พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 292 สับสน
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 292 สับสน
เสียงของเฟิ่งชิงหัวหายไปตอนที่เห็นจ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่บนโต๊ะ ชั่วขณะหนึ่งไม่ทันปรับสีหน้ากลับมา
ทว่าหยูจีที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นอาหารในมือเฟิ่งชิงหัวถึงกับอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ
“ยังมีอาหารอีก ข้าไปยกมาก่อน” เฟิ่งชิงหัวพูด
ในห้อง หยูจีพูดกับจ้านเป่ยเซียว “นั่งเซ่ออยู่ทำไม ยังไม่รีบไปช่วยภรรยายกอาหาร? เจ้าเป็นผู้ชาย ทำอาหารไม่เป็นก็ช่างเถอะ ยกอาหารก็ไม่เป็นหรือ?
น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความดูแคลน
จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้น เดินออกไป
เห็นหยูจีที่เมื่อครู่สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ เริ่มแอบกินอย่างเปิดเผย
เฟิ่งชิงหัวกลับเข้าไปในห้องครัว กำลังจะยกอาหาร รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนเดินตามมา นางหันกลับไป เห็นจ้านเป่ยเซียวเอามือไขว้หลังยืนอยู่ที่ประตูห้องครัว ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก
เฟิงชิงหัวขี้คร้านจะพูดกับเขา ยกอาหารเดินออกไป จากนั้นเห็นจ้านเป่ยเซียวยกอาหารจานหนึ่งเดินตามออกมา สีหน้ายังคงเคร่งขรึม
ประสาท
เฟิ่งชิงหัวกลับไปอีกรอบ หยิบตะเกียบและถ้วยข้าว ครั้งนี้ จ้านเป่ยเซียวเดินตามหลังนางมือเปล่า ราวกับวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสามที่ทานอาหารด้วยกันดูแปลกพิลึกยิ่งนัก
เฟิ่งชิงหัวเอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลา หยูจีตักอาหารอย่างรวดเร็ว ทางด้านจ้านเป่ยเซียวมองด้วยแววตาแปลกใจเป็นครั้งคราว
หยูจีทานเสร็จคนแรก กุมท้องของตนเองที่อืดเล็กน้อย ชมท้องของตนเองด้วยความน่าสงสาร “โตขึ้นแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวรู้ว่านางอยากออกไปเล่น พยักหน้าแล้วพูด “เช่นนั้นท่านออกไปเดินย่อยอาหารเถอะ”
สำหรับหยูจีแล้ว การย่อยอาหารก็คือการเดินเข้าไปเด็ดดอกไม้ใบหญ้าในสวนดอกไม้โดยที่ไม่มีใครตำหนิ วิ่งไปอย่างมีความสุข
ภายในห้องเหลือเพียงชายหญิงสองคนที่นั่งเงียบ
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้เป็นฝ่ายพูดก่อน จ้านเป่ยเซียวก็ไม่ได้มีสีหน้าอะไร
ทันใดนั้นเอง จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้น “มือของเจ้าเป็นอะไร?”
เฟิ่งชิงหัวก้มหน้ามองนิ้วมือ ไม่ได้พูดอะไร ทานอาหารต่อ
จ้านเป่ยเซียวชวนพูดอีกครั้ง “แม่ยายของข้าบอกว่า”
“พอได้แล้ว ท่านแม่ไม่อยู่ ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนใจตนเองเรียกว่าแม่ยาย นางเป็นแม่ของข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านแม้แต่น้อย” เฟิ่งชิงหัววางตะเกียบ พูดกับจ้านเป่ยเซียว
จ้านเป่ยเซียวถามต่อ “มือของเจ้าเป็นอะไร”
“เกี่ยวอะไรกับท่าน ท่านยุ่งเรื่องของตนเองก็พอแล้ว” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีเท่าใดนัก ไม่ไว้หน้าแม่แจ้น้อย
จ้านเป่ยเซียวหน้านิ่ง “เจ้ากำลังโมโหอะไรกันแน่? เพราะข้าเข้าใจเจ้าผิด? ดังนั้นเจ้าจึงพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้หรือ?”
เฟิ่งชิงหัวเราะ “ข้าโมโหอะไร? ข้ามีสิ่งใดให้โมโห ข้าใช้น้ำเสียงอย่างไร?”
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้าเข้าใจ “ที่แท้เพราะเข้าใจเจ้าผิดจริงๆ ด้วย”
เฟิ่งชิงหัวถลึงตามองเขา “เหลวไหล! ท่านเข้าใจข้าผิดส่งผลกระทบอะไรกับข้า?”
“หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้จริงๆ เช่นนั้นเพราะเหตุใด ข้าถามเจ้าสามคำถาม แต่เจ้ากลับตอบเพียงสองข้อ? ไม่พูดถึงเรื่องเมื่อวานแม้แต่น้อย?”
“เรื่องเมื่อวาน เรื่องอะไร เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงหัวเอามือกอดอก สีหน้าเหมือนหมูไม่กลัวถูกน้ำร้อนลวก
“พูดจาดีๆ กับข้าไม่ได้หรือ?” จ้านเป่ยเวียวพูดด้วยความจนปัญญา น้ำเสียงไม่ได้แข็งทื่อเหมือนเฟิ่งชิงหัว
“ไม่ได้ มีเรื่องอะไรก็พูดมา ไม่อะไรก็ไม่ต้องรบกวนข้า ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลามาเล่นตอบคำถามกับท่าน” เฟิ่งชิงหัวพูโ เดินออกไป
จ้านเป่ยเซียวนั่งบนโต๊ะ มองแผ่นหลังที่ดื้อรั้นของนาง ถอนหายใจในใจ
สงครามเย็นนี้ เกรงว่าคงจะไม่ดีขึ้นในเร็ววัน
ตอนเย็นเฟิ่งชิงหัวเข้าวังหลวง เพราะมีตราคำสั่งอยู่ในมือ ตลอดทางจึงไม่ถูกขวาง ไปถึงตำหนักหมอหลวง
บาดแผลของหนานกงลู่ซิ่วภายใต้การจัดการของนางยังคง ‘ไม่มีอะไรดีขึ้น’ ทว่าก็ไม่ได้แย่ลง บรรดาหมอหลวงต่างรู้สึกว่ายาที่ตนปรับเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
เฟิ่งชิงหัวมองหนานกงลู่ซิ่วครู่หนึ่งก่อน แล้วเรียกท่านน้าสุ่ยออกไปพูดเป็นการส่วนตัว
ท่านน้าสุ่ยเห็นเฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา คุกเข่า “คุณหนูรอง ได้โปรด ได้โปรดช่วยลูกสาวของข้าด้วย นางไม่อาจอยู่ในวังหลวงได้ต่อไปแล้ว ขืนให้นางอยู่ต่อไป นางต้องตายแน่นอน”
เฟิ่งชิงหัวพยุงหน้าสุ่ยขึ้นมา รอให้นางร้องไห้ประมาณหนึ่งแล้วค่อยเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่เข้าวังหลวง
ยาของหนานกงลู่ซิ่ว ถูกคนวางยาพิษอย่างแปลกพิลึก หรือไม่ก็มีคนมาลอบสังหาร หรือไม่จู่ๆ ห้องที่นางอยู่ก็เปิดไม่ออก รอให้มีคนมาช่วยนาง ด้านในก็เต็มไปด้วยฟืนและน้ำมัน
ที่นี่คือวังหลวงล้วนอันตราย คนเหล่านี้ต้องมีการเตรียมพร้อมอย่างแน่นอน ครั้งสองครั้งสามารถต้านทานได้ แต่หากมีเรื่องไม่คาดฝันอยู่ร่ำไป ท่านน้าสุ่ยกลัวเหลือเกินว่า จะเกิดเรื่องขึ้นกับลูกสาวของตน
เฟิ่งชิงหัวมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของหนานกงจี๋แน่นอน
เขาในตอนนี้ถือเป็นสุนัขจนตรอกแล้ว เริ่มใช้เส้นสายในวังหลวงมาเติมเต็มจุดประสงค์ของตนเอง
แค่ว่า สถานการณ์เช่นนี้ กลับทำให้เฟิ่งชิงหัวสับสน
บนตัวหนานกงลู่ซิ่ว เหตุใดจึงมีเหตุผลให้หนานกงจี๋ต้องฆ่า?
สิ่งที่หนานกงลู่ซิ่วรู้ เป็นเพียงแผนการของเผ่าเซียนเปย์เท่านั้น สำหรับภาพวาดสีแดง เห็นชัดว่าไม่อาจช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย
“ระยะหลังมานี้ถี่มากหรือ?” เฟิ่งชิงหัวถาม
ท่านน้าสุ่ยพยักหน้า “ใช่ ทุกสองวันจะเกิดเรื่องขึ้นหนึ่งครั้ง เมื่อคืนเพิ่งเกิดเรื่องขึ้น วันนี้น่าจะไม่มีอะไร พรุ่งนี้ น่าจะมีการเคลื่อนไหว ดังนั้นทุกสองคืนข้าจะเฝ้าอยู่ข้างกายลู่ซิ่วตลอดทั้งคืน ทางด้านตำหนักหมอหลวงก็มีการเพิ่มองครักษ์”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า “เช่นนั้นท่านระมัดระวังตัวเล็กน้อย สองวันนี้ข้าจะคิดหาวิธีส่งพวกเขาออกไปรักษาตัวข้างนอก ไม่อาจอยู่ในวังหลวงได้แล้ว”
ท่านน้าสุ่ยพยักหน้าด้วยความซาบซึ้ง
หลังจากเฟิ่งชิงหัวทำความเข้าใจสถานการณ์แล้วก็ไปที่ตำหนักหมอลวง ศึกษาพิษกับบรรดาหมอหลวง ออกไปก่อนที่ประตูวังหลวงจะปิด
ขึ้นไปบนรถม้า เฟิ่งชิงหัวยังคงคิดว่าเวลานี้ควรจะทำอย่างไรกับหนานกงลู่ซิ่วดี รวมถึงเหตุใดหนานกงจี๋จึงร้อนใจที่จะให้หนานกงลู่ซิ่วตายเช่นนี้
ในเมื่อเขาไม่ได้ให้ยาถอนพิษกับหนานกงลู่ซิ่ว ตามหลักการแล้ว ในสายตาของเขาหนานกงลู่ซิ่วใกล้ตายแล้ว สำหรับเรื่องที่ว่า พิษของหนานกงลู่ซิ่ว เวลานี้ยังไม่คงเกี่ยวข้องกับจวนเฉิงเซี่ยง
ทันใดนั้นเอง เฟิ่งชิงหัวคิดเรื่องบางอย่างได้ เสียงตั้งดังขึ้นในความคิดของนาง “ผิดปกต เร็วเข้า กลับเข้าไป เข้าวังหลวง!”
สารถีคือองครักษ์ของจวนอ๋อง เมื่อได้ยินคำพูดของนางจึงตอบด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “พระชายา เวลานี้ห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืนแล้ว ไม่อาจเข้าไปแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยความร้อนใจ “เช่นนั้นหากจะเข้าไปในวังหลวงให้ได้ ต้องทำเช่นไร?”
“เอ่อ นอกจากท่านอ๋องแล้ว ครั้งหนึ่งฮ่องเต้เคยมีรับสั่ง ขอเพียงเป็นอ๋อง สามารถเข้าออกวังหลวงได้ตลอดเวลา” องครักษ์พูด
เฟิ่งชังหัวกัดฟันแน่น “ช่างเถอะ เจ้าพาข้าไปยังนอกประตูวังหลวงก่อน”
ท่านน้าสุ่ยและเหล่าองครักษ์ในวังหลวงตกหลุมพรางแล้ว
หนานกงจี๋เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะใช้แผนการเช่นนี้
เขาเจตนา
เขาตั้งใจลงมือวันเว้นวัน ให้คนเข้าใจว่า ความถี่ของเขาเป็นเช่นนี้
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ทุกคนจึงเข้าใจว่า ระหว่างนั้นหนึ่งวันต้องปลอดภัย แม้ไม่มีองครักษ์อยู่ ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ
อีกทั้ง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็แตกต่างกัน ทำให้คนไม่สงสัยแม้แต่น้อยว่า พวกเขาใช้วิธีการใหม่ทุกครั้ง แล้วไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ยกตัวอย่างเช่น วางยาพิษลงไปในยา
ยาที่ก่อนหน้านี้หนานกงลู่ซิ่วดื่ม ครึ่งหนึ่งล้วนเป็นยาที่แรงมาก ขอเพียงปริมาณยามากไปหรือน้อยไป ล้วนไม่ทำให้คนสงสัย แม้จะเป็นหมอหลวง ก็ไม่ใส่ใจมากขนาดนั้น
เฟิ่งชิงหัวนึกขึ้นได้วันนี้ตอนที่นางไปที่ห้องของหนานกงลู่ซิ่ว บรรยากาศแปลกๆ ในห้อง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลัง หากความคิดของนางถูกต้องละก็ พูดได้แค่ว่า หนานกงจี๋ เหี้ยมโหดยิ่งนัก
เมื่อไปถึงประตูวังหลวง ถึงเวลาห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืนแล้วจริงๆ แม้นางจะมีตราคำสั่งของอฮ่องเต้ ทว่าเมื่อถึงเวลานี้ก็ห้ามเข้าไป
เฟิ่งชิงหัวกวาดตามององครักษ์ที่เฝ้าวังหลวง พบว่าการจะเข้าไปในวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะนางในตอนนี้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้
“พระชายา หากท่านมีเรื่องเร่งด่าน เชิญท่านอ๋องมาดีหรือไม่?”องครักษ์พูด
“ไม่จำเป็น เฟิ่งชิงหัวคิดถึงสถานการณ์ของตนและจ้านเป่ยเซียในตอนนี้ ไม่เหมาะที่จะให้เขาช่วยเหลือ แม้เขาจะยินดี นางก็ไม่อยากติดค้างน้ำใจของเขา