝีปากของนางเริ่มกระตุกยิ้ม “ทำไมต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า”
ระหว่างที่กล่าว เฟิ่งชิงหัวก็เอานิ้วมือมาวางไว้ที่ริมฝีปากแล้วส่งเสียงผิวปากยาวที่เสียดหูและแหลมปี๊ด
คนกลุ่มนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะมีวิชาเช่นนี้ ต่างพากันเอามือขึ้นปิดหู
เฟิ่งชิงหัวถือโอกาสนี้พุ่งทะยานไปตามทางที่ตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทหารจึงวิ่งตามหลังมาอีกครั้ง
เฟิ่งชิงหัวตั้งใจมุ่งหน้าไปยังป่ารก หลังจากนั้นก่อนที่นางจะหมดแรงไปเสียก่อน สุดท้ายนางก็หมอบลงที่พุ่มไม้พุ่มหนึ่งแล้วถอนหายใจแรง
นางพักผ่อนไปครู่หนึ่งเพื่อฟื้นฟูพลังของตนเองกลับมาเล็กน้อย เฟิ่งชิงหัวพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก ตอนนี้นางไม่สามารถลงเขาไปได้อีกแล้ว หนานกงจี๋จะต้องเตรียมคนเฝ้าตีนเขาเอาไว้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกันนางไม่อาจอยู่บนเขาได้นานเกินไปนัก เพราะหากนางอยู่นานเกินไป หากหมอกบางลงนางจะตกอยู่ในอันตราย
ดูท่าแล้วตอนนี้นางเหลือเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือฝ่าวงล้อมกลับไป
ยาพิษที่นางพกติดตัวมาก็เหลืออีกไม่เยอะนัก ไม่สามารถจัดการศัตรูได้มากมายเช่นนั้น
ในระหว่างที่นางกำลังครุ่นคิดหาทางออกอยู่นั้นเอง เฟิ่งชิงหัวก็ได้ยินเสียงหึ่งๆ เล็กแหลมดังขึ้นมา
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง นางจึงเห็นว่ามีรังผึ้งรังใหญ่อยู่บนกิ่งไม้ใหญ่กิ่งหนึ่ง และยังเห็นผึ้งตัวผู้บินผลุบโผล่อยู่บริเวณนั้น ตอนนั้นเฟิ่งชิงหัวจึงยิ้มออกมา
รังผึ้งน้อยใหญ่คาดว่าน่าจะมีผึ้งตัวผู้อย่างน้อยๆ หลายหมื่นตัว ซึ่งนางคิดว่าพวกมันน่าจะช่วยนางได้ไม่มากก็น้อย
แน่นอนว่านางไม่สามารถควบคุมผึ้งจำนวนมากหลายหมื่นตัวเช่นนี้ได้ แต่นางคิดออกว่าผึ้งหลายหมื่นตัวพวกนี้จะต้องฟังคำสั่งของผึ้งนางพญาอย่างแน่นอน
เฟิ่งชิงหัวขึ้นไปบนกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่ว นางขึ้นไปถึงรังผึ้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงมองเห็นผึ้งนางพญาที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าผึ้งตัวผู้มาก จากนั้นจึงค่อยๆ เอายากล่อมประสาทโรยไว้รอบตัวผึ้งนางพญา
อันที่จริงแล้วเฟิ่งชิงหัวก็ไม่มีความสามารถที่จะควบคุมผึ้งนางพญาได้ สรรพสิ่งหลายอย่างบนโลก นางสามารถควบคุมได้เพียงสิ่งๆ เดียว แต่สัตว์ที่อยู่กันเป็นฝูงและคุ้นเคยสนามแม่เหล็กกันเช่นนี้ พวกมันจะขับไล่สนามแม่เหล็กจากภายนอก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนนอกที่จะมาออกคำสั่งพวกมัน
เฟิ่งชิงหัวท่องคาถา จากนั้นจึงสามารถควบคุมนางพญาผึ้งได้สำเร็จ จากนั้นจึงออกคำสั่งผ่านผึ้งนางพญาให้โจมตีคนพวกนั้น เฟิ่งชิงหัวหลบอยู่ด้านหลังผึ้งตัวผู้พวกนั้นแล้วแอบเดินตามไปทางลงเขา อาศัยจังหวะที่ผึ้งตัวผู้รวมฝูงกันบุกเข้าโจมตีพวกของหนานกงจี๋ ส่วนตัวนางเองนั้นก็หลบหนีไป
หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวหนีไปได้ไม่นาน เงาดำสิบกว่าคนก็ได้แอบตามหลังนางไปเงียบๆเพื่อป้องกันท้ายให้กับนาง
หากเป็นตอนอื่น เฟิ่งชิงหัวย่อมรู้ว่ามีคนสะกดรอยตามนางอยู่ แต่ตอนนี้สภาวะจิตใจของนางกำลังวิตกกังวลอย่างมาก บวกกับคนกลุ่มนั้นที่ตามมาไม่ได้มีเจตนาร้ายกับนาง แถมยังอยู่ห่างจากจวน ทำให้นางไม่ได้สังเกต
เมื่อเห็นว่านางกระโดดเข้าไปในจวนอ๋องเฉินแล้ว พวกเขาถึงจะแยกย้ายกันไป
“นายท่าน พระชายากลับมาแล้วขอรับ” หลิวหยิ่งยืนรายงานอยู่ตรงปากประตูก่อนจะถอยออกจากห้องไป
ตอนนี้ฟ้าใกล้สางแล้ว จ้านเป่ยเซียวลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเปล่งประกาย
เฟิ่งชิงหัวเปิดประตูห้องเข้าไป “จ้านเป่ยเซียว ข้ามีอะไรจะบอกท่าน ข้าเจอ……”
เฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพลางจ้องตากับนางแล้ว สายตาคู่นั้นที่มองมาที่นางช่างคมปลาบ
เฟิ่งชิงหัวหัวใจกระตุกวูบก่อนจะรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เวรกรรม นางรีบกลับมาเกินไปหน่อยจนลืมไปว่าตอนนี้ใบหน้าของนางยังคงเป็นผู้หญิงคนนั้น
หัวใจของเฟิ่งชิงหัวเต้นระส่ำ สมองของนางทำงานอย่างรวดเร็ว พลางกำลังครุ่นคิดว่าตอนนี้ตนเองมีโอกาสเท่าไหร่ที่จะเอาชนะจ้านเป่ยเซียวได้แล้วหนีออกจากจวนอ๋องไปอย่างเหนือกว่า
ไม่ถึงสองส่วน
เฟิ่งชิงหัวแอบถอนใจแล้วหลับตา นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา
จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้นยืนแล้วไพล่มือด้านหนึ่งไว้ข้างหลัง แล้วเดินทีละก้าวเข้าไปหาเฟิ่งชิงหัว
สุดท้ายก็ไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางแล้วก้มลงมองนาง
เฟิ่งชิงหัวรู้ตัวว่าตนเองเห็นโลกมามาก และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนสายตาตรวจสอบของจ้านเป่ยเซียว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนใช้สายตากดดันเช่นนี้กับนาง ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา
ฐานะที่แท้จริงของนางเปิดเผยอย่างรวดเร็วเช่นนี้ นับว่าเป็นผลจากความประมาท เฟิ่งชิงหัวรู้สึกกลัดกลุ้มในตัวเอง
“คือ คือว่าท่านอยากฟังข้าอธิบายหรือไม่ อันที่จริงแล้วข้า……” เฟิ่งชิงหัวกลืนน้ำลายพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว จ้านเป่ยเซียวก็ยกมือขึ้น เฟิ่งชิงหัวจับผ้าไหมขาวในมือเอาไว้แน่น และเตรียมจะต่อสู้
ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวคิดว่าจ้านเป่ยเซียวจะลงมือกับนางนั้น เขาก็ใช้ข้อมือของเขาสัมผัสที่ใบหน้าของนางปลายนิ้วลูบไปตามใบหน้าของนางช้าๆ ราวกับว่าต้องการจะยืนยันอะไรบางอย่าง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็เอ่ยออกมาเบาๆ อย่างดูแคลนว่า “อัปลักษณ์ยิ่ง”
“ห๊ะ?” เฟิ่งชิงหัวชะงักไปพลางจ้องไปที่จ้านเป่ยเซียว ตอนนั้นสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ใบหน้าเดิมของเจ้า อัปลักษณ์ยิ่ง” เขากล่าวออกมาอีกครั้ง
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกราวกับว่าโดนตบหน้าจนเกิดเสียงวิ้งๆ ในหัว
ในตอนนั้น นางอยากจะกระโดดขึ้นมาแล้วจับคอของจ้านเป่ยเซียวเอาไว้พลางตะโกนใส่เขา “ท่านต่างหากที่อัปลักษณ์! ใบหน้านี้ไม่ใช่ใบหน้าของข้า! ใบหน้าที่แท้จริงของข้างามยิ่งกว่านางฟ้า สวยเสียยิ่งกว่าสวย! คนเสียโฉมอย่างท่านกล้าดีอย่างไรมาว่าข้าว่าอัปลักษณ์!”
ทว่าเฟิ่งชิงหัวกลับได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยว่า “จริงหรือ”
จ้านเป่ยเซียวมองสีหน้าแปลกประหลาดของเฟิ่งชิงหัวและคิดว่าคำพูดที่ตรงไปตรงมาของตนทำร้ายนางเข้าให้แล้ว จึงเบือนหน้าหนีเล็กน้อย “วันหลังก็หัดกินอาหารบำรุงความงามเยอะๆ เพื่อจะช่วยได้”
“……” เขาไม่อยากคุยกับเรา และแอบกากบาททับใบหน้าของเราแล้วด้วย
“เช่นนั้นชื่อจริงของเจ้าคืออะไร” จ้านเป่ยเซียวถอยหลังไปสองก้าว สายตาจ้องไปที่นางอย่างลึกซึ้ง
เฟิ่งชิงหัวชะงักและรู้สึกว่าการพัฒนานี้ออกจะแปลกไปหน่อย
เขาควรจะถามนางไม่ใช่หรือว่าทำไมนางถึงปลอมตัวเป็นลูกสาวของเฉิงเซี่ยง มีแผนการอะไร ต้องการมาสอดแนมใช่หรือไม่?
จู่ๆ ก็ถามชื่อนางเช่นนี้หรือ?
“เฟิ่งชิงหัว” เฟิ่งชิงหัวตอบโดยไม่เปลี่ยนแปลงชื่อตนเองแต่อย่างใด
ได้ยินดังนั้น จ้านเป่ยเซียวจึงเลิกคิ้วแล้วกล่าววิจารณ์ออกมา “ชื่อไม่เหมาะสมเลย”
“……” อีกฝ่ายไม่อยากพูดด้วย แถมยังจะปิดปากของเราแน่นอีกต่างหาก
“ว่ามาสิว่าเจ้าไปเจออะไรที่หมู่บ้าน ทำไมสภาพย่ำแย่ขนาดนี้ แถมยังต้องแต่งตัวเหมือนผีแบบนี้อีก” เมื่อเอ่ยถึงครึ่งประโยคหลัง เสียงของจ้านเป่ยเซียวก็เคร่งเครียดขึ้นเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ
เฟิ่งชิงหัวก้มหน้ามองตัวเอง สภาพของนางย่ำแย่อย่างแท้จริง นางต้องพยายามไม่ให้หนานกงจี๋รู้ว่าปี่ซ่าที่อยู่ตรงหน้าเขาคือนาง เลยต้องเอาเสื้อผ้าของเขามาใส่แล้วเปลี่ยนกลับไปใส่เสื้อผ้าของผู้หญิงคนนั้นอีก
ลำพังแค่เสื้อผ้าอย่างเดียวยังไม่เท่าไหร่ แต่พอขึ้นเขาไปล้มลุกคลุกคลานแบบนั้นทำให้ชุดของนางเต็มไปด้วยดินโคลนและเศษใบไม้โดยไม่รู้ว่าติดตั้งแต่เมื่อไหร่ เสื้อผ้าบริเวณขาของนางยังมีรอยขาดเป็นแนวยาวทำให้เห็นเนื้อขาวๆ ของนางโผล่ออกมา
เฟิ่งชิงหัวกำลังจะเอ่ยบางอย่างทว่ากลับถูกขัดขึ้นมา “เจ้าไปอาบน้ำก่อนเถิด”
“แต่เรื่องที่ข้าอยากพูดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก”
“เจ้าจะไปเองหรือว่าจะให้ข้าอุ้มไป ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ต่อหน้าผู้ชายมันได้ที่ไหนกัน!”