พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 273 ใครบอกว่าเหล้าผลไม่ดื่มแล้วไม่เมา
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 273 ใครบอกว่าเหล้าผลไม่ดื่มแล้วไม่เมา
หากถามว่านางมีความผิดอะไร ก็คงมีเพียงแค่การหลงรักท่านอ๋องที่เป็นเหมือนภูเขาหิมะที่ไร้หัวใจ ซึ่งย่อมไม่มีทางลงเอยกันได้แน่นอน
หากเฟิ่งชิงหัวรู้ว่าคำพูดของตนเองประโยคนั้น จะทำให้ภาพลักษณ์ขององค์หญิงซีหลันในสายตาของทุกคนดูดีขึ้นมา เกรงว่าคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ฮ่องเต้เซวียนถ่งกระแอมเบา ๆ จากนั้นจึงพูดคำพูดเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง : “เจ้าเจ็ด เมื่อครู่ ในตำหนักใหญ่…”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันต่อว่านาง ดังนั้นนางจึงสาดน้ำใส่หม่อมฉัน เช่นนี้ก็ถือว่าหายกัน” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ฮ่องเต้เซวียนถ่งจนปัญญาที่จะจัดการกับลูกชายของตนเองเสียจริง ๆ
พวกเจ้าสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว แล้วข้าล่ะจะทำเช่นไร ?
ในขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของไทเฮาดังขึ้นมาจากที่ประทับด้านบนอย่างไม่พอใจ : “พูดมามากมายขนาดนี้ สุดท้ายองค์หญิงซีหลันก็แค่จะบอกว่าตอนนี้ตนเองไม่เห็นอ๋องเจ็ดอยู่ในสายตาแล้วสินะ ? ที่กระตือรือร้นจะตีตัวออกหากเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะการคัดเลือกพระชายาขององค์รัชทายาท ที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้าหรืออย่างไร ? พูดออกมาอย่างชอบธรรมเช่นนั้น แต่อันที่จริงก็มีความเห็นแก่ตัวแอบแฝงอยู่ในใจ”
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวไม่หลงเหลือความรู้สึกอันดีต่อไทเฮาพระองค์นี้อีกต่อไป
เรื่องทุกอย่างได้รับการแก้ไขจนเกือบจะเรียบร้อยแล้ว กลับกวนน้ำให้ขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง หากไม่รู้สึกมีส่วนร่วมจะต้องตายหรืออย่างไร จะทำให้อึดอัดใจตายหรืออย่างไร ?
เฟิ่งชิงหัวหันไปพูดกับฮ่องเต้เซวียนถ่งในทันที : “ฝ่าบาท ซีหลันตัดสินใจเรียบร้อยแล้วเพคะ หลังจากที่บาดแผลบนใบหน้าฟื้นฟูกลับเป็นปกติแล้ว ก็จะเดินทางกลับเป่ยเว่ย สะใภ้ของราชวงศ์ ซีหลันเองไม่ต้องการจะเป็นอีกแล้ว อย่างน้อยหม่อมฉันก็รู้ตัวเองดี ส่วนที่ว่าทำไมจึงมีการคาดเดาออกมาเช่นนี้ อาจเป็นเพราะจิตใจของคนบางคนไม่ค่อยบริสทธิ์เท่าไรเพคะ”
ไทเฮาได้ยินดังนั้น ก็เข้าใจในทันทีว่าผู้หญิงไร้ยางอายที่ปากคอเราะรายผู้นี้ กำลังด่าว่าจิตใจของตนเองนั้นไม่บริสุทธิ์ จึงรู้สึกโมโหขึ้นทันที แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกมา ก็ถูกฮ่องเต้เซีวยนถ่งกระซิบเพื่อห้ามปรามเอาไว้ : “เสด็จแม่ อย่าตรัสอะไรอีกเลย หากตรัสอะไรต่อไปอีก ศักดิ์ศรีของราชวงศ์คงไม่หลงเหลืออีกแล้ว”
“ฝ่าบาท พระองค์ตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร พระองค์กำลังต่อว่าว่าแม่ทำลายศักดิ์ศรีของราชวงศ์อย่างนั้นหรือ ?” ไทเฮารู้สึกปวดใจ และยกมือขึ้นกุมหน้าอกทันที
เมื่อฮ่องเต้เซวียนถ่งเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ก็รู้ได้ในทันทีว่ากำลังจะใช้ลูกไม้เดิม
หลายปีที่ผ่านมา ก็ทำเช่นนี้ทุกครั้ง นางรู้ดีว่าจะต้องทำให้ลูกกตัญญูอย่างเขายอมใจอ่อนได้แน่นอน
แต่ทว่าตอนนี้ ในใจของฮ่องเต้เซวียนถ่งกลับรู้สึกซับซ้อนยกยากจะอธิบายได้
ประการแรกเป็นเพราะคำพูดที่ว่า “เป็นตายก็ไม่พบหน้ากันอีก” ของเฟิ่งชิงหัว ทำให้เขานึกถึงคนในอดีตคนหนึ่ง และเป็นเพราะเรื่องของไทเฮาที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป องค์หญิงซีหลันเองก็ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานเข้ามาในวัง หากพัวพันกันเช่นนี้ต่อไป คงมีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะต้องเสียหน้า
“ไทเฮาพระวรกายไม่แข็งแรงนัก รีบประคองนางกลับไปพักผ่อนเร็วเข้า” ฮ่องเต้เซวียนถ่งพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม
ไทเฮากำลังจะแผลงฤทธิ์ แม่นมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็รีบเดินเข้ามาแล้วพูดว่า : “ไทเฮาเพคะ มีเรื่องอะไรก็กลับไปพูดคุยกันในวังเถอะนะเพคะ ตอนนี้หากกระทำการใด ๆ ต่อหน้าบรรดาขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน หากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อขึ้นถูกคนรู้เข้าละก็ จะต้องเกี่ยวพันออกไปเป็นวงกว้างแน่นอนเลยนะเพคะ”
ไทเฮาฉลาดหลักแหลม จึงตั้งสติขึ้นมาได้ จากนั้นก็จ้องเขม็งไปยังองค์หญิงซีหลันที่ยืนอยู่ด้านล่าง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า : “ประคองข้ากลับวัง”
หลังจากไทเฮาออกจากงานเลี้ยงไป ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็พูดว่า : “ในเมื่อทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ก็เชิญองค์หญิงซีหลันกลับไปนั่งประจำที่เถอะ”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า โค้งคำนับเล็กน้อย แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง พร้อมทั้งถอนหายใจเฮือกใหญ่
การโต้เถียงด้วยวาจาท่ามกลางบรรดาขุนนางเช่นนี้ นับว่าน่าตื่นเต้นไม่น้อยจริง ๆ
ด้านหลัง เหลียนซินก้าวเข้ามาแล้วรินน้ำชาให้กับเฟิ่งชิงหัว นางยกขึ้นมาแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด แสดงให้เห็นว่ารู้สึกกระหายอย่างยิ่ง
“องค์หญิงทรงพระปรีชายิ่งนัก” เหลียนซินกระซิบอยู่ข้าง ๆ
เดิมทีเหลียนซินคิดว่าวันนี้จะมีเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี จึงรู้สึกตกใจจนขาทั้งสองข้างอ่อนแรง กลับคิดไม่ถึงว่า “องค์หญิง” ที่อยู่ตรงหน้าพระองค์นี้ กลับทำให้พ้นภัยได้โดยอาศัยเพียงแค่ปากเท่านั้น
แววตาที่จ้องมองเฟิ่งชิงหัวเต็มไปด้วยความชื่นชม
“หวังว่าหลังจากนี้จะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นอีกนะ” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจ
เดิมทีนางคิดเพียงว่าอยากมาร่วมรับประทานอาหารเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตเช่นนี้
อาหารอันโอชะค่อย ๆ ทยอยยกขึ้นโต๊ะทีละจาน ๆ นางรำที่มีรูปร่างเย้ายวนก้าวเข้ามาโดยพร้อมเพรียงกัน และงานเลี้ยงภายในวังก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ที่นั่งของเฟิ่งชิงหัวอยู่ตรงกลาง ทั้งสองข้างมีกระถางต้นไม้บดบังสายตาอยู่ นอกจากที่ประทับทางด้านบนกับฝั่งตรงข้ามที่สามารถมองเห็นนางได้ ก็นับว่ามีความเป็นส่วนตัวอยู่มาก
หลังจากฮ่องเต้เซวียนถ่งกล่าวเปิดงานเลี้ยงแล้ว ก็ไม่หันกลับไปมองนางอีก ส่วนคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ง่วนอยู่กับการร้องรำทำเพลง เฟิ่งชิงหัวจึงรู้สึกเป็นอิสระไม่น้อย จึงถอดผ้าคลุมหน้าออก หยิบตะเกียบขึ้นแล้วเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
“องค์หญิง นี่คือเหล้าผลไม้ พระองค์จะทรงเสวยสักหน่อยไหมเพคะ ?” เหลียนซินที่ช่วยยกอาหารให้นางอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามขึ้น
“รินมาสักหน่อยก็ได้” เฟิ่งชิงหัวเลียริมฝีปาก
จากนั้นแก้วเหล้าก็ถูกเติมจนเต็ม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกท้อลอยเตะจมูก
เฟิ่งชิงหัวยกแก้วเหล้าขึ้น แล้วค่อย ๆ จิบเข้าไปเล็กน้อย จากนั้นแววตาก็เป็นประกายขึ้นมา : “รสชาติดีทีเดียว กลิ่นของเหล้าก็เบาบางมาก”
เมื่อเหลียนซินเห็นว่านางชอบก็พูดขึ้นว่า : “เหล้าผลไม้ไม่ทำให้เมาได้โดยง่าย องค์หญิงทรงเสวยสักสองสามแก้วก็ได้เพคะ”
“อืม ๆ รินให้ข้าอีกหนึ่งแก้ว”
สุดท้าย ก็รู้สึกรำคาญการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าของเหลียนซิน เฟิงชิงหัวจึงรินด้วยตนเอง ดื่มเข้าไปแก้วแล้วแก้วเล่า ราวกับดื่มน้ำผลไม้อย่างไรอย่างนั้น
โดยไม่ทันจะรู้ตัว เดิมทีอาหารอันโอชะที่ตั้งตารอเพิ่งจะกินเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับดื่มเหล้าผลไม้ลงท้องไปหลายเหยือก
เริ่มแรกยังถือได้ว่าเฟิ่งชิงหัวมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน แต่สุดท้าย กลับค่อย ๆ รู้สึกว่าสายตาดูเลือนลางลงไปทุกที ๆ
เฟิ่งชิงหัวคิดในใจว่าไม่ได้การแล้ว ประมาทเกินไปหน่อย ใครบอกว่าเหล้าผลไม่ดื่มแล้วไม่เมากัน
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทำเรื่องขายหน้าขึ้น เฟิ่งชิงหัวจึงเรียกเหลียงซิน : “ออกไปเดินเล่นข้างนอกเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
เหลียนซินไม่นึกสงสัยเลย และรีบประคองเฟิ่งชิงหัวเดินออกจากประตูสวนไป
จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่กับที่ และจ้องมองมายังเฟิ่งชิงหัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นนางเอาแต่ดื่มอยู่เรื่อย ๆ เดิมทีก็ไม่คิดจะสนใจนัก แต่เมื่อเห็นภาพที่นางให้นางกำนัลประคองเดิน ก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย จึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากงานเลี้ยงไป
เฟิ่งชิงหัวยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกมึนงง และสะบัดหัวอยู่เป็นระยะ จากนั้นจึงหันไปตำหนิเหลียนซินที่อยู่ข้าง ๆ ว่า : “เหลียนซิน เจ้าบอกว่าเหล้าผลไม้ดื่มแล้วไม่เมาไม่ใช่หรือ ?”
เหลียนซินเองก็มีสีหน้าจนใจ : “องค์หญิง หม่อมฉันเองก็คิดไม่ถึงว่า พระองค์จะคออ่อนเช่นนี้นี่เพคะ”
“รอเดี๋ยว ข้าเดินไม่ไหวแล้ว ประคองข้าไปนั่งที่ศาลาหน่อย ตากลมสักเดี๋ยว” เฟิ่งชิงหัวชี้นิ้วไปยังศาลาที่อยู่ไม่ไกลแล้วพูดขึ้น
หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวนั่งลงแล้ว ก็ไม่ยินดีที่จะขยับร่างกายอีก พาดตัวอยู่ตรงนั้นแล้วตะโกนออกมาเสียงดั่งว่าปวดหัว
เหลียนซินร้อนใจอย่างยิ่ง : “องค์หญิง ให้หม่อมฉันไปตามหมอหลวงมาให้นะเพคะ ?”
“ไม่ได้ ! องค์หญิงของพวกเจ้าน่าจะคอแข็งไม่เบา หากถูกพบเข้าว่าข้าดื่มจนเมาเสียแล้ว นั่งไม่เท่ากับทำให้เกิดช่องโหว่หรอกหรือ เรียกมาไม่ได้เด็ดขาด” เฟิ่งชิงหัวส่ายหัว
เหลียนซินรู้สึกจนใจ เมาหรือไม่เมากันแน่
ขณะที่กำลังจะอ้าปาก ก็เห็นอ๋องเจ็ดเดินตรงเข้ามาจากที่ไกล ๆ
“องค์หญิง พวกเรารีบไปกันเถอะเพคะ ท่านอ๋องเจ็ดเดินมาแล้ว หากถูกเขาพบเข้าคงเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขึ้นแน่” ขณะที่เหลียนซินพูดอยู่นั้น ก็เตรียมตัวประคองเฟิ่งชิงหัวให้ลุกขึ้น ทว่าตอนที่เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำสามคำว่า “ท่านอ๋องเจ็ด” และเงยหน้าขึ้นมา ก็เหลือบไปเห็นเงาสีดำ
“จ้านเป่ยเซียว ! ข้าอยู่นี่ ! ตรงนี้ !” เฟิ่งชิงหัวหันไปโบกมือทักทายจ้านเป่ยเซียวอย่างตื่นเต้น
เหลียนซินตกใจจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องที่ต่ำที่สูง ยกมือขึ้นปิดปากเฟิ่งชิงหัวเอาไว้ทันที และพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า : “องค์หญิง อย่าเอะอะโวยวายสิเพคะ นั่นคือท่านอ๋องเจ็ดนะเวลา”
เหลียนซินร้องไห้อยู่ในใจโดยไม่มีน้ำตา “องค์หญิง” พระองค์นี้ช่างสมบทบาทจริง ๆ ปลอมตัวเป็นองค์หญิงของพวกนางยังไม่พอ แม้แต่ความหลงใหลที่มีต่ออ๋องเจ็ดก็ยังแสดงได้เหมือนอีกด้วย
เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นมาดึงมือของนางออก แล้วตำหนินางว่า : “ข้าย่อมรู้ดีว่าเป็นใคร ก็เรียกเขานั่นแหละ”