พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 225 ลองอาหารให้ข้า
เมื่อทั้งสองเดินห่างออกไป เหล่าองครักษ์ที่อยู่ใกล้เคียงก็พูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าคิดไม่ถึงว่าลูกน้องของท่านอ๋องเจ็ดก็จองหองขนาดนี้ คนๆ นี้คือผู้ที่เพิ่งเอาชนะลูกน้องของอ๋องเอี้ยน ได้ยินมาว่ายังด่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์อีกด้วย”
“ไม่แปลกใจเลยที่จองหองเช่นนี้ ถ้าเมื่อครู่นี้คนที่เขาชนไม่ใช่ท่านอ๋องเจ็ด ข้าเดาว่าเขาคงไม่ก้มหัวให้จริงๆ”
“นั่นสิ ข้าไม่คาดคิดจริงๆ ดูท่านอ๋องเจ็ดแล้วค่อนข้างตามใจ”
“ถูกต้อง ถ้ามีใครไปชนท่านอ๋องเจ็ด เกรงว่าคงจะถูกสับแล้วโยนลงแม่น้ำให้ปลากินแล้วล่ะ”
“แต่อย่างไรก็ตาม ข้ายังคงชื่นชมองครักษ์ผู้นั้น หากเป็นคนอื่น จะกล้าเข้าใกล้ท่านอ๋องเจ็ดได้อย่างไร แม้จะมองเขาจากระยะไกลก็ยังรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง หวังว่าจะลดการมีตัวตนอยู่ออกไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเหม่อเลย”
เฟิ่งชิงหัวและจ้านเป่ยเซียวไม่รู้ว่าองครักษ์เหล่านี้กำลังแอบสนทนาเรื่องเกี่ยวกับพวกเขา ตอนนี้มาถึงดาดฟ้าชั้นบนสุด ซึ่งจักรพรรดิ ฮองเฮา และขุนนางอยู่ที่นี่ทั้งหมด เหล่าจ้านถิงเฟิงก็เปลี่ยนชุดกลับไปประจำที่ของตน
บนแท่นสูง ฮ่องเต้เซวียนถ่งอารมณ์ดีมาก เมื่อเห็นจ้านเป่ยเซียวก็กวักมือเรียกให้เข้ามาใกล้
“เจ้าเจ็ด ครั้งนี้ก็ได้ที่หนึ่งอีกแล้ว ยังคงเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ ไม่เลว ไม่เลว”
จ้านเป่ยเซียวฟังคำพูดของฮ่องเต้เซวียนถ่ง สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาสังเกตเห็นจากหางตาของเขาว่าใบหน้าของพระชายาตัวน้อยของเขาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น และเบิกตากว้างเมื่อเห็นเงิน
ฮ่องเต้เซวียนถ่งรู้ว่าจ้านเป่ยเซียวไม่ชอบสิ่งไร้สาระเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดเรื่องไร้สาระและให้คนในวังยกรางวัลมา
รางวัลถูกวางบนถาดไม้เคลือบสีแดง และด้านบนปูด้วยผ้าซาตินสีแดง ซึ่งทำให้เฟิ่งชิงหัวรู้สึกใจคัน
จ้านเป่ยเซียวหยิบถาดด้วยมือทั้งสองข้าง เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างแทบจะรอไม่ไหว “ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยช่วยถือพ่ะย่ะค่ะ”
จ้านเป่ยเซียวยื่นให้นาง
เฟิ่งชิงหัวรับมาอย่างรวดเร็วและดึงไหมสีแดงออก ดวงตาของนางเป็นประกายทันที
ในถาดไม่ใช่ชิ้นเดียว แต่เป็นชุดสิงโตน้อยแกะสลักจากมรกต หมอบอยู่ ยกอุ้งเท้าหน้า หรือกลิ้งไปมา น่ารักและไร้เดียงสามาก
แม้แต่ลูกสาวของอ๋องและขุนนางก็ยังชอบของเล่นเหล่านี้มาก กำลังพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำ
ฮ่องเต้เซวียนถ่งตรัสถามว่า “เจ้าเจ็ด ชอบหรือไม่?”
จ้านเป่ยเซียวมองสีหน้าของเฟิ่งชิงหัวและพูดเสียงเรียบ “ไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งพยักหน้า ไม่เลว นั่นคือเขาชอบมัน
แต่เมื่อคำพูดนี้นี้เข้าหูเฟิ่งชิงหัว นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ยังไม่เลว งั้นก็คือไม่เท่าไหร่ และจ้านเป่ยเซียวน่าจะไม่แย่งกับนาง ทั้งหมดนี้เป็นของนาง
เฟิ่งชิงหัวคิดที่จะกลับไปวางไว้บนหัวเตียงเพื่อเล่นกับพวกเขาทั้งคืนในคืนนี้
หลังจากการแข่งเรือมังกรตามประเพณีของเทียนหลิง จักรพรรดิและฮองเฮาจะเสด็จลงไปในแม่น้ำด้วยเรือมังกรและแล่นเรือรอบหนึ่งตามสองฝั่งของแม่น้ำเพื่อแสดงความโปรดปรานของจักรพรรดิ
ใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมง อาหาร การร้องเพลงและเต้นรำก็ถูกจัดขึ้นในเรือ พระมหากษัตริย์และขุนนางต่างสนุกสนานด้วยกัน
หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็ต้องประหลาดใจกับความหรูหราภายใน
เดิมทีคิดว่าพระราชวังของจักรพรรดินั้นหรูหราอยู่แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเรือมังกรจะเด่นมากเช่นนี้
การตกแต่งภายในส่วนใหญ่ทำด้วยทองคำและถ้ามองเห็นแล้วจะแสบตาเลยเพราะความหรูหรา
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้โง่เขลาที่จะคิดว่านูนสีทองที่ยื่นออกมาบนผนังถูกทาสีด้วยสี และเก้าอี้มังกรทองตัวนั้น ทั้งหมดคือรังของทองคำ
เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าใกล้จ้านเป่ยเซียวและพูดเสียงต่ำ “เรือมังกรของเสด็จพ่อเจ้าเกินจริงเกินไปไหม? ถ้ามันจมลงอย่างกระทันหัน ต้องชดใช้เงินเท่าไหร่ล่ะเนี้ย? ก่อนที่จะจมก็ต้องขุดทองเหล่านี้ออกมาเอาไปนะ?”
สิ่งที่ตอบกลับมาคือสายตาเหยียดหยามจากชายหนุ่ม
อ่อ ใครใช้ให้นางเป็นคนธรรมดาล่ะ ไม่ใช่ชั้นเดียวกับพวกขุนนางสูงส่งที่มองว่าเงินไม่สำคัญ
โต๊ะยาวในห้องโถงถูกจัดเรียงทีละโต๊ะตามตำแหน่ง
ตำแหน่งของจ้านเป่ยเซียวนั้นอยู่ด้านล่างองค์ราชทายาท และด้านล่างจ้านเป่ยเซียวก็คือ อ๋องเอี้ยนอย่างบังเอิญ
ในขณะนี้ เอี้ยนเซียวกำลังจ้องมององครักษ์น้อยที่อยู่ด้านหลังจ้านเป่ยเซียวอย่างไม่ละสายตา
สายตาแรงกล้าเกินไป เดิมทีเฟิ่งชิงหัวต้องการที่จะซ่อนตัวอยู่หลังเสาในขณะที่ไม่มีใครให้ความสนใจและแอบชื่นชมรางวัลที่เพิ่งได้รับ แต่ตอนนี้ก็ได้แต่เลิกชื่นชมแล้วล่ะ
“ท่านอ๋องเจ็ด ท่านไปพบคนเก่งกาจเช่นนี้ที่ไหน ดูฉลาด และพูดเก่ง บอกข้า ข้าจะหามาให้คลายเบื่อด้วย” เอี้ยนเซียวโบกพัดด้ามจิ้วในมือพูดคุยกับจ้านเป่ยเซียวแต่สายตาของเขาจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงหัว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ลืมว่าเขาถูกรังแกโดยองครักษ์เล็กคนนี้
จ้านเป่ยเซียวพูดเสียงต่ำโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ส่งตัวเองมาถึงหน้าหน้าประตูเอง”
“อ่อ น่าสนใจเลยนะ ในเมื่อส่งตัวเองมาถึงหน้าประตู ถ้าผู้อื่นอื่นสัญญาว่าจะให้เงินจำนวนมาก ท่านอ๋องเจ็ดจะมอบให้ได้หรือไม่?”
สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “เจ้าลองดู”
เอี้ยนเซียวได้ยินแล้วก็มองไปที่เฟิ่งชิงหัวด้วยรอยยิ้ม “องครักษ์น้อย ท่านอ๋องของพวกเจ้าให้เงินเดือนเท่าไหร่แก่เจ้าในหนึ่งเดือน ข้าจะให้เจ้าสิบเท่า เจ้าถึงไม่มาเป็นแขกของข้า?”
เอี้ยนเซียวนึกว่าเฟิ่งชิงหัวเป็นศิษย์ของจ้านเป่ยเซียวเท่านั้น
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าเล็กน้อย “ขอบพระทัยอ๋องเอี้ยน ที่โปรดปราณ แต่ช่างเถอะพ่ะย่ะค่ะ?”
“เหตุใด? ตัดสินจากรูปร่างหน้าตาของเจ้าแล้ว เจ้าน่าจะเพิ่งเข้าร่วมท่านอ๋องเจ็ดได้ไม่นาน เจ้ากลายเป็นผู้ภักดีได้ในเวลาไม่นานแล้วหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวกล่าว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านอ๋องเอี้ยนดูแล้วไม่ค่อยร่ำรวยพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของ เอี้ยนเซียวแข็งทื่อ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเหตุผลที่เขาปฏิเสธคือเขายังไม่ร่ำรวยพอ
เฟิ่งชิงหัวกล่าวต่อ “แต่ว่าข้าน้อยเข้าร่วมผู้ใดไม่เคยดูว่านายท่านร่ำรวยหรือไม่ เพราะไม่มีผู้ใดร่ำรวยเท่ากับท่านอ๋องของเรา”
นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก หอไล่ตามเมฆาหอหนึ่ง เป็นสมบัติที่หลั่งไหลมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่านางจะไปเป็นลูกจ้าง นางก็ต้องไปทำงานที่หอไล่ตามเมฆา
เป็นครั้งแรกที่เอี้ยนเซียวผู้ซึ่งเจ้าเล่ห์อยู่เสมอถูกองครักษ์เล็กพูดจนพูดอะไรไม่ออก
ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าจ้านเป่ยเซียวร่ำรวย เพราะภาษีประจำปีจากหอไล่ตามเมฆาที่ให้กับราชวงศ์ก็เพียงพอแล้วสำหรับค่าใช้จ่ายของราชาวัง เอี้ยนเซียวยังคงใช้ชีวิตอยู่ในส่วนแบ่งของราชวงศ์ ดังนั้นเขาจึงยากจน
จ้านเป่ยเซียวได้ยินและเข้าใจ มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ก่อนงานเลี้ยงเริ่ม จักรพรรดิและฮองเฮาจะคารวะเหล้าแก้วหนึ่งต่อขุนนาง จากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น สตรีจากราชวังจะออกมาทีละคนและเริ่มเต้นรำ
งดงามและสวยงามมากนัก
นางระบำมากกว่าสิบคนร่ายรำอย่างสง่างามบนพื้นหยกขาวตรงกลางด้วยเท้าเปล่า ดึงดูดความสนใจของพระมหากษัตริย์และเหล่าขุนนาง
เฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ที่เดิมอย่างเบื่อหน่าย ความรู้สึกนี้ไม่ดีเลย
นางยืนขณะที่คนอื่นๆ นั่ง และนางมองดูขณะที่คนอื่นๆ กำลังกิน มันยากเกินไปสำหรับนาง แต่จริงๆ แล้วนางหิวนิดหน่อย
ตอนนี้นางคิดถึงขนมหอมหมื่นลี้ ขนมชั้นกรอบ ไก่ขอทาน และเนื้อต้ม
ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็ยิ่งหิว และยิ่งหิวมากขึ้น นางก็ยิ่งโมโหมากขึ้น และสายตาที่ถลึงใส่จ้านเป่ยเซียวก็เต็มไปด้วยความเคืองมากขึ้น
จ้านเป่ยเซียวหันกลับไปเล็กน้อยและบังเอิญพบกับสายตาของเฟิ่งชิงหัวที่น่าสงสาร เหมือนเด็กน้อยที่น่าสงสารที่ถูกเจ้านายทอดทิ้ง
จ้านเป่ยเซียวเกี่ยวนิ้วเรียกเฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวกลอกตาขาวใส่เขาแต่ไม่ขยับเขยื้อน
การกระทำนี้ไม่สุภาพมากรู้หรือไม่ คนที่ไม่รู้อาจคิดว่าเป็นการเรียกสุนัข ไม่ว่าอย่างไรนางจะไม่ไปเด็ดขาด
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “มานี่สิ ชิมอาหารให้ข้า”
ชิมอาหาร?
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยิน หูของนางก็ตั้งขึ้นมาทันที ไม่ว่าการกระทำของชายหนุ่มจะดูไม่สุภาพสักเพียงไหน แม้จะลำบากใจมากแค่ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกินก่อน
เฟิ่งชิงหัววิ่งไปด้านข้างจ้านเป่ยเซียวและก้มลงทำความเคารพ “ท่านอ๋อง”
“อือ เริ่มเถอะ ชิมอาหารทั้งหมดบนโต๊ะนี้รอบหนึ่ง” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
การกระทำของจ้านเป่ยเซียวได้ดึงดูดให้คนอื่นๆ มองมา และเมื่อพวกเขาได้ยินว่าให้องครักษ์ลองชิมอาหาร ต่างก็เริ่มพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำทันที
ฮองเฮาที่อยู่บนแท่นสูงย่อมได้ยินเช่นกัน และฮองเฮาก็กระซิบกับจักรพรรดิว่า “ฝ่าบาท ท่านอ๋องเจ็ดทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีแน่เพคะ ท่านไม่ให้ใครลองชิมอาหารด้วยซ้ำ เขายังกลัวว่าคนอื่นจะวางยาเขารึ?”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองฮองเฮาอย่างเย็นชา “เจ้ายุ่งเกินไปหรือไม่?”
ฮองเฮาเงียบทันที แต่ในใจนางไม่พอใจ จักรพรรดิตามใจจ้านเป่ยเซียวมากเช่นนี้ ท้ายที่สุดก็เพราะเขาเป็นลูกของคนๆนั้น
คนๆ นั้นตายไปหลายปีแล้ว ทำไมเขายังคิดถึงนางอยู่อีก!
หรือว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ สู้กับคนที่ตายไปแล้วไม่ได้จริงๆหรือ?
เฟิ่งชิงหัวไม่สนใจสายตาของคนอื่นว่าจะแปลกแค่ไหน นางหยิบตะเกียบที่อยู่ข้างๆ แล้วยัดรากบัวข้าวเหนียวชิ้นหนึ่งเข้าปาก
ละลายในปากทันที ข้าวเหนียวก็หวานอร่อย
เฟิ่งชิงหัวหยิบชิ้นที่สองขึ้นมาและพูดว่า “ยังชิมรสชาติไม่ออกเลย ข้าน้อยจะลองชิมอีกชิ้นหนึ่ง”