พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 206 วิ่งเท้าเปล่าไปทั่ว
น้ำเสียงของเฟิ่งชิงหัวดังขึ้นกว่าเดิมมากอย่างไม่สนใจว่าการแผดเสียงของนางจะทำให้คนอื่นตกใจหรือไม่
ทุกประโยคที่เฟิ่งชิงหัวกล่าว น้ำเสียงของนางจะดังขึ้นเรื่อยๆ ส่วนจ้านเป่ยเซียวกลับหงอยลง สายตาของเขาเริ่มสอดส่ายไปทางอื่น
เมื่อเห็นตามแขนของเฟิ่งชิงหัวมีรอยกิ่งไม้ขูด และยังมีดวงตาของนางที่ปรากฏเส้นเลือดแดงๆ เดิมทีเขาที่มีท่าทางโมโหสุดขีด ตอนนี้เมื่อเห็นนางก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
โดยเฉพาะตอนที่นางพูดว่าตัวเองเป็นคนแข็งแกร่ง จ้านเป่ยเซียวอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองทะลุเสื้อผ้าของนางเข้าไปมองร่างกายอันผอมบางของนาง และอดไม่ได้ที่จะเอามือลูบจมูกและเริ่มครุ่นคิด เมื่อครู่นี้เขาทำอะไรเกินเลยมากไปหรือไม่
“ตอนนี้ท่านคิดว่าข้าเป็นตัวปลอมใช่หรือไม่ ดังนั้นท่านจะทำอะไรกับข้าก็ได้ใช่หรือไม่ อย่างนั้นข้าจะไปแล้ว! จะได้ไม่ขวางหูขวางตาของท่าน!”
เฟิ่งชิงหัวกล่าว พลางกระโดดลงจากเตียงอย่างโกรธเกรี้ยว และเตรียมจะวิ่งออกไปด้านนอก
เฟิ่งชิงหัววิ่งไปที่ประตูและลากประตูเปิดออก ไม่ว่าจะเปิดอย่างไรนางก็เปิดไม่ออก จึงรู้ว่าจ้านเป่ยเซียวได้ลงมือทำอะไรบางอย่างเอาไว้แล้ว
เมื่อเห็นหน้าต่างเปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง นางตั้งท่าจะวิ่งไปที่หน้าต่างโดยที่ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ก่อนจะถูกจ้านเป่ยเซียวโอบเอวของนางเอาไว้และจับนางโยนไปบนเตียง
“วิ่งเท้าเปล่าออกไปเช่นนี้ เจ้าเป็นเด็กน้อยหรืออย่างไร” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงเข้ม ระหว่างที่กล่าวก็เอาผ้าห่มมาคลุมขาของนางเอาไว้ “ดูสิ สภาพของเจ้าเป็นอย่างนี้ไปแล้ว
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนี้ก็โกรธจนแทบอกแทบแตก
“จ้านเป่ยเซียว ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้าคือเฟิ่งชิงหัว ไม่ใช่หนานกงเยว่ลั่ว ไม่ใช่พระชายาของท่าน ท่านสนใจคนผิดไปแล้ว! ข้าอยากจะเดินเท้าเปล่าเดินไปตามพื้นก็เป็นเรื่องของข้า ข้าอยากเดินไปไหนข้าก็เดิน!” เฟิ่งชิงหัวแผดเสียง นางกล่าวอย่างโมโห ขาทั้งสองข้างของนางดิ้นพล่านๆอยู่บนเตียง
จ้านเป่ยเซียวหยุดนิ่งมองนาง แต่เฟิ่งชิงหัวกลับเบือนหน้าหนีอย่างไม่สนใจ
ใครบ้างที่งอนไม่เป็น และใครกันจะเย่อหยิ่งไม่ได้
ถึงอย่างไรก็ฉีกหน้ากันแล้ว อย่างมากคงถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่คงไม่ถึงขั้นทำร้ายนางถึงตายได้ หากนางไม่ตาย นางจะต้องปีนหนีออกไปให้ได้ นางไม่อยากอยู่กับเขา
“หากเจ้าไป เจ้าจะไปที่ไหน?”
“กลับบ้าน!”
“บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน”
“มันเรื่องอะไรของท่าน!” เฟิ่งชิงหัวสบถคำหยาบออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ตอนนี้ในใจของจ้านเป่ยเซียวไม่สบอารมณ์อยู่แล้วส่วนหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดดื้อรั้นเช่นนี้ของเฟิ่งชิงหัว หน้าผากของเขาก็เต้นตุบๆ
เขาแทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แต่เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าขอนางก็หันตัวเดินออกจากห้องไป
เฟิ่งชิงหัวเฝ้ามองแผ่นหลังของเขา จากนั้นจึงถอนใจ เขาไปได้ก็ดี นางจะได้นอนต่อ
แต่ใครรู้จะรู้ว่าในขณะที่นางล้มตัวลงนอนนั้น จ้านเป่ยเซียวก็ย้อนกลับมาและยืนเรียกนาง “ลุกขึ้น”
เฟิ่งชิงหัวทำเป็นไม่ได้ยิน จากนั้นใช้ผ้าห่มคลุมหัวตัวเองเอาไว้
ผ้าห่มถูกเปิดออกมุมหนึ่ง เขาดึงแขนนางออกมา สักพักนางก็รู้สึกถึงวัตถุเย็นๆ บางอย่างมาสัมผัสที่แขนของนาง เฟิ่งชิงหัวแอบแง้มผ้าออกมุมหนึ่ง แต่กลับเห็นว่าจ้านเป่ยเซียวกำลังทายาให้ที่แขนของนาง
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้กล่าวอะไร เพียงหลับตาต่อไปแล้วแกล้งทำเป็นหลับ
จ้านเป่ยเซียวค่อยๆ ทาพลางกล่าวเบาๆ ว่า “คนอย่างหนานกงจี๋ดูภายนอกเป็นคนขี้ขลาด ความจริงแล้วเป็นคนที่มีแผนสูง แถมยังระมัดระวังตัวมาก ต่อให้เจ้าไปถึงที่หมู่บ้าน เจ้าก็คงหาหลักฐานอะไรไม่ได้อยู่ดี และอาจทำให้ตัวเจ้าเองต้องเดือดร้อน คราวนี้เจ้าถูกจับได้ วันหน้าเขาก็คงจะระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม”
จะโทษว่านางแหวกหญ้าให้งูตื่นงั้นหรือ?
เฟิ่งชิงหัวยังคงครุ่นคิดอย่างไม่ยอมแพ้ ต่อให้ข้าถูกเจอตัว แต่ข้าก็ค้นพบความลับที่สำคัญกว่าเช่นกัน แต่ว่าข้าจะไม่บอกท่าน
จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เรื่องศพพวกนั้นต่อให้เกี่ยวข้องกับเขา เจ้าก็ไม่มีทางเชื่อมโยงให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องได้แน่ อยู่ที่จวนอ๋องอย่างว่าง่ายดีกว่า”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นนางก็เปิดผ้าห่มออก “ท่านต่างหากที่ทำไม่ได้ ข้าเก่งจะตาย!”
แววตาของจ้านเป่ยเซียวปรากฏแสงวิบไหว แล้วตั้งใจเอ่ยเรียบๆ ว่า “อย่าตายก่อนแล้วกัน”
แม้ว่าเฟิ่งชิงหัวจะเป็นคนฉลาด แต่หากพูดถึงเรื่องการวางแผนชั่วร้าย จะเป็นคู่ต่อสู้กับจ้านเป่ยเซียวที่คลุกคลีอยู่กับเรื่องนี้มาตั้งแต่เกิดได้อย่างไร ในตอนนั้นนางก็อดทนไม่ไหว
“หนานกงจี๋มีความข้องเกี่ยวกับเผ่าเซียนเปย์ ท่านรู้จักเผ่าเซียนเปย์หรือไม่” เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าแล้วกล่าวอย่างได้ใจ
จ้านเป่ยเซียวตอบกลับไปทันทีว่า “เจ้าอย่าพูดเหลวไหล เผ่าเซียนเปย์สาบสูญไปตั้งนานแล้ว”
“แค่สูญหายแต่ไม่ได้สาบสูญ หลายปีมานี้ไม่มีข่าวคราวของพวกเขาก็เท่านั้น ตอนนี้หนานกงจี๋กำลังแอบให้ความช่วยเหลือเผ่าเซียนเปย์อยู่อย่างลับๆ โดยการหาผู้หญิงมาให้พวกเขาสืบพันธุ์ ที่หมู่บ้านแห่งนั้นจะมีชายฉกรรจ์ถูกส่งตัวมาเป็นช่วงเวลา เมื่อผู้หญิงพวกนั้นตั้งท้องแล้ว เด็กที่เกิดออกมาจะถูกนำตัวไป การที่พวกเขารีบร้อนจะขยายเผ่าเซียนเปย์จะต้องมีอะไรบางอย่างแอบแฝง ยิ่งกว่านั้นศพพวกนั้นคือตัวนำยาที่หนานกงจี๋เป็นคนเลี้ยงดูเอาไว้ และจะถูกส่งต่อไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ครั้งนี้ที่พวกเราจับได้เป็นเพราะว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับผู้ส่งสารที่นำพวกเขาไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีคาถาปลุกผีจึงไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ และนี่เองที่ทำให้ศาลาว่าการพระนครจับได้”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยอย่างอ่อนแรง ก็นี่แหละคือสิ่งที่นางตั้งใจจะกลับมาหารือกับเขา
“อย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาเอาคนพวกนั้นมาทำตัวนำยาทำไม”
“ไม่รู้”
“อย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าหนานกงจี๋มีความสัมพันธ์กับเผ่าเซียนเปย์ หรือว่าเขาเป็นคนเผ่าเซียนเปย์เลย”
“ไม่แน่ใจ” เฟิ่งชิงหัวถูมือแล้วบีบปลายผ้าห่ม
จ้านเป่ยเซียวหรี่ตามองนาง “อะไรก็ไม่รู้สักอย่าง แล้วเจ้ามีอะไรไม่พอใจอีกหรือ”
“ข้าไม่รู้ หรือว่าท่านรู้ล่ะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ปัญหาคือเจ้าค้นพบ แต่กลับจะมาหาคำตอบจากข้า? เฟิ่งชิงหัวทำไมเจ้าถึงโง่ขนาดนี้”
“จ้านเป่ยเซียว!”
“อย่าโวยวาย ข้ามีวิธีการที่ง่ายกว่านั้น นั่นคือทำให้หนานกงจี๋เผยจุดอ่อนออกมาเอง”
“วิธีการอะไร” เฟิ่งชิงหัวมองเขา
จ้านเป่ยเซียวมองเฟิ่งชิงหัวที่กะพริบตาปริบๆ แล้วเลิกคิ้ว “อยากรู้หรือ”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินน้ำเสียงพอใจของเขาเช่นนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนต่อย นางเบือนหน้าหนี แต่พบว่าแขนของนางยังอยู่ในมือของเขา นางรีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวเสียแข็งว่า “ไม่อยาก”
“เจ้าอยากรู้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“อย่างนั้นก็รีบพูดมา” เฟิ่งชิงหัวรีบร้อนกล่าว
จ้านเป่ยเซียวมองมือของตนเองที่ว่างเปล่า จึงขยับเล็กน้อยแล้วเอาไปวางไว้ขาของตนเอง
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือของตนเองไปหาเขาอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นจึงเหลือบตาขึ้นมองแขนของตัวเองที่ปรากฎรอบเขียวช้ำ
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วแน่น จากนั้นจึงปล่อยมือ แล้วชุบยาเช็ดรอยช้ำให้นาง มือของเขาเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน
เฟิ่งชิงหัวเอ่ยเร่ง “ท่านรีบพูดเถิด คิดอะไรนานนัก สรุปแล้วท่านมีวิธีหรือไม่”
“รีบร้อนอะไรกัน การรีบร้อนจะทำให้เจ้าทำทุกอย่างประสบความสำเร็จหรือ”
“แต่ท่านชักช้าแบบนี้ ไม่กลัวว่าหนานกงจี๋จะหนีไปหรือ”
“หนี? เจ้าคิดว่าเขาจะหนีไปไหนได้ หากเขาฟังคำสั่งจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจริง หลังจากถูกจับได้แล้ว เขาจะวิ่งไปหาเจ้านายของเขาหรือว่าจะพยายามสู้จนตัวตายกันล่ะ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงเข้ม
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดเล็กน้อย หนานกงจี๋มีท่าทางเคารพปี่ซ่าอย่างมาก ความเคารพนั้นไม่มีระดับความสูงต่ำ ราวกับว่าเขาเผชิญหน้ากับคนที่ตนเองนับถืออย่างมาก คนเช่นนี้คงจะเลือกหนทางสู้จนตัวตายมากกว่ากระมัง?