พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 215 ของขวัญชิ้นใหญ่ของพี่สะใภ้
เฟิ่งชิงหัวมองพิจารณาจ้านชิงอิงตั้งแต่หัวจรดเท้า : “วรยุทธ์ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
จ้านชิงอิงได้ยินดังนั้นก็พูดอย่างภาคภูมิใจ : “หนึ่งต่อสิบนับว่าไม่มีปัญหา”
เฟิ่งชิงหัวลูบคางแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เช่นนั้นตอนนี้ตนเองคงเอาชนะไม่ได้
“อยากรู้หรือ ได้สิ แต่เจ้าต้องช่วยอะไรข้าสักอย่างก่อน” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“เรื่องอะไร ?”
“หลิวหยิ่ง ไปช่วยข้าหาเชือกมาหนึ่งเส้น เอาที่เล็กและแข็งแรง”
ไม่ช้า หลิวหยิ่งก็หยิบมาหนึ่งเส้น เฟิ่งชิงหัวมุ่ยปาก แล้วสั่งจ้านชิงอิง : “มา มัดมือซ้ายหนึ่งรอบ มัดมือขวาหนึ่งรอบ ใช่แล้ว ตวัดมา เจ้าช้าจริง ๆ เลย ข้าจะช่วยเข้าเอง”
ขณะที่พูด จ้านชิงอิงยังไม่ทันตั้งสติได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มือทั้งสองข้างก็ถูกมัดเรียบร้อยแล้ว คิดที่จะแก้ให้หลุด แต่กลับพบว่ายิ่งแก้ก็ยิ่งแน่น อีกทั้งยังไม่สามารถใช้วรยุทธ์ทำให้มันขาดได้อีกด้วย
จ้านชิงอิงหน้าถอดสี : “นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า ?”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มแล้วพูดว่า : “วันนั้น คนผู้นั้นเตะเจ้าเช่นนี้ใช่หรือไม่ ?”
ขณะที่พูด ก็เหาะลอยตัวแล้วเตะจ้านชิงอิงกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร
หลิงหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยกมือขึ้นปิดหน้า แอบนึกสงสารอยู่ในใจ ในที่สุด วันนี้ก็มาถึงจนได้
จ้านชิงอิงเกิอบล้มลง ไม่ง่ายที่จะกลับมายืนอย่างมั่นคง และยังรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น : “เจ้ารู้ได้อย่างไร ?”
เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม : “เพราะคนที่เตะเจ้า ก็คือข้าอย่างไรเล่า”
จ้านชิงอิงได้ยินดังนั้น ก็จ้องเฟิ่งชิงหัวตาเขม็ง รู้สึกเพียงว่าห่างเหิน ไม่สนิทสนม และจู่ ๆ ก็รู้สึกไม่กล้ารู้จักขึ้นมา ผ่านไปสักพักถึงได้พูดขึ้นมาว่า : “เจ้าเองหรือ ?”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มแล้พูดว่า : “จะจับจุดโคมลอยไหมล่ะ ?”
รอยยิ้มนั้นช่างชั่วร้ายนัก หัวใจดวงเล็ก ๆ ของจ้านชิงอิงถูกทำให้ตกใจไม่น้อย และถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเมื่อคิดได้ว่าตนเองนั้นเป็นผู้ชาย ที่เผชิญหน้าอยู่ก้ฌป้นเพียงแค่หญิงสาวผู้อ่อนแอที่ไร้พิษสง จะทำอะไรเขาได้
จึงยืดอกและพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาทันที : “เป็นเจ้านี่เอง ข้าขอเตือนท่านนะ รีบคลายมัดข้าเดี๋ยวนี้ และยกน้ำยามาคุกเข่าคารวะเพื่อยอมรับผิด มิเช่นนั้นเจ้าไม่มีทางแบกรับผลที่จะตามมาได้แน่นอน”
ขณะที่พูด เขาก็เชิดหน้าอย่างหยิ่งยโส มีทีท่าเหมือนเทพเจ้าที่รอให้คนทั้งโลกมากราบไหว้
ใครจะไปคาดคิด ไม่เพียงไม่ได้รับการกราบไหว้ แต่ถูกเขกหัวเสียนี่
เจ็บจนจ้านชิงอิงร้องโอดโอยตัวงอ : “ผู้หญิงบ้า เจ้ากล้าตีข้าหรือ !”
“เรียกพี่สะใภ้ !”
“เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ท่านพี่เจ็ดของข้าอยากแต่งงานด้วยสักหน่อย ทำไมข้าต้องเรียกเจ้าด้วย ที่ผู้คนภายนอกเรียกเจ้าต่อหน้า ก็เพื่อให้เกียรติท่านพี่เจ็ดของข้าเท่านั้น ตอนนี้ เจ้าเลิกคิดไปได้เลย !” จ้านชิงอิงแสดงทีท่ายอมหักไม่ยอมงอ เอาให้ตายกันไปข้างเดียว
เฟิ่งชิงหัวเขกหัวอีกครั้งอย่างไร้ความปรานี เสียงที่ดังขึ้นนั้น ก้องกังวาลเหมือนเคาะโอ่งน้ำ
ตอนนี้องครักษ์ทั้งห้าสิบคนในลานต่างยืนไว้อาลัย รวมไปถึงหลิวหยิ่งที่คอยยืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของอ๋องสิบสองสูญสิ้นแล้ว
“จะเรียกหรือไม่เรียก !”
“ข้าไม่เรียก ! เจ้าเตะข้าก่อน ซ้ำยังดูถูกข้าอีก ! ข้าจ้านชิงอิงกับเจ้าไม่อาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันได้ !” จ้านชิงอิงตะโกนเสียงสูง
“จะเรียกหรือไม่เรียก !”
จ้านชิงอิงรู้สึกเพียงว่า เหนือศีรษะมีรอยปูดบวมอยู่หลายจุดแล้ว จึงคิดอยากจะหนีตามสัญชาตญาณ ทว่า เฟิ่งชิงหัวได้เตรียมตั้งรับไว้นานแล้ว จึงกวาดขาออกไปทำให้เขาล้มลงทันที
จ้านชิงอิงคิดจะเคลื่อนไหวกำลังภายในเพื่อหลบหนี แต่เฟิ่งชิงหัวจะปล่อยให้เขาสมความปรารถนาได้อย่างไร จึงสกัดจุดเขา ทำให้สูญเสียวรยุทธ์
จ้านชิงอิงเหมือนกับเหยี่ยวที่ถูกตัดปีก เมื่อเห็นเฟิ่งชิงหัวเดินใกล้เข้ามา ก็ใช้ขาทั้งสองข้างตะเกียกตะกาย : “เจ้าคือนังงูพิษ เจ้ากล้าแตะต้องข้า เจ้าเชื่อไหมว่าท่านพี่เจ็ดต้องหย่ากับเจ้าแน่ !”
“หย่ากับข้า ? แล้วเจ้าเชื่อไหมว่า ก่อนที่เขาจะหย่ากับข้า คงวางยาพิษปิดปากเจ้าเสียก่อน ?”
จ้านชิงอิงเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นหญิงขวดใบเล็กที่มีลักษณะแปลก ๆ ออกมาจริง ๆ จึงรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องเกียรติยศอีกแล้ว และตะโกนออกมาเสียงดังว่า : “ท่านพี่เจ็ด ! ช่วยข้าด้วย ! ท่านพี่เจ็ด !”
เฟิ่งชิงหัวอุดหู แล้วพูดด้วยความรำคาญ : “เจ้านี่หนวกหูจริง ๆ”
จ้านชิงอิงกลับไม่สนใจ และตะโกนออกมาสุดเสียง : “ท่านพี่เจ็ด ! ท่านพี่เจ็ด!”
“หลิวหยิ่ง เจ้ามัวแต่ยืนบื้ออยู่ตรงนั้นทำไม รีบเข้ามาช่วยข้าสิ ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว !”
หลิวหยิ่งยืนพูดอยู่ข้าง ๆ : “ทูลอ๋องสิบสอง ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเคยเตือนพระองค์แล้วว่า ตอนนี้เรื่องทุกอย่างในจวน พระชายาเป็นผู้ดูแล นายท่านไม่มีทางยื่นมือเข้ามายุ่งเด็ดขาด”
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ท่านตะโกนให้คอแตก ก็ไม่มีใครมาช่วยท่านหรอก
“จะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย ข้าเป็นอะไรกับเจ้า ?” เฟิ่งชิงหัวยิ้มอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษแล้วพูดขึ้น ขณะที่พูด ก็บีบปากของจ้านชิงอิงให้เปิดออกอย่างหยาบคาย แล้วทำทีว่าจะเทของที่อยู่ด้านในลงไป
“พี่สะใภ้ ! พี่สะใภ้ไว้ชีวิตด้วย !” จ้านชิงอิงตะโกนออกเหมือนลูกกระเดือกแทบหลุด
เฟิ่งชิงหัวยิ้มแล้วลูบใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาของเด็กหนุ่ม : “เด็กดี พี่สะใภ้จะป้อนเจ้าเอง”
พูดจบ ก็เทของที่อยู่ในขวดลงไปในปากของจ้านชิงอิงทันที
ปฏิกิริยาแรกของจ้านชิงอิงคือโมโห คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่รักษาคำพูด ซ้ำยังป้อนยาพิษให้เขาอีก
ปฏิกิริยาที่สองคือ อืม ทำไมยาพิษนี่ถึงมีรสหวาน
“นี่คืออะไร ?”
“น้ำผึ้ง พี่สะใภ้เห็นว่าสองวันนี้ผิวของเจ้าดูแห้งกร้าน และมีขอบตาดำแล้ว จึงช่วยบำรุงให้เจ้า ดูเจ้าตกใจเข้าสิ” ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็ลุกขึ้น
จ้านชิงอิงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง โดยเฉพาะเมื่อสบตาเข้ากับหลิวหยิ่งที่มองเข้ามาด้วยสายตาที่เวทนา ก็แทบอยากแทรกแผ่นดินหนีทันที
“ยังมีรีบปล่อยข้าอีก !” จ้านชิงอิงตะคอกด้วยความโกรธ
หลิวหยิ่งยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ : “ทูลอ๋องสิบสอง พระชายายังไม่ทรงสั่งให้คลายมัดท่าน”
จ้านชิงอิงหันไปจ้องหน้าเฟิ่งชิงหัว : “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ !”
เฟิ่งชิงหัวหันมองสีท้องฟ้า แล้วพึมพำว่า : “ดึกแล้ว ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว”
ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็หันไปพูดกับหลิวหยิ่งว่า : “เตรียมม้าให้ท่านอ๋องน้อย”
มุมปากของจ้านชิงอิงกระตุก ผู้หญิงคนนี้ตระหนี่จริง ๆ ตนเองกำลังจะกินข้าว ยังจะไล่แขกกลับไปอีก
ช่างเถอะ ไปก็ไป อย่าไรเสียหากเขาต้องเห็นใบหน้านี้ ก็คงกินข้าวไม่ลงอยู่ดี
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ เขาก็ถูกเฟิ่งชิงหัวยกขึ้นมา แล้วลากไปทางไปประตูใหญ่
“นี่ ๆ ๆ เจ้าปล่อยข้าลงก่อนสิ ข้าเดินเองได้ เจ้าทำเช่นนี้ หากคนนอกมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร ? ข้าไม่ต้องมีศักดิ์ศรีแล้วหรืออย่างไร ?” จ้านชิงอิงตะโกนขึ้น
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าเห็นด้วย ดังนั้นจึงสั่งให้คนไปหาถุงกระสอบมา แล้วครอบลงบนศีรษะของจ้านชิงอิง เผยดวงตาเพียงแค่สองข้าง เพียงพอให้มองทางได้ชัดเจน
“พระชายา ม้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวมองดูม้า แล้วถามว่า : “ม้าตัวนี้แข็งแรงไหม ?”
“ใช้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับจ้านชิงอิงด้วยรอยยิ้ม : “นี่ก็สายมากแล้ว ท่านอ่องน้อยเดินทางปลอดภัย”
ใขขณะที่จ้านชิงอิงกำลังงุนงงอยู่ว่า ยังไม่คลายมัดให้ตนเอง แล้วตนเองจะไปได้เช่นไร ก็เห็นว่าบนข้อมือของตนเองนั้น มีเชือกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเส้น ชั่วพริบตาเดียว ม้าตัวนั้นก็วิ่งขึ้นบนถนนทันที จ้านชิงอิงจึงออกวิ่งพร้อมกับม้าไปตลอดทางเช่นนี้ โดยไม่หันหน้ากลับมาอีก
ถึงแม้จะอยู่ห่างออกไปไกลแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงร้อยโหยหวนของเขาดังอยู่ : “หนานกงเยว่ลั่ว ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไว้แน่ !” “โอ๊ย” เสียงนั้นถูกลากออกไปไกล ดังยาวจนสุดถนน
หลิวหยิ่งมองดูอ๋องสิ่งสองที่วิ่งไปพร้อมกับม้า ในสมองมีคำพูดที่เขาเคยพูดเอาไว้ดังก้องอยู่ หากหาตัวคนที่เตะเขาจนพบ จะจับลากวนบนถนนหลวงสักสิบรอบ ในที่สุด สวรรค์ก็จัดการลงมา