พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 259 ไม่พาข้าไปด้วยกัน
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 259 ไม่พาข้าไปด้วยกัน
“เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช ข้าไม่อยากต่างหาก ข้าเพียงแค่สงสัยก็เลยถามเจ้าดูเท่านั้นเอง ไม่อยากบอกก็ช่างเถอะ เจ้าหลีกไป ข้าจะไปแล้ว” ในระหว่างที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่ก็ยื่นมือไปดันเขาออก
มือเพิ่งจะสัมผัสถูกชุดเพ้าของจ้านเป่ยเซียวก็ถูกเขาฉวยโอกาสจับหมับไปที่หน้าอกไว้แน่น ภายใต้ฝ่ามือของเขานั้นเป็นการเต้นของหัวใจที่มั่นคงและทรงพลัง
“ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าตำแหน่งนั้นไม่ได้น่าสนใจอะไรเท่านั้น แม้แต่คนที่ตนเองรักก็ยังปกป้องรักษาเอาไว้ไม่ได้เลย ทั้งวันก็ต้องแสดงละครกับฝูงคนที่ไม่ชอบทั้งนั้น มันเหนื่อยเกินไป” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงเคร่งขรึมออกมา
เฟิ่งชิงหัวจ้องไปยังรูม่านตาของเขา แม้ว่าจะมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ว่านางก็ทราบดีว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง คนอย่างจ้านเป่ยเซียวผู้นี้ ตัวตนเป็นใหญ่ วางอำนาจบาตรใหญ่ ยิ่งโกหกคนอย่างเหยียดหยามมาโดยตลอด
“ทราบแล้ว เจ้าเก่งกาจที่สุด จริงใจที่สุด ดังนั้นเจ้าจะลุกขึ้นมาหรือไม่ นอนอยู่แบบนี้มันช่างดูลำบากจริงๆ เลย” เฟิ่งชิงหัวได้เพียงรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่บ้าง ก็เขินอายขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไร้สาเหตุ
แน่นอนว่าจะต้องเป็นการจูบเมื่อครู่นี้ที่ร้อนแรงเกินไป ต่อไปไม่อาจจะทำการเสียสละเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าเกิดจ้านเป่ยเซียวคิดว่านี่คือการเชื้อเชิญจากนางขึ้นมา งั้นก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ไหม
จ้านเป่ยเซียวเยาะเย้ยออกมาอย่างเย็นชา: “เมื่อครู่อยากจะแนบชิดอยู่บนตัวของข้าจนไม่อยากแยกออก นิสัยแย่ๆ ที่พอเจ้าใช้ประโยชน์จากข้าตรงนี้เสร็จก็โยนทิ้งไปด้านข้างอย่างไม่ไยดี ช่างไม่เสียชื่อจริงๆ”
สำหรับการเหยียดหยามของเขาเฟิ่งชิงหัวก็ทำเป็นว่าไม่ได้ยินเช่นนั้น เห็นว่าเขาไม่ขยับ ก็เลยทำเหมือนว่าเป็นหนอนคลานออกมาจากด้านล่างกายของเขาโดยตรงเลย จัดแจงชุดอยู่ครู่หนึ่ง เตรียมที่จะจากไป
ร่างของจ้านเป่ยเซียวหันไปทันที ฝ่ามือก็จับไปที่ศีรษะทันที กล่าวออกมาด้วยท่าทางเกียจคร้านว่า: “ไม่พาข้าไปด้วยกันหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวมองมาที่เขาด้วยความสงสัย: “เหตุใดข้าต้องพาเจ้าไปด้วยกัน?”
“ในสายตาขององค์ชายใหญ่ เจ้าเป็นคนของข้า หากประเดี๋ยวเจ้าจากไปตามลำพัง ยากยิ่งที่จะไม่ยั่วให้เขาสงสัยได้” จ้านเป่ยเซียวกล่าววิเคราะห์ออกมา
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าองค์ชายใหญ่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะจัดแจงให้คนซุ่มอยู่ตรงทางเข้าจริงๆ
“แต่ว่าตกลงกันไว้ก่อนว่าเพียงแค่ออกไปจากหอไล่ตามเมฆาด้วยกันเท่านั้น แค่ไม่เข้าวังด้วยกัน ยังมีอีก ให้คนที่อยู่ด้านในว่าให้ปิดปากให้สนิทด้วย หากถึงตอนนั้นทุกที่มีคนเปิดโปงว่าองค์หญิงซีหลันมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเจ้า ข้าก็จะ” เฟิ่งชิงหัวพูดถึงตรงนี้ก็หยุดนิ่งไปกะทันหัน ราวกับว่ากำลังอยากจะใช้อะไรมาข่มขู่เขาอยู่
จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า: “เจ้าก็จะทำไม?”
เฟิ่งชิงหัวพอดีคิดขึ้นมาได้หนึ่งท่อน ก็เลยกล่าวออกมาอย่างตามใจปากว่า: “หากเจ้ากล้าทำให้ข้าที่เป็นพระชายาอ๋องเจ็ดผู้นี้ไม่มีหน้ามีตา ข้าก็จะทำให้ท่านอ๋องเจ็ดอย่างเจ้าหัวโนเขียวช้ำจนทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว!”
จ้านเป่ยเซียวหรี่ตาแล้วจ้องมายังเฟิ่งชิงหัว คนที่กล่าวมาด้านหลังนั้นก็สบตาไปอย่างไม่ยอมจำนนเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่งจ้านเป่ยเซียวก็สะบัดมือขึ้นอย่างจนปัญญา: “ก็ตามใจเจ้าก็ได้”
เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจออกมา ก้มศีรษะแล้วเริ่มหาผ้าคลุมหน้า จากนั้นก็หาเจอจากมุมหนึ่งตรงนั้น ถูกขยุมจนเป็นก้อนไปหมดแล้ว ดูไปแล้วก็ยับเยินไปหมดทั้งผืนเลย นี่จะให้เอามาปิดคลุมใบหน้าได้อย่างไรกัน
เฟิ่งชิงหัวนั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของจ้านเป่ยเซียว ใช้สองนิ้วคีบมันเอาไว้แล้วห้อยไปมาอยู่ตรงหน้าของเขาครู่หนึ่งง กัดฟันกล่าวออกมาว่า: “นี่จะให้ข้าออกไปยังไง จ้องไปยังใบหน้าที่เสียโฉมของซีหลันงั้นหรือ?”
“ชดใช้ให้เจ้าก็ได้ ชอบแบบไหนล่ะ มอบให้เจ้าสิบผืน” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างใจกว้างเป็นพิเศษ
เฟิ่งชิงหัวรีบตื่นตัวไปตามสถานการณ์ทันที: “ข้าต้องการเนื้อผ้าที่ยืดหยุ่นบางเบาแบบนั้น ก็เป็นแบบที่ดูแล้วเหมือนม่านสัมผัสแล้วเหมือนผ้าไหมแบบนั้น”
“ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าทำไมถึงได้วุ่นวายขนาดนั้น ผ้าคลุมหน้าก็ผ้าคลุมหน้า ยังจะต้องมีรูปแบบมากมายเช่นนั้นด้วย” จ้านเป่ยเซียวไม่เข้าใจสิ่งพวกนี้ จึงกล่าวออกมาด้วยอาการไม่อยากจะทนเล็กน้อย
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยอมจำนน: “ผู้หญิงจะสุขก็เพียงรูปโฉมของตน จนเองสวมใส่ของสวยๆ งามๆ อารมณ์ก็จะดีขึ้นมา”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินก็กล่าวออกมาอย่างสังเกตการณ์ว่า: “งั้นข้าจะมอบเนื้อผ้าให้เจ้าอีกสิบชุด?”
เฟิ่งชิงหัวรีบกอดแขนของจ้านเป่ยเซียวเอาไว้แน่น: “ท่านอ๋องดีจริงๆ เลย”
“มอบของให้เจ้าก็นับว่าดีแล้วเหรอ?” จ้านเป่ยเซียวมองมายังผู้หญิงตัวน้อยที่เกาะอยู่บนแขนของตนอย่างจนปัญญา ไม่มีว่าจะจัดการอะไรยังไงกับนางดีเลย
“นั่นก็ย่อมเป็นธรรมดา” ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวกล่าวอยู่ ก็กล่าวออกมาด้วยท่าทางแห่งการละโมบว่า: “งั้นท่านอ๋องยังจะมอบอะไรให้ข้าอีก?”
“ไม่ให้แล้ว ยังต้องการอะไร ตัวเองก็ไปหาเอาเอง เจ้าไปให้พ้น เจ้ามาทับถูกข้าแล้ว” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่รังเกียจ
เฟิ่งชิงหัวทำจมูกย่นไปมา คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจจริงเชียว คิดไม่ถึงว่าจะเลียนแบบการพูดจาของตนเอง
เพียงแต่เฟิ่งชิงหัววันนี้ออกมาข้างนอกรอบเดียวก็เต็มไปด้วยการเก็บเกี่ยวมากมายเลย อารมณ์ดีมาก ก็ไม่คิดจะถือสาเอาความเขาอยู่แล้ว
“พวกเราไปเถอะ เว่ยหย่วนโหวมาหาเจ้า หากเจ้าไม่อยู่จะทำอย่างไร?” เฟิ่งชิงหัวจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ นี่ยังมีละครอีกหนึ่งฉากเลย
จ้านเป่ยเซียวเอาศีรษะไป มองมายังเฟิ่งชิงหัวอย่างไร้ซึ่งคำพูดใด: “เขาจะมา ข้าก็ต้องพบให้ได้งั้นหรือ? เขามีหน้าตาใหญ่โตขนาดนั้นหรือ?”
“ฮะ? งั้นเขามาแล้วจะทำยังไง”
“มาแล้วก็มาแล้วสิ มาแล้วก็ย่อมต้องชดใช้ตามเดิม นี่คือกฎระเบียบ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างหยิ่งทะนง บนโลกนี้ยังไม่มีใครกล้ามาทำลายกฎระเบียนของเขาเลย
พอนึกถึงจุดนี้ จ้านเป่ยเซียวก็นิ่งไปพักหนึ่ง มองมายังเฟิ่งชิงหัวครู่หนึ่ง แล้วกระแอมออกมาเบาๆ
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเสียงนี้ของเขาดังขึ้น ก็เพียงรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลสิ้นดี เพียงมองว่าไข้หยิ่งทะนงในตัวเขาได้กำเริบขึ้นมาอีกแล้ว และในใจกลับเป็นเพราะว่ามีความสงสัยขึ้นมาแบบคันหยุมหยิมในใจ
“ท่านอ๋อง ไม่ก็พวกเราเดี๋ยวค่อยไป?” เฟิ่งชิงหัวอยากจะดูความครึกครื้นเสียหน่อย
จ้านเป่ยเซียวมองมาที่นางด้วยดวงตาที่เย็นชา: “คนที่บอกว่าจะไปก็คือเจ้า บอกว่าไม่ไปก็เป็นเจ้าอีก ผู้หญิงเช่นเจ้านี้ทำไมถึงได้เปลี่ยนใจไปมาเช่นนั้น? ไม่ได้ จะต้องไป รีบไปเดี๋ยวนี้”
ในขณะที่พูดอยู่ ก็ทำท่าจะดึงนางออกจากประตูไปทางด้านของลิฟต์ไม้
เฟิ่งชิงหัวอยากจะดึงรั้งของบางอย่างไว้เพื่อรั้งฝีเท้าของจ้านเป่ยเซียวเอาไว้ แต่รอบด้านนอกจากโต๊ะหนึ่งตัวแล้วก็ไม่มีของอื่นใดเลย
เฟิ่งชิงหัวรีบกอดแขนของจ้านเป่ยเซียวไว้แน่นทันที: “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง นี่ก็ออก ออกมาแล้ว พวกเราก็อยู่อีกประเดี๋ยวหน่อยเถอะ เหลียวเถียนเถียนคนนั้นเมื่อครู่ก็รังแกข้า ข้าจะดูนางถูกนังแกบ้างได้ไหม ยังมีคนอื่นๆ อีก พวกนางยังหัวเราะเหยียดหยามข้าด้วย”
“พวกนางหัวเราะเหยียดหยามก็ไม่ใช่เจ้าอีก” จ้านเป่ยเซียวขยับขึ้นอย่างไม่สนใจ
“แต่ว่าตอนนี้ก็เป็นองค์หญิงซีหลันอยู่นี่นา หากข้าอยู่ในวังโดยตลอด แน่นอนว่าก็จะไม่พบเจอ เรื่องนี้พูดขึ้นมาก็ต้องโทษเจ้า เป็นเจ้าที่ทำร้ายข้าให้ถูกรังแกโดยไร้สาเหตุ” เฟิ่งชิงหัวก็เริ่มก่อกวนขึ้นมาอีกแล้ว
จ้านเป่ยเซียวดึงแขนของตนเอาไว้ ที่ถูกเฟิ่งชิงหัวกอดเอาไว้แน่น ยังไงก็แกะไม่ออก
จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า: “ทำไมเจ้าถึงตื๊อขนาดนั้นฮะ”
เฟิ่งชิงหัวเขย่าแขนของเขาอยู่: “เถอะนะ ดูหน่อยนะ ก็แค่ดูครู่เดียวเอง ยังไงก็ไม่ไปเตะถ่วงธุระอะไรหรอก นี่ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลยนะ พวกเราก็ถือโอกาสกินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปนะ”
เฟิ่งชิงหัวช่างเลียนแบบองค์หญิงซีหลันจนติดแล้วจริงๆ แม้แต่เสียงสะอื้นของนางก็ยังเลียนแบบมาได้แล้วเก้าส่วน
“อย่าใช้น้ำเสียงแบบนั้นมาพูดกับข้า ปกติหน่อย อย่าออดอ้อน” จ้านเป่ยเซียวจ้องนาง
เฟิ่งชิงหัวพบว่าจ้านเป่ยเซียวราวกับว่าจะรับไม่ได้ต่อเสียงสะอื้นเช่นนี้เลย กล่าวออกมาอย่างเจตนาว่า: “ใครออดอ้อนเหรอ คนเขาก็แค่พูดจาปกติเองนะ ท่านอ๋อง พอเถอะนะ”
“ก็ได้ๆๆ กินข้าวก็กินข้าว จะกินอยู่ข้างห้องของพวกเขาด้วยไหม?” สายตาท่าทางของจ้านเป่ยเซียวมองมายังนางอย่างบ่งบอกว่าข้าไม่รู้เหรอว่าในใจของเจ้าคิดอะไรอยู่
เฟิ่งชิงหัวรีบกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม: “ท่านอ๋องปราดเปรื่อง!”
หลังจากสั่งการลงไปแล้ว ทั้งสองคนก็โดยสารลิฟต์ไม้มายังชั้น 3 และจากนั้นก็เข้าไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านข้าง
เฟิ่งชิงหัวเดินวนรอบห้องส่วนตัวนั้นแล้วกล่าวอย่างวิจารณ์ออกมาว่า: “ห้องส่วนตัวชั้น 3 ก็แค่พอดูได้นะ การตบแต่งก็น้อยเกินไปหน่อย”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วมองมายังนาง: “จะตบแต่งของมากมายไปทำอะไร?”
“แน่นอนว่าก็เอามาขายไวเล่า เอาของที่แตกง่ายหน่อยมาเยอะๆ อีกอย่างพอจับก็ตกแตกง่ายแบบนั้น เช่นนี้แล้วรายได้ของเจ้าทางนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าเลยไง?”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินก็กลอกตาขาวมองมาที่นางครู่หนึ่ง: “น่าเบื่อ”
คำพูดนี้เห็ฯได้ชัดว่ากำลังประชดเขาอยู่ หยิบยกเอาม่านกั้นห้องนั้นมาเป็นเรื่อง
หลังจากจ้านเป่ยเซียวนั่งลงแล้วก็เริ่มชงชา เฟิ่งชิงหัวกลับฟังอยู่ตรงด้านข้างผนังห้องข้างๆ ที่เชื่อมติดกันอยู่ แต่กลับพบว่าไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียวเลยอย่างคาดไม่ถึง
หากไม่ใช่ว่ารู้ว่าคนของพวกนางยังไม่ได้จากไป นางก็ยังคิดว่าห้องข้างๆ ก็คงจะว่างเปล่าไปแล้ว
“นี่เจ้ามีกลไกอะไรไหม? ก็แบบว่าที่สามารถฟังข้างห้องพูดคุยกันได้” เฟิ่งชิงหัวหันศีรษะมาถาม
“หาเอาเอง” จ้านเป่ยเซียวไม่เลยศีรษะขึ้นมาเลย
มีจริงด้วยหรือ
ดังนั้นเฟิ่งชิงหัวก็เลยเริ่มลูบคลำเพื่อหาอย่างละเอียดรอบคอบบนผนังนั้น จากนั้นก็พบความผิดปกติที่ตะเกียงด้านข้างขึ้น หมุนตะเกียงเบาๆ ขึ้น
ก็เห็นผนังที่อยู่ด้านหน้าจู่ๆ ก็ยกสูงขึ้น จากนั้นไม่เพียงแต่เสียงที่พูดคุยตรงข้ามจะชัดเจนเป็นพิเศษ แม้แต่เงาคนที่อยู่ตรงข้ามก็สามารถเห็นได้เช่นกัน
ราวกับว่ามีม่านชั้นหนึ่งบดบังเอาไว้ก็ไม่ปาน การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามมองดูได้แบบว่าไม่รู้ว่าจะชัดเจนมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว