พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 229 คนตรงหน้าคือคนในดวงใจ
ดวงตาของจ้านเป่ยเซียวนั้นระแวดระวัง พร้อมที่จะกระโดดลงจากแพพร้อมกับเฟิ่งชิงหัวได้ทุกเมื่อ ในขณะนี้ จู่ๆ ก็มีปลาตัวหนึ่งกระโดดขึ้นจากน้ำโดยนำหยดน้ำจำนวนหนึ่งหยดลงบนหน้ากากของจ้านเป่ยเซียว
จากนั้นปลาก็แหวกอากาศกระโดดรอบแพของพวกเขาและตกลงไปอีกด้านหนึ่ง
ร่างของจ้านเป่ยเซียวเปียกโชกไปด้วยน้ำเมื่อปลากระโดดขึ้นและลง สีหน้าของเขาทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อเห็นเขานอนอยู่ในอาการงุนงง เฟิ่งชิงหัวก็อดไม่ได้ที่จะกุมท้องหัวเราะ
“ท่านอ๋อง ท่านประหลาดใจหรือไม่? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” เฟิ่งชิงหัวเปลี่ยนทางนขณะที่หัวเราะ
จ้านเป่ยเซียวเงยหน้าขึ้นมองนาง สายตาของเขาจ้องนางนิ่ง
เบื้องหน้าเขามีพระจันทร์สว่างไสว หญิงงาม และรอยยิ้มตราตรึงในดวงตาของเขา
บทกวีบทหนึ่งอดไม่ได้ที่จะผุดขึ้นมาในสมองของเขา
พระจันทร์ที่อยู่ก้นทะเลคือพระจันทร์บนท้องฟ้า และคนที่อยู่ข้างหน้าคือคนในดวงใจ
ไม่ใช่ใบหน้าที่สวยงาม แต่กลับปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาบ่อยๆ
ทั้งที่รู้ว่าตัวบนร่างนางมีความลับมากเกินไป แต่ก็ยังหลงไหลและหลงเสน่ห์นางที่ไม่เหมือนกับใคร
เฟิ่งชิงหัวไม่กล้าเล่นมากเกินไป ปล่อยให้ปลาทั้งหมดแยกย้ายกันจากไป กลัวว่าจ้านเป่ยเซียวจะสะสางบัญชีกับนาง เฟิ่งชิงหัวก็พูดเรื่องไร้สาระ “ท่านอ๋อง ปลาพวกนี้ชอบเจ้ามาก”
จ้านเป่ยเซียวมองนางด้วยสายตาที่ลึกล้ำ “จริงรึ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เฟิ่งชิงหัวยกยอเขาโดยไม่มีความกดดัน
“แต่ไม่มีความประหลาดใจ เจ้าคิดว่าข้าจะเตะเจ้าลงไปไหม?” จ้านเป่ยเซียวล้อนาง
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนี้ นางย่นจมูกตามคาด จากนั้นมองดูชายหนุ่มที่เปียกไปทั่วร่าง
เขาไม่ได้ใส่ชุดนั้นเลยด้วยซ้ำ ร่างกายท่อนบนของเขาถูกเปิดทิ้งไว้ เผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียนของเขา บนนั้นยังมีน้ำเกาะอยู่ แสงสะท้อนของแสงจันทร์ ทำให้ตาพร่ามาก
สำหรับความงามของจ้านเป่ยเซียวโดยที่ไม่รู้ตัว เฟิ่งชิงหัวทำได้เพียงแค่หลอกตัวเองว่านางมองไม่เห็น
หันหลังให้เขา นางพูดว่า “เจ้าบอกว่าไม่มีความประหลาดใจเพราะเจ้าไม่ดูให้ดี เจ้าไม่ได้นับด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่นี้มีปลากี่ตัว”
“หนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด” ชายหนุ่มพูดเรียบๆ
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกประหลาดใจ “เจ้านับจริงๆเหรอ? เจ้าว่างมากแค่ไหนกัน?”
ประโยคหลังเพียงกล้าพูดกับตัวเอง
“หือ?” ชายหนุ่มลากเสียงยาวอย่างอันตราย
เฟิ่งชิงหัวรีบพูด “ท่านอ๋อง ท่านคงเบื่อแล้ว ให้ข้าร้องเพลงเพื่อแสดงความรู้สึกที่ถูกช่วยชีวิต?”
เฟิ่งชิงหัวยกย่องตัวเองในใจ นางฉลาดจริงๆ
แบบนี้แล้ว ไม่เพียงเบี่ยงเบนความสนใจ แต่ยังป้องกันไม่ให้จ้านเป่ยเซียวพูดถึงการช่วยชีวิตนางในครั้งนี้อีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เล่ห์เหลี่ยมดีจริง
แต่ในช่วงเวลาต่อมา เฟิ่งชิงหัวก็ได้ยินชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังนางเสียงเรียบ “บุณคุณที่ช่วยชีวิต ไม่ควรยกชีวิตให้อีกฝ่ายหนึ่ง?”
“ใครกล่าวกัน?”
“ช่วงนี้นิทานที่อ่านกล่าว”
“จ้านเป่ยเซียว ทำไมเจ้าถึงค้นสิ่งของของข้า ไม่แปลกใจเลยที่ข้าหาไม่เจอ ข้ายังอ่านไม่เสร็จเลย” เฟิ่งชิงหัวหงุดหงิด นางจำได้ว่านางยัดมันไว้ที่ใต้เตียง แต่หลังจากนั้นก็หาไม่เจอ..
“ยกชีวิตให้อีกฝ่ายหนึ่ง ไม่มี เพลงเจ้าจะฟังหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”
“นี่คือการโกงหรือ? ชีวิตเจ้าไร้ค่าขนาดนั้นเลยรึ?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเย็นชา
เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างใจเย็น “ใช่ ข้าไร้ค่า”
ค่าของนางจะสามารถวัดได้ด้วยเงินหรือไง? ฮึ
หลังจากพักอยู่ครู่หนึ่ง เขาพูดว่า “เอาล่ะ ร้องเพลงไม่ดี ข้าจะเตะเจ้าลงไป ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงในการว่ายกลับจากที่นี่”
เฟิ่งชิงหัวเม้มริมฝีปาก นางรู้สึกว่านางช่างน่าสงสารยิ่งนัก
อ่อนแอ น่าสงสาร และทำอะไรไม่ได้
นางนี่มันงี่เง่าเสียงจริง ทำไมไม่นั่งสบาย ๆ ไปรับงานทำไมกัน
รับแล้วก็รับแล้ว พายเรือเงียบๆไม่ดีหรือ? จะไปยั่วผู้ชายคนนี้อีกทำไม
ยั่วแล้วก็ช่างเถอะ ทำไมต้องปากเสียพูดถึงการช่วยชีวิตด้วย
เฟิ่งชิงหัวอยากจะร้องเพลงหยางไป๋เหลาและเสี่ยวไป๋ไช่(เป็นเพลงเกี่ยวกับสังคมอนาถถ่องแท้)จริงๆ แต่นางกลัวว่าถ้านางร้องเพลงนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังจะเตะนางลงไปจริงๆ
เฟิ่งชิงหัวคิดอยู่ครู่หนึ่งและร้องเพลงที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน
น้ำเสียงใสและชัดเจน เหมือนน้ำพุบนภูเขาที่ไหลเอื่อย ๆ และเหมือนแสงระเรื่อของพระอาทิตย์ตก
เฟิ่งชิงหัวพายเรือและร้องเพลง ไม่ได้สังเกตว่าคนที่อยู่ข้างหลังเท้าศีรษะและหลับตา รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาคงอยู่เป็นเวลานาน
เฟิ่งชิงหัวสุ่มเลือกสถานที่เทียบท่า สถานที่แห่งนี้มีประชากรน้อยและไม่มีใครสังเกตเห็นทั้งสองคน
“เอาล่ะ จ้านเป่ยเซียว เรามาถึงแล้ว ลงมาเถอะ” เฟิ่งชิงหัวตบมือแล้วพูด
แต่คนที่อยู่บนแพยังคงอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน
เฟิ่งชิงหัวเอื้อมมือไปสัมผัส กลับรู้สึกว่าร่างกายของชายหนุ่มร้อนผ่าว
เฟิ่งชิงหัวจับมือของชายหนุ่มเพื่อคลำชีพจร ก็พบว่าในขณะนี้ ชีพจรของชายหนุ่มยุ่งเหยิง และเส้นลมปราณทั้งแปดพัวพันกัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เจ้าทำอะไรลงไป? ทำลายร่างกายตัวเองแบบนี้ได้ยังไง?”
เฟิ่งชิงหัวกัดฟัน ดึงจ้านเป่ยเซียวขึ้นบนหลังแล้วพาเขาออกไป
กลางดึก อู่ตู๋จื่อหลับไปตั้งแต่เช้าแล้วเ มื่อเขาได้ยินเสียง ปัง ปัง ปัง ข้างนอกซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
“ใครกันกลางดึกดื่นจะไม่ให้นอนกันแล้วหรือ เร่งเช่นนี้คนในเรือนของเจ้าจะตายแล้วรุ?” อู่ตู๋จื่อลุกขึ้นและออกไปข้างนอกเพื่อเปิดประตู
คาดไม่ถถึงว่าทันทีที่เปิด คนข้างนอกก็พุ่งเข้ามา
“เจ้าคือใครกัน?”
“เตรียมห้องนึ่งให้ข้าด้วย” เฟิ่งชิงหัวเดินไม่หยุดพร้อมกล่าว
“เป็นท่านนี่เอง ได้ ได้ ได้ ทางนี้ ข้ามาแบกเอง ข้ามาแบกเอง” อู่ตู๋จื่อกำลังจะรับจ้านเป่ยเซียวมาจากร่างของเฟิ่งชิงหัว แล้วก็เขาถูกชายที่หมดสติตบออกไปไกลๆ
เฟิ่งชิงหัวรู้ว่านี่เป็นสัญชาตญาณทางกายภาพของชายหนุ่ม ดังนั้นนางจึงพูดอย่างจนปัญญา “เขาไม่รู้จักเจ้า เจ้าพาขาไปเถอะ”
หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็ปิดห้อง อู๋ตู้จื่อพูดพึมพำ “อาจารย์ย่า เหตุใดท่านจึงนำชายที่บาดเจ็บสาหัสกลับมา? อย่าบอกนะว่าคนๆนี้ชายคนนี้ท่านเป็นคนทำให้บาดเจ็บ?”
“อาจารย์ย่า ให้ข้าช่วยเถอะ” เมื่อเห็นนางเปลื้องผ้าผู้ชาย อู่ตู๋จื่อรีบยื่นมือออกไป แต่ถูกเฟิ่งชิงหัวหยุดระหว่างทาง “ไม่เป็นไร พลังภายในของเขากำลังปั่นป่วน เดี๋ยวจะทำร้ายเจ้าได้ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
อู่ตู๋จื่อจ้องมองที่ชายหนุ่มเป็นเวลานาน รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย แต่จำอะไรไม่ได้ ออกไปอย่างช้าๆ แต่ในขณะที่ปิดประตู เขาก็จำบางสิ่งได้ในทันทีและพุ่งเข้าไป “นายท่าน เขาคือจ้านเป่ยเซียว?”
“อือ”
“เหตุใดท่านจึงพาเขากลับมา “ อู่ตู๋จื่อพูดอย่างเร่งรีบ “เร็วเข้า เร็วเข้า เร็วเข้า รีบส่งเขาออกไปโดยเร็ว หอไล่ตามเมฆาของเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา นี่คือผู้นำของหอไล่ตามเมฆา เราไม่ฆ่าก็ดีเท่าไหร่แล้ว ท่านยังพาเขากลับมาอีกทำไมกัน”
“อาจารย์ย่า อย่าบอกนะว่าท่านปลอมตัวเป็นพระชายาไม่กี่วันก็หลงรักเขาแล้วนะ?” อู๋ตู้จื่อพูดด้วยความประหลาดใจ เนื้อบนใบหน้าของเขาย่นเข้าหากัน