พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 3 พบท่านอ๋องเจ็ดครั้งแรก
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 3 พบท่านอ๋องเจ็ดครั้งแรก
คนที่ติดตามนางมาต่างก็รู้สึกตกตะลึง ถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าขาวซีดลงทันควัน มองนางราวกับเห็นผี
“คุณ……คุณหนู นี่มันจวนอ๋องเจ็ดเชียวนะเจ้าคะ”แม่มงคลที่อยู่ข้างๆตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวขรึมลงทันที สายตาเย็นชากวาดมองไปรอบๆ จ้องมองไปที่ร่างของทุกคน คนเหล่านั้นต่างก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เห็นดังนั้น เฟิ่งชิงหัวจึงเอาราชโองการสีเหลืองทองในมือออกมา พูดเสียงกังวานว่า “ข้าเป็นเจ้าสาวที่ฮ่องเต้ทรงประทานงานแต่งให้ด้วยพระองค์เอง และเป็นนายหญิงของจวนนี้กึ่งหนึ่ง ถ้าหากวันนี้พวกเจ้าไม่ทำตามที่ข้าบอก การแต่งงานวันนี้ไม่สำเร็จ ทำให้ราชวงศ์ต้องขายหน้า ชีวิตของคนในครอบครัวพวกเจ้า พวกเจ้าก็ชั่งน้ำหนักเองเถอะ”
ทุกคนต่างก็นิ่งไป ใช่แล้ว พังประตู จะถูกลงโทษ ไม่พังประตู ไม่เพียงแต่ชีวิตตนเองเท่านั้น แม้แต่ชีวิตคนในบ้านทั้งน้อยใหญ่ก็ต้องสูญสิ้นไปด้วย
กลุ่มคนช่วยกันกอดท่อนซุงใหญ่ท่อนหนึ่งเอาไว้ เริ่มทำการพังประตูของจวนอ๋องเจ็ด
ส่วนกลุ่มคนที่เหลือที่อยู่หน้าประตู ต่างก็กลั้นหายใจกันถ้วนหน้า เสียงกระแทกที่ดังขึ้นทีละครั้งราวกับกระแทกไปที่ใจของพวกเขา ปังปังปัง ปังปังปัง
เฟิ่งชิงหัวก้าวเท้าเยื้องย่างไปบนบันไดหิน มองดูประตูที่ยังคงแข็งแรงราวกับเหล็กกล้า สะบัดแขนเสื้อ กระแสพลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่งปะทะเข้ากับแผ่นไม้ ได้ยินเพียงเสียงปังดังขึ้นหนึ่งครั้ง ประตูของจวนอ๋องเฉินก็ค่อยๆเปิดออกจากทางด้านนอก
ภายในประตู องครักษ์นับร้อยที่ถืออาวุธครบมือยืนเรียงรายอยู่สองฟากฝั่งอย่างสงบ สายตาต่างก็มองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางอย่างพร้อมเพรียงกัน ในสายตาเต็มไปด้วยแววตกตะลึง
สองเท้าของเฟิ่งชิงหัวก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป เผชิญกับคมดาบวาววับอย่างไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเอ่ยขึ้นอย่างดีใจว่า “งานแต่งงานนี้ นับว่ามีความหมายอยู่บ้าง อ๋องเจ็ดเล่า”
“ถอยออกไป”องครักษ์ที่เป็นหัวหน้าเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
“ถอย”เฟิ่งชิงหัวไม่เพียงแต่ไม่ถอย กลับเดินเข้าไปใกล้อีกสองก้าว ทันใดนั้นแสงเย็นวาบสายหนึ่งก็พาดผ่านใบหน้าของนางไป เฟิ่งชิงหัวเบี่ยงศีรษะหลบ จี้จุดไปที่ข้อศอกของคนคนนั้น ดาบในมือขององครักษ์คนนั้นร่วงหล่นกระแทกพื้นทันที
“ท่านอ๋องของพวกเจ้าเล่า พระชายาเข้ามาในจวนแต่กลับไม่เห็นท่านอ๋อง นี่มันไม่สมเหตุผลเอาเสียเลย”เฟิ่งชิงหัวพูดยิ้มๆ
“ลำพังเจ้า คิดว่าคู่ควรจะพบท่านอ๋องของพวกเราหรือ”องครักษ์คนนั้นเอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านอ๋องไม่เคยยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ ตอนนี้เจ้าทำลายประตูจวนอ๋อง เท่ากับเป็นโทษร้ายแรงแล้ว”
“ไม่ยอมรับ”เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูดนี้ ก็พูดด้วยรอยยิ้มเย็นว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องถามท่านอ๋องของพวกเจ้าแล้วว่า คงจะไม่เห็นความสำคัญของราชโองการซินะ อำนาจของจวนอ๋องเจ็ดยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ”
ว่าแล้วก็เดินไปข้างหน้าต่อ องครักษ์คนอื่นๆเห็นดังนั้นก็จะเข้าไปขวาง แต่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาก่อน “ถอยไปให้หมด”
น้ำเสียงเย็นชาเคร่งขรึม ชัดถ้อยชัดคำ
คนที่อยู่ตรงหน้าได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แบ่งออกเป็นสองแถว ตรงแน่วไม่เคลื่อนไหว
เสียงล้อรถที่เบียดเสียดกับพื้นค่อยๆดังใกล้เข้ามา เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าขึ้น
เห็นเพียงบนเก้าอี้รถเข็น มีชายคนหนึ่งที่สวมชุดยาวสีดำทั้งตัว เส้นผมที่ดำขลับถูกปล่อยให้สยายปกคลุมอยู่เต็มแผ่นหลัง ดูท่าเหมือนจะเพิ่งตื่นนอน แต่กลับไม่มีท่าทีเกียจคร้านเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่ราวกับตาเหยี่ยวคู่นั้นมองมาทางนางโดยตรง
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ใบหน้าดูดีไม่พอคือใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาสวมหน้ากากเอาไว้ ปิดบังใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของเขา แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่กลับปกปิดพลังความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาไม่ได้
นี่คืออดีตแทบสงคราม คือท่านอ๋องเจ็ดจ้านเป่ยเซียวที่พักฟื้นรักษาตัวอยู่ในจวนโดยไม่เคยมีใครได้พบมาสามปีแล้ว
ในราชโองการไม่เคยระบุเอาไว้ว่า ท่านอ๋องเจ็ดไม่เพียงแต่เป็นอัมพาต แต่ยังเสียโฉมด้วย
“พังประตูของข้าเสียหาย ควรจะลงโทษเช่นไรดี”เสียงเย็นยะเยือกของจ้านเป่ยเซียวดังขึ้น ราวกับน้ำแข็งที่ซึมเข้ามาในร่างกาย
เฟิ่งชิงหัวกลับเข้าใกล้เขามากขึ้น เอ่ยเสียงใสว่า “ท่านอ๋อง ท่านมาพอดีเลย องครักษ์ของท่านเหล่านี้มีตาหามีแววไม่ ถึงกับกล้าขวางนายหญิงอย่างข้าไม่ให้เขาไปด้านใน อย่างไรเสียก็ต้องลงโทษพวกเขาไม่ให้กินข้าวสามวันสามคืนจึงจะสาสม ส่วนที่ท่านอ๋องบอกว่าทำลายประตู ไม่รู้ว่าใครช่างไม่รู้ความ ทั้งๆที่รู้ว่าท่านอ๋องแต่งงานวันนี้ ยังกล้าปิดประตูอีก ข้าจึงได้แต่พังประตู เพื่อท่านอ๋อง ยังดี ที่ตอนนี้ก็นับว่าเข้ามาในจวนได้แล้ว ”
เมื่อพูดทั้งหมดจบ ก็ได้ยินเสียงของคนในขบวนส่งเจ้าสาวต่างก็สูดลมหายใจเข้ากันเฮือกใหญ่
นี่คุณหนูรองไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือเป็นเพราะว่าถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในบ้านจึงไม่รู้ถึงความร้ายกาจของท่านอ๋องคนนี้ ถึงได้กล้าพูดจาเช่นนี้กับท่านอ๋อง
“หนางกงเยว่ลั่ว”สายตาของจ้านเป่ยเซียวแฝงแววรู้ดี หรี่ตาลงเล็กน้อย เผยให้เห็นความเย็นชา
“ใช่แล้ว”เฟิ่งชิงหัวตอบรับ สองมือวางทับกันอยู่ด้านหน้า ท่าทางเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
“เด็กๆ จับตัวนางไปมัดกับเกี้ยว ส่งกลับไปทางเดิม ให้เฉิงเซี่ยงอบรมสั่งสอนให้ดี”