พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 296 หนานกงจี๋หลบหนี
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 296 หนานกงจี๋หลบหนี
“รู้ว่าเจ็บก็ถูกแล้ว ดูว่าต่อไปเจ้าจะยังใจร้อนเช่นนี้อีกไหม” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เฟิ่งชิงหัวรอจนจ้านเป่ยเซียวพูดจบแล้ว ก็เลยกล่าวว่า: “อันนั้น ตอนนี้ทางด้านหนานกงจี๋นั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? เมื่อคืนคนพวกนั้นใช้ป้ายคำสั่งของหนานกงจี๋ออกนอกพระนครไป ยังมีดอกดารารัตน์กระถางนั้น ได้ยินว่าก็เป็นหนานกงจี๋ที่ส่งคนไปนำเอามาด้วย”
จ้านเป่ยเซียวมองมาที่นางอย่างไม่สบอารมณ์: “ข้าจะไปทราบได้ยังไง ข้าก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา”
ในขณะที่พูดอยู่หลิวหยิ่งก็ร้องเรียกขึ้นมา
“นายท่าน พระชายา”
“ทางหนานกงจี๋ด้านนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
“เรียนท่านอ๋อง จวนเฉิงเซี่ยงทางด้านนั้น หนานกงจี๋หนีไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่ทราบหลักแหล่งแน่ชัด”
“หนีไป? คนอื่นๆ ในจวนเฉิงเซี่ยงล่ะ?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ
“คนอื่นยังอยู่ในจวนเฉิงเซี่ยง ตอนนี้มีเพียงเขาที่ไม่เห็นตัวเท่านั้น อีกอย่างคนพวกนั้นทางด้านเรือนนอกพระนครนั้นก็ถูกคนมารับไปด้วย คนของพวกเราได้ปะมือกับคนพวกนั้น การต่อสู้ของคนพวกนั้นดูแปลกประหลาด จู่ๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเลย พวกเราไล่ตามไม่ทัน” หลิวหยิ่งกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับเมื่อคืนใช่ไหม” เฟิ่งชิงหัวกล่าว: “เมื่อคืนข้าได้ยินคนพวกนั้นพูดว่าพวกเขาได้ทำข้อตกลงอะไรบางอย่างกับหนานกงจี๋ไว้ เอาหนานกงลู่ซิ่วนั้นมาแลกเปลี่ยน เรื่องของข้อตกลงน่าจะทำให้คนพวกนั้นเผ่นแนบไปอย่างกะทันหันเลย”
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วแน่นขึ้น: “เมื่อคืนวรยุทธ์ของคนพวกนั้นค่อนข้างแปลกประหลาด ไม่เหมือนสำนักฝึกวิทยายุทธ์ที่ใดเลย อีกอย่างพวกเขาต้องการหนานกงลู่ซิ่วไปทำอะไร?”
“เพราะว่าพิษบนตัวของหนานกงลู่ซิ่วหรือเปล่า คนพวกนั้นจึงรู้สึกว่าหนานกงลู่ซิ่วถูกพิษแล้วแต่กลับยังไม่ตายเสียที ก็เลยแปลกใจมาก ดังนั้นจึงแบกเอาความอยากรู้อยากเห็นมาน่ะ แต่ว่าพิษพวกนั้นเดิมทีก็เป็นคนของหนานกงจี๋ทางนี้ที่วางยาเอง ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว คนพวกนั้นกับคนที่อยู่เบื้องหลังของหนานกงจี๋ร่วมมือกันก็คงไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองครั้ง” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยเสียงเข้ม
พิษนี้ที่แท้แล้วมีตรงไหนที่แปลกกันแน่ ที่สามารถให้พวกเขาต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ได้?
ตอนที่ช่วยหยูจีกลับมาบนร่างก็ขาดเลือดไป เป็นไปได้มากที่จะเป็นหนานกงจี๋ที่เป็นคนทำเช่นกัน เห็นได้ชัดส่าหนานกงจี๋ก็ไม่ได้บอกความลับของหยูจีให้คนพวกนั้นทราบด้วย
เรื่องนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกงงงวยยากจะคาดเดาได้จริงๆ
หนานกงจี๋จู่ๆ ก็หายไปแบบนี้ แม้แต่ลูกและเมียของตนก็ไม่สนใจ ช่างเลือดเย็นเสียจริงๆ
“นายท่าน ฝ่าบาทในตอนนี้กำลังเป็นกังวลความปลอดภัยของท่านอยู่ จะต้องส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้เขาก่อนไหม? อีกอย่างเขายังอยากจะพบพระชายาด้วย” ในขณะที่หลิวหยิ่งพูดอยู่ก็มองไปยังเฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวกลับไม่เข้าใจในจุดนี้นัก ก็เลยกล่าวอย่างสงสัยออกมาว่า: “พบข้างั้นเหรอ? ทำไม?”
หลิวหยิ่งได้เพียงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตั้งแต่ต้นจนจบให้เฟิ่งชิงหัวฟังหนึ่งรอบ
เฟิ่งชิงหัวฟังแล้วก็มีรอยยิ้มจางๆ ขึ้นที่มุมปาก มองมาที่จ้านเป่ยเซียวอย่างไร้ซึ่งคำพูดไปเล็กน้อย: “ตอนนี้จะให้ข้าอธิบายกับเสด็จพ่อของเจ้ายังไงล่ะ?”
วิ่งเข้าไปในวังหลวงด้วยแผนต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ จากนั้นก็ถูกคนจับเอาตัวไป เรื่องนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “พ่อแท้ๆ” ของตนอีก ทำให้นางไม่ว่าจะแต่งเรื่องยังไงก็หาเนื้อเรื่องไม่ได้เลย
อีกอย่างตอนนี้ฮ่องเต้เซวียนถ่งไม่นานก็คงจะสืบไปจนถึงต้นตอของหนานกงจี๋ นางซึ่งเป็นลูกสาวคนรองของหนานกงจี๋ ตอนนี้ก็ต้องตกเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมรับโทษด้วยเช่นกันไปแล้ว
จ้านเป่ยเซียวมองมาที่นางครู่หนึ่ง: “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้ตั้งนานทำไมถึงไม่รู้จักคิดให้รอบคอบเสียก่อน?”
เฟิ่งชิงหัวเม้มปาก: “ใครจะไปคิดว่าหนานกงจี๋จะรีบร้อนถึงเพียงนี้ แม้แต่เฉิงเซี่ยงก็ไม่เป็นแล้ว นี่ทำจนข้าที่เป็นลูกสาวคนนี้อึดอัดวางตัวไม่ถูกไปเลย”
เพียงครู่เดียวนางก็ได้เปลี่ยนจากคนที่สัญจรไปมากลายเป็นลูกสาวของเฉิงเซี่ยงไปเลย ทันใดนั้นก็เปลี่ยนจากลูกของเฉิงเซี่ยงกลายเป็นลูกของขุนนางต้องโทษไปเลย นางจะหาใครมาปรับทุกข์ได้บ้าง?
“หรือไม่งั้นก็?” เฟิ่งชิงหัวมองมายังจ้านเป่ยเซียว
จ้านเป่ยเซียวตวัดสายตามองขวางไปที่นางครู่หนึ่ง: “เจ้าแม้แต่คิดก็ห้าม เรื่องที่เจ้ารับปากข้ายังทำไม่ได้เลย เจ้าก็คิดจะหนีหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก: “ข้าก็แค่ คิดเล่นๆ เท่านั้น ข้าใช่คนที่ไม่มีสัจจะขนาดนั้นเลยหรือไง”
ดังนั้น หลิวหยิ่งจึงได้เรียบเรียงจดหมายไปให้ฮ่องเต้เซวียนถ่งหนึ่งฉบับ บอกว่าพวกเขาสามีภรรยาสองคนต่างได้รับบาดเจ็บกำลังพักรักษาตัวอยู่ ไม่สามารถไปเข้าเฝ้าได้ชั่วคราว
ในตอนนี้ของทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียวก็ไม่สะดวก ก็ไม่ง่ายที่จะกลับไปยังจวนอ๋อง ดังนั้นก็เลยพักอยู่ที่เรือยทางด้านนี้เป็นการชั่วคราว
เฟิ่งชิงหัวก็ช่วยเขาฝังเข็มเพื่อกำจัดต้านทานพิษออกไปทุกวัน รับผิดชอบทั้งยาบำรุงและอาหารบำรุงทุกรูปแบบให้เขา
เพิ่งจะอยู่เฉยๆ มาหนึ่งวันเต็ม อู่ตู๋จื่อก็ทำหน้าดำค่ำเครียดพุ่งเข้ามาใกล้เฟิ่งชิงหัว: “อาจารย์ย่า”
“มีอะไร” เฟิ่งชิงหัวกำลังเคี่ยวยาอยู่ชามหนึ่ง ในมือถือพัดแล้วนั่งยองๆ อยู่ตรงระเบียงทางด้านพัดไปมาอยู่
“อาจารย์ย่า ท่านอ๋องเจ็ดผู้นี้ ท่านคิดว่าจะส่งเขาออกไปเมื่อไหร่กัน”
“ทำไมหรือ?”
“เขาอยู่ที่นี่ไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไร? ลูกน้องพวกนั้นของเขา วันๆ ก็เอาแต่เฝ้าอารักขาอยู่ข้างนอก ทำจนเพื่อนบ้างข้างเคียงต่างพากันคิดว่าเรือนนี้ข้างนอกมีปัญหาอะไร ต่างพากันวิจารณ์กันไปใหญ่แล้ว”
“งั้นไม่ใช่ว่าก็ดีหรือ ยังไงช่วงนี้พวกเราก็อยู่ที่นี่ ก็ไม่สะดวกให้คนนอกมารบกวนอยู่แล้ว ไม่มีรายได้ก็ช่างมันเถอะ เจ้าก็ไม่ได้จะขาดแคลนเงินจำนวนนั้นเสียหน่อย” สายตาของเฟิ่งชิงหัวมองไปยังหม้อต้มยา ระวังความแรงของไฟอยู่ด้วย
“แต่ถ้าเกิดปล่อยให้นานเข้าก็จะไม่ใช่ทางออกที่ดี งั้นเอางี้ไหม ท่านให้พวกเขาถอนกำลังกลับมาก่อน หรือไม่ก็ท่านกลับไปเคี่ยวยาที่จวนอ๋องก็ไม่ต่างกัน”
“นั่นมันจะเหมือนกันได้ยังไง ขาทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียวตอนนี้เดินไปได้แล้ว หากถูกคนเห็นเข้าจะทำอย่างไร?”
“แต่ขานั้นของเขาก็ไม่ใช่ว่าจะฟื้นฟูกลับาได้ประเดี๋ยวเดียวที่ไหนกัน หาแม่กู่ไม่เจอ หนอนกู่นี่อยู่ในร่างกายของเขาอีก ยังไงก็ย่อมเกิดเรื่องไม่ช้าก็เร็วแน่นอน” อู่ตู๋จื่อกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา
เฟิ่งชิงหัวเม้มปาก: “ข้าทราบดี”
“ท่านรู้แล้วท่านก็ยังจะบอกว่าจะรักษาให้เขาอีก?”
“อืม รอข้ารักษาอาการของตัวเองให้ดีก่อนแล้วจะไปเอาหญ้าชุบชีวิตมา”
“เอาหญ้าชุบชีวิต? ท่านบ้าไปแล้ว! หญ้าชุบชีวิตอยู่ที่ไหนท่านรู้หรือเปล่า สถานที่แบบนั้นอย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่เทพอรหันต์ทองคำเข้าไปก็ต้องเตรียมใจเอาไว้ ท่านเพื่อเขาแม้แต่ชีวิตก็ไม่เอาแล้วเหรอ!” อู่ตู๋จื่อมองมาที่นางอยู่ตกตะลึง
“ขาของเขา ข้าก็มีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน พอแล้วล่ะ เจ้าอย่าพูดอีกเลย หากเจ้ามีเวลาว่างขนาดนั้น ก็ช่วยข้าสืบว่าหนานกงจี๋ตอนนี้ไปที่ใดไม่ดีกว่าหรือ แล้วก็ยังมีร่องรอยของเหลียนเจี้ยงอีก ข้ารู้สึกว่าพวกเขาตอนนี้เป็นไปได้ว่าน่าจะอยู่ด้วยกัน”
“เหลียนเจี้ยงเจ้าเด็กแก่แดดบ้าไปแล้วจริงๆ ขโมยของล้ำค่าของสำนักไปไม่ว่า คิดไม่ถึงว่ายังจะกล้าทำร้ายท่านให้บาดเจ็บ รอข้าจับเขาได้เมื่อไหร่จะค่อยๆ ทำลายเส้นเอ็นบนร่างทีละเส้นให้ขาดเลยให้จงได้” อู่ตู๋จื่อกล่าวออกมาด้วยอารมณ์โมโห
เฟิ่งชิงหัวส่ายหัว โชคดีที่วันนั้นนางไม่ได้ใช้รูปโฉมที่แท้จริง มิเช่นนั้นหากเหลียนเจี้ยงจำนางได้ก็คงจะสังหารนางไปแล้ว แต่ว่าในช่วงที่ถูกจับตัวไปนั้นก็ไม่ได้ดีไปมากกว่ากันเสียเท่าไร
พวกเขาทั้งสองคนตั้งแต่แรกเริ่มก็ไม่ถูกกัน ใครตกอยู่ในเงื้อมมือจองใครต่างฝ่ายก็ต่างไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน
“เพ้งๆๆ” มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากด้านนอก
อู่ตู๋จื่อรีบดึงสติสตังกลับมาทันที: “มีรายได้เข้ามาหาแล้ว ข้าไปดูหน่อยว่าเป็นใคร กล้าเข้ามาในเวลานี้ได้ เป็นไปได้มากว่าจะป่วยหนักอะไร”
เฟิ่งชิงหัวก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงก้มหน้าก้มตาโบกพัดไฟต่อไป
ผ่านไปไม่นานอู่ตู๋จื่อก็พาคนเดินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
เฟิ่งชิงหัวเงยศีรษะขึ้นกลับพบว่าเป็นเนี่ยหานซิงที่ไม่ได้พบกันนานแล้ว
วันนี้เนี่ยหานซิงดูเหมือนว่าจะตั้งอกตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษ ผมเผ้าหวีได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นพิเศษ บนศีรษะยังมีมงกุฎติดไว้เหนือศีรษะด้วย ควบคู่กับสีผิวและเครื่องแต่งกายขาวนวลเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งเห็นริมฝีปากแดงเรื่อและฟันที่ขาวได้ชัดขึ้น