พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 293 แพทย์หญิง
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 293 แพทย์หญิง
ตอนกลางคืน ทั่วทั้งวังหลวงห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน ด้านนอกตำหนักหมอลวง มีทหารกองหนึ่งเฝ้าเอาไว้ ทุกคนเคร่งขรึมยิ่งนัก คอยสังเกตความผิดปกติรอบๆ
“หัวหน้า คืนนี้กองของเราเป็นคนเฝ้าหรือ?” หนึ่งในองครักษ์อดไม่ได้ที่จถาม “เวลานี้คุณหนูหนานกงอยู่ในห้อง หากมีคนอาศัยโอกาสนี้บุกเข้าไป พวกเราต้องปกป้องใกล้ชิดหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง ตอนกลางวันข้าตรวจดูทั้งในและนอกหมดแล้ว ไม่มีโอกาสให้ผู้อื่นลงมือ ขอเพียงเฝ้าที่นี่เอาไว้ อย่าให้คนบุกเข้าไปได้ก็พอแล้ว” หัวหน้าองครักษ์จับจ้องไปที่ประตูตำหนักนอน
“ขอรับ” องครักษ์รับคำ พูดต่อ “หัวหน้า พรุ่งนี้ คนเหล่านั้นจะลงมือด้วยวิธีการใดอีก? วางยาพิษ ไฟไหม้ ลอบฆ่าล้วนทำมาหมดแล้ว”
“ไม่รู้ คืนนี้พวกเจ้าตั้งใจเฝ้าเวรยามเถอะ เรื่องของวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ค่อยคิด”
องครักษ์พยักหน้า ทว่ากลับแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งที่พวกเขาเฝ้าอยู่ตรงนี้ทุกวัน แต่คนพวกนั้น โผล่มาจากที่ใดกันแน่ ถึงได้ลงมือเกือบจะสำเร็จ ตอนที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว
ภายในห้อง หนานกงลู่ซิ่วยังคงนอนไม่ได้สติบนเตียง ท่านน้าสุ่ยนั่งข้างๆ นาง เฝ้าด้วยความระมัดระวัง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ท่านน้าสุ่ยพูดด้วยความระมัดระวังตัวทันที “ใคร?”
“ฮูหยิน ข้าเป็นแพทย์หญิงของตำหนักหมอหลวงเจ้าค่ะ มาส่งยาให้คุณหนูสาม”
ท่านน้าสุ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ตอนกลางวันกินยาหมดแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงต้องกินอีก?”
“ฮูหยิน นี่คือยาที่พระชายาเจ็ดให้พวกข้าต้มก่อนที่จะออกไป” สตรีที่อยู่นอกประตูพูดขึ้น
ท่านน้าสุ่ยได้ฟัง ลุกขึ้นเปิดประตู ไม่คิดจะเชิญแพทย์หญิงเข้าใจ “เอายามาให้ข้าก็พอแล้ว”
“ฮูหยิน พระชายาเจ็ดมีคำสั่ง ยานี้ ต้องป้อนให้คุณหนูสามด้วยตนเอง” แพทย์หญิงนอกประตู ก้มหน้าลงเล็กน้อย มองเห็นหน้าไม่ชัดเท่าใดนัก
ท่านน้าสุ่ยได้ฟังจึงระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น พูดทันที “ไม่จำเป็น อาการของลูกสาวข้ามีตำหนักหมอหลวงคอยรับผิดชอบมาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาสั่ง เจ้า……”
ท่านน้าสุ่ยพูดได้เพียงครึ่งหนึ่ง เสียงของนางก็แหบพร่า ร่างกายค่อยๆ ล้มลง เหลือเพียงดวงตาเท่านั้นที่มองตรงหน้าที่อุ้มนางเอาไว้ด้วยความขุ่นเคือง มองแพทย์หญิงเดินเข้าไปในห้อง
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”ท่านน้าสุ่ยถามอย่างไร้เสียง
แพทย์หญิงยกมุมปากขึ้นหญิง “ท่านนอนหลับให้สบายเถอะ”
หลังจากนั้น ท่านน้าสุ่ยก็หมดสติไป
แพทย์หญิงเดินไปที่เตียง สายตาจับจ้องไปยังหนานกงลู่ซิ่ว มองไปที่หน้าต่าง ดอกดารารัตน์บานสะพรั่งกระถางหนึ่ง กลิ่นหอมนั้น หอมมาก เวลานี้ทั่วทั้งห้องเคล้าไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่สง่าผ่าเผย
“หัวหน้า มีแพทย์หญิงคนหนึ่งเข้าไปในห้อง ตอนกลางคืนต้องส่งยาด้วยหรือ?” องครักษ์ถามด้วยความสงสัย
“อาจจะเป็นยาที่ตำหนักหมอหลวงเพิ่งจ่ายกะทันหันกระมัง ท่านน้าสุ่ยไม่ได้ส่งเสียงร้อง น่าจะไม่มีเรื่องอะไร” หัวหน้าองครักษ์พูด
พวกองครักษ์ยังคงสังเกตรอบๆ เวลาประมาณครึ่งจิบชา เห็นแพทย์หญิงที่เดินเข้าไปในห้องยกถาดออกมา
เวลานี้ที่จวนอ๋องเฉิน ในเวลาเดียวกันจ้านเป่ยเซียวก็ได้รับข่าว
เฟิ่งชิงหัวสลัดองครักษ์ของจวนอ๋อง หายตัวไปนอกวังหลวง
อีกข่าวหนึ่ง คือทางด้านหนานกงจี๋มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
ข่าวที่จ้านเป่ยเซียวส่งออกไปก่อนหน้านี้ หนานกงจี๋ได้รับแล้ว เวลานี้กำลังส่งคนออกไป
เวลานี้จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฬนวังหลวง มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”
“ยังไม่มีขอรับ แต่คล้ายพระชายาจะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เหตุเพราะถึงเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน พระชายาจึงไปจากข้า ไม่รู้ไปที่ใด แต่เห็นว่าในวังหลวงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข้าน้อยคิดว่าพระชายาไม่ได้เข้าไปในวังหลวงขอรับ” องครักษ์พูด
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วเป็น ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตามด้วยส่ายหน้า “ไม่ หากนางจะเข้าไป ใช่ว่าจะไม่มีวิธี นางต้องพบอะไรบางอย่างแล้วแน่นอน”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาทั้งคู่ของจ้านเป่ยเซียวตกตะลึง “มีบางอย่างผิดปกติในวังหลวง!”
ขณะพูด จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้น รีบมุ่งหน้าเข้าไปในวังหลวง หลิวหยิ่งเดินตามหลัง “นายท่าน อย่าใช้วิชาตัวเบา ท่านยังบาดเจ็บ!”
จ้านเป่ยเซียวเข้าวังหลวง แน่นอนว่าที่ประตูวังหลวงย่อมไม่มีใครกล้าขวาง ต่างหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว
กระทั่งจ้านเป่ยเซียวไปถึงตำหนักหมอหลวง เพิ่งถึงพื้น องครักษ์ที่อยู่รอบๆ เพิ่งปรากฏตัว เมื่อเห็นจ้านเป่ยเซียวต่างทำความเคารพ “ท่านอ๋อง”
“คืนนี้เกิดเรื่องผิดปกติอะไรหรือไม่?”
“เรียนท่านอ๋อง ไม่มีขอรับ” หัวหน้าองครักษ์พูดด้วยความเคารพ
เมื่อจ้านเป่ยเซียวได้ยิน สะลัดแขนเสื้อ ไล่พวกเขาไปไกล:“ขยะ!”
องครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่คุกเข่าบนพื้น คนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัว “นายท่าน คุณหนูสามหายตัวไปแล้ว ถูกพาตัวไปจากทางลับของสำนักหมอหลวง พวกข้าน้อยพบสิ่งนี้ขอรับ”
องครักษ์ลับยิ่งมุกทอประกายทรงกลมด้วยสองมือ
“พวกเจ้าเห็นเคยเห็นพระชายาปรากฏตัวที่นี่หรือไม่?” จ้านเป่ยเซียวพูดเสียงเคร่งขรึม
“ไม่เคยขอรับ คืนนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ มีเพียงแพทย์หญิงคนหนึ่งมาส่งยาเท่านั้น” องครักษ์พูด
ดวงตาทั้งคู่ของจ้านเป่ยเซียวเย็นยะเยือก “แพทย์หญิงอะไร? ปกติแล้วเวลานี้มีแพทย์หญิงมาส่งยาหรือ?”
“ไม่เคยมีมาก่อนขอรับ ปกติแล้วล้วนมาส่งยาตอนกลางวัน มีเพียงคืนนี้ที่มีแพทย์หญิงมาส่งยา”องครักษ์พูด เบิกตากว้างทันที: “หรือว่า คุณหนูสามหนานกงถูกแพทย์หญิงคนนั้นพาตัวไป?”
“เป็นไปไม่ได้!” หัวหน้าองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นทันที “แพทย์หญิงคนนั้นใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินออกมาแล้ว ข้าน้อยเห็นอย่างชัดเจน แพทย์หญิงคนที่เข้าไป นางมาคนเดียวและกลับไปคนเดียว แล้วจะพาคนไปด้วยได้อย่างไร?”
“แพทย์หญิงคนนั้นต้องมีปัญหาแน่นอน! เวลานี้วังหลวงห้ามออกนอกเคหสถานแล้ว แพทย์หญิงคนนั้นหนีไปไหนไม่รอด ข้าน้อยจะไปจับตัวนางมาเดี๋ยวนี้!” หัวหน้าองครักษ์พูด แล้วรีบพาคนออกไป
เวลานี้ ในที่สุดท่านน้าสุ่ยที่อยู่ในห้องก็ตื่นแล้ว เมื่อได้ยินเสียงข้างนอก แล้วมองบนเตียงที่ว่างเปล่า รีบวิ่งออกไปทันที: “ลูกสาวของข้าหายไปแล้ว ลูกสาวของข้าหายไปแล้ว!”
เมื่อวิ่งออกไป นางเห็นจ้านเป่ยเซียวที่ยืนอยู่เหนือทุกคน รีบพุ่งตัวไป คุกเข่าตรงหน้าจ้านเป่ยเซียว “ท่านอ๋อง ได้โปรด ได้โปรดช่วยลูกสาวของข้าได้ นางต้องถูกคนนั้นพาตัวไปแน่นอน”“แพทย์หญิงคนนั้น เจ้ารู้จัก?” จ้านเป่ยเซียวถาม
ท่านน้าสุ่ยส่ายหน้า “ข้าไม่เคยเจอมาก่อน นางเคาะประตูห้อง บอกว่าพระชายาเจ็ดมีคำสั่งให้ส่งยามาให้ แต่ว่ายาก่อนหน้านี้ พระชายาล้วนให้ข้าเททิ้ง เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนส่งยามาให้ตอนกลางดึก ขณะที่ข้ากำลังจะร้องตะโกนก็ถูกนางกดจุดแล้วหมดสติไป”
เวลานี้จ้านเป่ยเซียวพอจะรู้แล้ว มององครักษ์ลับ “รีบไปตรวจดูที่ทางออกนั้น”
“ขอรับ!”
ในที่สุดหลิวหยิ่งก็ไล่ตามมาทัน เมื่อได้ยินคำสั่งของจ้านเป่ยเซียว เกิดความสบสัน เหตุใดนายท่านจึงให้ความสำคัญกับคุณหนูหนานกงเช่นนี้?
เพราะการเคลื่อนไหวของจ้านเป่ยเซียว ทำให้ทั้งวังหลวงสั่นสะเทือน แม้กระทั่งฮ่องเต้เซวียนถ่งที่บรรทมไปแล้วยังได้ยินว่าโอรสของตนเข้าวังหลวง ทั้งยังเกรี้ยวกราดที่สำนักหมอหลวง ฮ่องเต้เซวียนถ่งรีบฉลองพระองค์แล้วมาทันที
เมื่อเดินเข้ามา ฮ่องเต้เซวียนถ่งเห็นโอรสของตนนั่งอยู่บนเก้าอี้ รอบตัวแผ่ซ่านด้วยไอสังหาร
“เจ้าเจ็ด ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดเจ้าจึงเข้าวังหลวง?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งเดินมาใกล้ มองหน้าจ้านเป่ยเซียว
จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยความขุ่นเคือง “วังหลวงขนาดใหญ่แต่กลับไม่อาจปกป้องสตรีคนหนึ่งได้ ขืนเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ราชวงศ์ยังมีอะไรน่าเกรงขาม เสด็จพ่อยังจะถามข้าอีก!”
จ้านเป่ยเซียวหงุดหงิดใจยิ่งนัก ไม่ไว้หน้าแม้กระทั่งบิดาของตนเอง
ฮ่องเต้เซวียนถ่งถูกตะคอกเช่นนี้ สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย ทว่าไม่อาจตะคอกโอรสของตนได้ จึงทำได้เพียงพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”
เวลานี้ หัวหน้าสำนักหมอหลวงที่มาถึงก่อนฮ่องเต้เซวียนถ่งเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงเรื่องที่แพทย์หญิงประหลาดคนนั้นบอกว่าทำตามคำสั่งของพระชายาเจ็ด
ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองไปรอบๆ “เจ้าเจ็ด พระชายาของเจ้าเล่า? เจ้าเข้าวังหลวงตามลำพัง นางเล่า?”
เมื่อถามเช่นนี้ สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวย่ำแย่กว่าเดิม!
อย่างรวดเร็ว หัวหน้าองครักษ์จับตัวแพทย์หญิงคนนั้นมา กดนางลงบนพื้น “ยังไม่สารภาพอีก!”
แพทย์หญิงเงยหน้าขึ้น พูด “หม่อมฉันไม่รู้อะไรเลยเพคะ หลังจากทำงานเสร็จหม่อมฉันก็กลับเข้าไปในห้องนอน ไม่เคยออกมาก่อน ยิ่งไม่เคยส่งยา เรื่องนี้ แพทย์หญิงคนอื่นๆ เป็นพยานได้”
“ยังมีอีกคนหนึ่ง” จ้านเป่ยเซียวพูดเสียงเคร่งขรึม
“อะไร?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งอยู่ใกล้เขาที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าฉายความฉงน
“ตรวจค้น! ในวังหลวง ยังมีแพทย์หญิงอีกคนหนึ่ง”
ไม่นาน ในวังหลวง องครักษ์จับตัวแพทย์หญิงคนหนึ่ง แพทย์หญิงคนนั้นไม่ดูกระวนกระวายเหมือนคนตรงหน้า นางมาถึงก็คุกเข่าสองข้าง ไม่ได้วิงวอนขออภัย