พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 235 ความอลหม่านทางสายเลือด
จ้านเป่ยเซียวเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าไม่สบอารมณ์
“ที่นี่คือที่ของผู้อื่น มิใช่จวนอ๋องเฉินของท่าน ท่านยับยั้งตัวเองหน่อย” เฟิ่งชิงหัวถลึงตาใส่เขา
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว: “ทำไม กลับไปแล้วถึงไม่ต้องยับยั้ง เช่นนั้นก็กลับไปกันเถอะ”
“กลับมะเหงกสิ ข้าวางแผนไว้อย่างดีถูกท่านทำลายหมดแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบองค์ชายใหญ่อีกครั้ง” เฟิ่งชิงหัวเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
นอกประตูตำหนัก นางกำนัลเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง และรายงานผ่านม่านมุ้ง: “องค์หญิง ก่อนไปองค์ชายใหญ่ได้บอกว่า พรุ่งนี้เช้าเขาจะเข้ามาอีกครั้ง ให้ท่านจัดการกับของสกปรกนั่นให้เรียบร้อย มิเช่นนั้น เขาจะไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แน่”
“ทราบแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ ไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามเข้ามา”
นางกำนัลถอยออกไปตามคำสั่ง เฟิ่งชิงหัวตัวอ่อนฮวบลงไปโดยสิ้นเชิง ทรุดตัวลงไปบนเตียง: “ทำคนตกใจแทบตายแน่ะ”
“องค์ชายใหญ่แห่งเป่ยเว่ย เชียงตี๋ ฮ่าว ดูแล้วเหมือนว่าจะมิได้ฉลาดอย่างคำเล่าลือ” จ้านเป่ยเซียวพิงตัวอยู่ข้าง ๆ จ้านเป่ยเซียวอย่างสบาย ๆ ค้ำศีรษะจ้องมองเขา
เฟิ่งชิงหัวกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะขจัดความบาดหมางกับองค์ชายใหญ่ ได้ยินคำพูดของจ้านเป่ยเซียวขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงลุกพรวดขึ้นมาทันที จ้องมองจ้านเป่ยเซียวด้วยสีหน้าตกตะลึง: “ท่านว่าอย่างไรนะ เขาชื่ออะไร?”
“เหตุใดเจ้าถึงได้มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ เชียงตี๋คือแซ่ของราชวงศ์เป่ยเว่ย เขามีนามว่า ฮ่าว พยางค์เดียว”
“ฮ่าว ฮ่าวไหนหรือ? คงไม่ใช่ฮ่าวที่แปลว่ามีคุณธรรมตรงไปตรงมาหรอกนะ?” เฟิ่งชิงหัวกลืนน้ำลาย ความคิดที่พิสดารได้ปรากฏขึ้นมาในสมองของนาง
จ้านเป่ยเซียวเงยหน้ามองนาง แฝงไปด้วยความไม่พอใจ: “มีคุณธรรมตรงไปตรงมา เจ้าประเมินค่าให้เขาสูงไม่เบานี่? ทำไม ชอบบุรุษที่หยาบกร้านราวกับยังมิได้วิวัฒนาการอย่างนั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้สนใจคำพูดเย้ยหยันของจ้านเป่ยเซียว หยิบเขาจดหมายที่อยู่ใต้หมอนฉบับนั้นออกมาดูอีกครั้งอย่างแข็งกระด้าง
หากบอกว่าตอนดูครั้งแรกนั้นเพียงแค่รู้สึกเลี่ยนจวนจะอ้วก เช่นนั้นตอนนี้ พูดได้ว่าขนลุกขนพอง
ดูจากความคุ้นชินของจดหมายฉบับนี้ นี่จะต้องไม่ใช่จดหมายฉบับแรกอย่างแน่นอน แล้วจดหมายก่อนหน้านี้เล่า?
หรือว่าจะส่งให้องค์ชายใหญ่แล้ว?
เช่นนั้นภายในใจขององค์ชายใหญ่เองก็รู้ว่าเสด็จน้องคนละมารดาของตนคิดอย่างไรหรือถึงขั้นที่ว่ากำลังคบหากันอยู่?
เฟิ่งชิงหัวหวนนึกถึงบทสนทนาระหว่างองค์ชายใหญ่ในเมื่อสักครู่อย่างละเอียด ในที่สุดก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่อยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย
“นี่ มัน ชักจะ น่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยไหม?” เฟิ่งชิงหัวมองไปทางจ้านเป่ยเซียวอย่างพูดไม่ออก: “คือว่า พวกเขาสองคน ข้าคิดมากเกินไปหรือเปล่า?”
จ้านเป่ยเซียวทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา: “เดิมทีคนแคว้นเป่ยเว่ยก็แข็งกระด้างดุร้ายอยู่แล้ว เรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้ก็มิใช่ครั้งแรก เมื่อครั้งที่พวกเขายังอาศัยอยู่บนทุ่งหญ้า เรื่องที่หลังจากบิดาตายบุตรชายก็รับช่วงภรรยาน้อยหลวงรวมทั้งลูกหลานของคนเป็นพ่อต่อก็มีอยู่ถมเถไป”
“ดังนั้นการแต่งงานร่วมสายเลือดของพวกเขา ยังเป็นวัฒนธรรม?”
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายังไม่ได้ยินเรื่องนี้ บางทีแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็น่าจะไม่ประกาศออกไปกระมัง”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
จากนั้น เฟิ่งชิงหัวก็มองไปที่จ้านเป่ยเซียวด้วยความโกรธเคือง: “เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไรดีเล่า เดิมทีทั้งสองคนต่างมีใจให้กันและกัน ตอนนี้อยู่ดี ๆ ก็มีนายบำเรอโผล่ออกมา ท่านจะให้ข้าดำเนินตามแผนต่ออย่างไร?”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว: “ข้าไม่ได้ดึงเจ้าขึ้นมาเสียหน่อย อีกอย่างเมื่อสักครู่เจ้าก็เป็นคนรับปากเอง”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกปวดสมองยิ่งนัก เดิมทีก็ยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ ตอนนี้ยังได้ล่วงเกินอีกฝ่ายไปเสียแล้ว แล้วจากนี้จะทำให้กลับมาเป็นดั่งเดิมได้อย่างไร?
“เจ้าคิดจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน? คืนนี้จะนอนอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ?” จ้านเป่ยเซียวมองดูบริเวณรอบ ๆ ด้วยความรังเกียจ
มีสีสันสดใสไปทั่วทุกแห่ง ไม่มีรสนิยมเลยสักนิด
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “ในเมื่อพรุ่งนี้องค์ชายใหญ่จะมาที่นี่ ข้าก็จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่เพื่อสวมรอยต่อไป ท่านรีบไปเถอะ อย่าอยู่สร้างปัญหาให้ตัวเองอีกเลย นี่ถ้าให้คนอื่นเห็นใบหน้าของท่านเข้า หรือว่าพอถึงตอนนั้นท่านจะรับเอาองค์หญิงซีหลันจริง ๆ?”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว: “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจ้าควรจะกังวล ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องกังวล”
“หมายความเช่นไร?” เฟิ่งชิงหัวงงงัน
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า เงื่อนไขก่อนที่ข้าจะมอบไหมสวรรค์ให้เจ้าไปนั้นคืออะไร?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วกล่าว
เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ เงื่อนไขก็คือจะต้องช่วยเขากำจัดสตรีทุกคน ห้ามให้เข้ามาในจวนอ๋องเฉินได้แม้แต่คนเดียว
เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างหมดคำจะพูด: “ในเมื่อท่านให้ข้าช่วยสกัดกั้นมวลบุปผาทั้งหลายแล้ว เช่นนั้นท่านอย่าได้ปล่อยข่าวซุบซิบไปมั่วซั่วได้หรือไม่เล่า”
“ว่าอย่างไรนะ? ข่าวซุบซิบ?”
“ก็คือ ท่านอย่ากระจายข่าวลืออะไรออกไปมั่วซั่ว ถ้าหากถูกคนอื่นเห็นเข้า บอกว่าเห็นท่านเข้าออกตำหนักขององค์หญิงซีหลัน ท่านจะให้ข้าจัดการอย่างไร ให้ถือมีดมายืนอยู่ที่หน้าประตู ใครเข้าใกล้ก็ฟันทันทีอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไม่มีความคิดเห็น ขอแค่บรรลุจุดมุ่งหมายก็เพียงพอ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวไปพลางยืนขึ้นมา และแตะลงไปบนกระเบื้องหินที่อยู่ใต้เท้าสองครั้ง
จากนั้น ก็ได้เห็นกระเบื้องหินที่อยู่ด้านหน้าประตูตู้ถูกคนเปิดออก หลิวหยิ่งได้มุดออกมาจากด้านใน
เฟิ่งชิงหัวขยับเข้าไปดู ที่ด้านล่างนั้นเป็นอุโมงค์ลับ ด้านในสะอาดสะอ้าน อากาศระบายได้ดีเป็นพิเศษ ดูก็รู้ว่าได้ทำเสร็จมานานหลายปีแล้ว
“ในวังหลวงมีอุโมงค์ลับอยู่ด้วยหรือ? มีอยู่ทุกตำหนักเลยหรือ?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยความสงสัย
“อืม มีมาตั้งแต่ตอนที่สร้างแล้ว แต่มีแค่ข้าและเสด็จพ่อเท่านั้นที่รู้ ตอนนี้ มีเจ้าเพิ่มขึ้นมาอีกคน”
เฟิ่งชิงหัวรีบโบกมือทันที: “ไม่ต้อง ๆ ไม่ต้องนับรวมข้า ข้าไม่รู้อะไรเลยสักนิด”
การเก็บความลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด นางไม่อยากจะช่วยใครรักษาความลับหรอกนะ
เฟิ่งชิงหัวรีบถอยออกห่างจากปากอุโมงค์ทันที จากนั้นก็พบว่าพวกหลิวหยิ่งได้เริ่มทำการตกแต่งตำหนักแห่งนี้อีกครั้ง นางรีบวิ่งเข้าไปขัดขวางทันที: “พวกเจ้าทำอะไร? ที่นี่คือตำหนักของผู้อื่น ข้าเพียงแค่ยืมพักชั่วคราวเท่านั้นเอง”
หลิวหยิ่งกล่าวอย่างนอบน้อม: “พระชายา นายท่านเป็นห่างความปลอดภัยของท่าน และจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านในสองวันนี้”
เฟิ่งชิงหัวหมดคำจะพูด: “ใครต้องการให้เขาอยู่ด้วยกัน เจ้ารีบพานายท่านของพวกวเจ้าออกไปเลยนะ”
ทว่าหลิวหยิ่งกลับเพียงแค่ยิ้มอ่อน ๆ และเริ่มจัดตกแต่งต่อไป ความเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมนั่น พูดได้ว่ามันทำให้เฟิ่งชิงหัวอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
เฟิ่งชิงหัวขยับเข้าใกล้จ้านเป่ยเซียวที่กำลังดื่มชาอยู่: “ท่านจะอยู่ที่นี่ก็ได้ เลิกจัดห้องได้แล้ว ถ้าหากที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมาจะทำให้ผู้อื่นพบเห็นความผิดปกได้ง่าย”
จ้านเป่ยเซียวมองดูนาง: “เช่นนั้นเจ้าอยากจะจัดห้องอย่างไร?”
“ท่านทนหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร? ท่านมาอยู่เป็นเพื่อนข้า เหตุใดถึงเรื่องมากยิ่งกว่าข้าเสียอีกเล่า”
“ภายใต้ความสามารถของตนเอง ตอบสนองความต้องการในการใช้ชีวิตประจำวันของข้า มีปัญหาอะไรหรือ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว
“มันไม่มีปัญหาอะไร ไม่สิ มีปัญหา ปัญหาก็คือสถานการณ์ในตอนนี้ไม่อำนวย มีนางกำนัลเข้าออกที่มากมาย ถ้าหากเรื่องราวรั่วไหลออกไปจะทำเช่นไร อีกอย่าง ไร้ซึ่งที่มาที่ไป ข้าไปเอาเงินมาจากไหนมาซื้อของตกแต่งระดับสูงเช่นนี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล”
เฟิ่งชิงหัวเห็นจ้านเป่ยเงียบไป ก็ได้ยื่นนิ้วออกมาที่ตรงหน้าของจ้านเป่ยเซียวหนึ่งนิ้วทันทีพร้อมกล่าว: “วางได้แค่หนึ่งอย่างเท่านั้น ท่านเลือกเอง ข้าเป็นประชาธิปไตยมากเลยล่ะ”
จ้านเป่ยเซียวจ้องที่นิ้วนั่น จากนั้น ก็ยื่นมือออกไปจับ และยิ้มให้นางอย่างมีเลศนัย: “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะเลือกหนึ่งอย่าง”