พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 28 พระชายาแสดงอำนาจบารมี (2)
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 28 พระชายาแสดงอำนาจบารมี (2)
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำกล่าวเช่นนี้รู้สึกเพียงว่าได้ยินเรื่องพวกนี้มามากเกินไปแล้ว คนพวกนี้ ความตายมาอยู่ตรงหน้าถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู ก่อนเกิดเรื่องตอนที่เป็นสุนัขรับใช้ของคนอื่นทำไมไม่เคยคิดว่าจะส่งกระทบต่อทั้งครอบครัว?
“วันนี้ข้าจะตัดหัวของเจ้าซะ จะได้ไม่ทำให้ครอบครัวของเจ้าคอยหวาดระแวงทุกคืนทุกวัน เป็นเช่นไร?” หญิงสาวใช้แส้ยกคางของคนคนนั้นขึ้นแล้วกล่าวขึ้นมา
“พระชายาไว้ชีวิตด้วย พระชายาไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อย ข้อน้อยก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น พระชายาได้โปรดเมตตาด้วย”
เดิมทีจู่ปู้นึกว่าพระชายาจะต้องถามเขาว่าตกลงใครเป็นคนสั่งการอย่างแน่นอน แต่แล้วหญิงสาวกลับไม่ได้ถาม แต่หันไปนั่งที่ห้องโถงแทน มือข้างหนึ่งประคองศีรษะเอาไว้กล่าวออกมาอย่างหละหลวม: “ในเมื่อเจ้าอ้อนวอนให้ข้าเมตตา เช่นนั้นข้าก็จะเมตตาเจ้าสักครั้งหนึ่ง ตอนนี้ ไปเรียกทุกคนในกรมคลังมาทันที รวมไปถึงใต้เท้าของพวกเจ้า บอกเขาว่า หากเขายังมาไม่ถึงภายในหนึ่งก้านธูป เช่นนั้นข้าก็จะให้เขาพักผ่อนตลอดไป!”
ถึงแม้จะเป็นคำพูดที่หละหลวม จู่ปู้นั่นกลับถูกลักษณะท่าทางของนางทำให้ตกใจ ไม่กล้าฝ่าฝืนเลยแม้แต่น้อย และไปหาถังเจี๋ยด้วยตัวเอง
ในตอนที่ใต้เท้าถังแห่งกรมคลังปรากฏตัวในห้องโถง ก็เห็นทหารทั้งหลายที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยในเวลาปกติตอนนี้แต่ละคนกำลังยืนหลังตรงมือถือไม้พลองสุยหั่วเอาไว้ มองไปทางประตูใหญ่ด้วยสายตาดุร้าย
ถังเจี๋ยรู้สึกตกใจอย่างมาก คนพวกนี้เปลี่ยนนิสัยไปอย่างนั้นหรือ?
แต่จู่ปู้กลับรู้อย่างชัดเจน เพราะตอนนี้บนร่างกายของเขายังปวดแสบปวดร้อนอยู่เลย
บนร่างกายของบางคนในกลุ่มคนพวกนี้ มากน้อยก็มีรอยแส้กันทั้งนั้น
เฟิ่งชิงหัวมีทักษะฝีมือในการเฆี่ยนตีคนอย่างมาก จะไม่เฆี่ยนตีเจ้าจนเนื้อตัวแตกยับ หนึ่งแส้ฟาดลงไปนอกจากรอยเขียวช้ำแล้วไม่มีปัญหาใดๆเลย แต่ความรู้สึกภายในมีเพียงคนที่ถูกตีเท่านั้นที่จะรู้ ความรุนแรงของความปวดแสบปวดร้อนนั่นยากที่จะบรรยายออกมาได้
สายตาของถังเจี๋ยกวาดมอง หรี่ตามองไปทางคนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งที่นั่งที่เป็นของเขา
ชุดคลุมสีม่วงเสริมให้ใบหน้านั้นดูสง่าและสูงส่ง คนทั้งคนแผ่ซ่านไอความเกียจคร้าน แต่ทว่าในดวงตาคู่นั้นกลับแฝงไปด้วยความดื้อรั้นไม่ยอมคนทำให้ผู้คนไม่กล้าดูหมิ่น
หากไม่ใช่ว่ารู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือผู้หญิง ยิ่งเป็นพระชายาที่ท่านอ๋องเจ็ดเพิ่งจะแต่งงานด้วย ถังเจี๋ยยังคิดว่านี่คือคุณชายจากตระกูลไหนที่อยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำวิ่งมาเล่นปาหี่ปลอมตัวมาเยี่ยมเยียนกรมคลังเป็นการส่วนตัวเสียอีก
ถังเจี๋ยประสานมือคารวะ คำนับแล้วกล่าวว่า: “กระหม่อมคำนับพระชายา พระชายาทรงพระเจริญ”
คนที่อยู่บนแท่นไม่ได้พูดอะไร ถังเจี๋ยก็รักษาร่างกายที่โค้งเล็กน้อยเอาไว้ การกระทำของสองมือที่ส่งไปด้านหน้าหยุดลง เห็นคนที่อยู่บนแท่นไม่พูดอะไรสักที ก็อดที่จะเงยหน้ามองไปทางที่หญิงสาวอยู่ด้วยความสงสัยไม่ได้
เฟิ่งชิงหัวถึงได้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า: “ใต้เท้าถังไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถอะ ท่านมาได้จังหวะพอดีเลย เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เราเริ่มไต่สวนคนร้ายกันโดยเร็วดีกว่า”
ถังเจี๋ยเห็นดังนั้นก็กล่าวขึ้นมาทันที: “พระชายา เวลานี้ใต้เท้าเจียงกับใต้เท้าลู่ล้วนยังมาไม่ถึง ถ้าอย่างไรรอพวกเขาต่ออีกหน่อยดีไหม?”
เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้า: “ไม่จำเป็น ในเมื่อพวกเขาไม่เห็นงานที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้อยู่ในสายตา เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าก็จะเป็นคนจัดการด้วยตัวเองแล้วกัน นำผู้ต้องสงสัยทั้งสี่คนนั้นขึ้นมา!”
ถังเจี๋ยยังอยากจะพูดอะไรอีก ก็ได้ยินเฟิ่งชิงหัวกล่าวขึ้นอีกว่า: “ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ไม่ชอบให้มีใครมาสาย ความอดทนในวันนี้ได้มอบให้กับใต้เท้าถังไปแล้ว ไม่มีความอดทนเหลือเอาไว้ให้ใต้เท้าทั้งสองคนอีก”
ทันทีที่ถังเจี๋ยได้ยินก็ไม่กล้าพูดมากอีก ไหนเลยจะยังไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงหัวนี่คือกำลังข่มขู่ตัวเองอยู่ ถ้าหากทำให้นางไม่พอใจขึ้นมา เช่นนั้นเขาถังเจี๋ยก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา
แต่เห็นได้ชัดว่าวันนี้เขาไม่ได้มาสาย ยังเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่ากูหน่ายนายคนนี้มาเช้าเกินไปเท่านั้น นี่มาเพื่อแสดงอำนาจต่อเขาโดยเฉพาะใช่ไหม