พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 306 นั่งอยู่ในอาการเจ็บป่วยที่กำลังจะตาย
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 306 นั่งอยู่ในอาการเจ็บป่วยที่กำลังจะตาย
เฟิ่งชิงหัวดึงหยูจีแล้วก็เดินอ้อมจ้านเป่ยเซียวไป ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นอากาศกลุ่มก้อนหนึ่งก็ไม่ปาน
พอเข้าไปในห้อง เฟิ่งชิงหัวก็กล่าวออกมาทันทีว่า: “ท่านแม่ ต่อไปตอนที่พวกเราวิจารณ์คน จะปิดประตูไว้แล้วค่อยวิจารณ์ได้ไหม การพูดนินทางคนลับหลังแล้วถูกจับได้ มันช่างอึดอัดวางตัวไม่ถูกเอาเสียเลยจริงๆ นะ”
หยูจีกล่าวอย่างสงสัยว่า: “งั้นข้าก็ไม่ใช่ว่าจะต้องจงใจจะชมเชยเขาต่อหน้าลูกเขยข้างั้นหรือ เป็นเขาเองที่ได้ยินเข้าพอดี อีกอย่างเป็นเจ้าที่กล่าวนินทาเขา ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย”
เฟิ่งชิงหัวถูกซัดกลับจนจุกพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวเลย
“เร็วเข้า อย่าอ้อยส้อยเลย มาเถอะ พวกเรามาเริ่มเย็บชุดกันเถอะ รีบไปหยิบออกมาเร็ว ข้าจะสอนเจ้า” หยูจีกล่าวออกมาอย่างอดใจรอไม่ไหวแล้ว
ใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวเปี่ยมไปด้วยความจนปัญญา: “พรุ่งนี้เถอะ คืนนี้ก็ช่างมันไปเถอะ”
“ช่างอะไรกัน ธุระของวันนี้ก็ต้องจบสิ้นวันนี้ วันนี้ข้าจะสอนให้เจ้าเป็นให้ได้ พรุ่งนี้เจ้าก็เย็บๆ ปะๆ ด้วยตัวเองเถอะ ข้าก็ไม่ได้มีเวลาทั้งวันจะมาเป็นเพื่อนเจ้านะ”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย นี่นางกำลังโดนรังเกียจงั้นหรือ?
เมื่อกี้ตอนที่ให้นางทำอาหาร ท่านแม่ของนางไม่ได้พูดเช่นนี้นี่นา ไม่ใช่ตกลงกันไว้ว่าจะพึ่งพาซึ่งกันและกันหรือ
เฟิ่งชิงหัวได้เพียงก้มศีรษะลงและถอนหายใจ จากนั้นก็ไปอุ้มผ้าที่เป็นผืนๆ ออกมาก้อนหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้ จ้านเป่ยเซียวก็ได้เลื่อนเก้าอี้รถเข็นเข้ามาอยู่ แล้วก็นั่งลงตรงที่ไม่ได้ไกลจากคนทั้งสองมากนัก
หลิวหยิ่งรีบนำชุดชงชาของเขาย้ายเข้ามาในทันที เข้าก็เริ่มชงชาอย่างเคยชินเช่นนี้ขึ้นมา
เฟิ่งชิงหัวเกรงว่าอีกประเดี๋ยวตอนที่ถูกหยูจี “ชี้แนะ” นั้นจะถูกเขาได้ยินเข้า ก็รีบกล่าวว่า: “เจ้าจะชงชาก็หลับไปชงในที่ของเจ้า พวกเราทางนี้ยุ่งมาก ไม่ว่างดูเจ้าแสดงหรอก”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างแน่นิ่ง: “ข้าเข้ามาสำรวจงาน มีปัญหาหรือ?”
“ชุดเก่าๆ ชุดหนึ่ง มีอะไรน่าสำรวจงานด้วย เจ้ารีบออกไปเร็ว”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะใช้แผนต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ แมวดาวสับเปลี่ยนองค์ชายเสียอีก” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเรียบเฉย: “ยังไงฝีมือเย็บปักถักร้อยของเจ้าก็แย่พอตัว ยากรับประกันว่าจะไม่ขอให้แม่ยายช่วย หรือให้หญิงรับใช้ทำให้เสร็จในตอนที่ไม่มีคนเห็น ข้าต้องให้แน่ใจว่าแต่ละเข็มแต่ละด้ายเป็นเจ้าที่ลงมือจัดการเองทั้งหมด”
“เจ้าจะดูก็ดู ให้ดีอย่าพูดคุยอยู่ทางด้านนั้นทำลายสมาธิช้า พอถึงตอนนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ระวังปักเข็มไปหลายเข็มอยู่ด้านในแล้วไปทิ่มถูกเจ้าตายล่ะ!” เฟิ่งชิงหัวกล่าวข่มขู่
เพิ่งจะพูดจบก็ถูกท่านแม่ของตนตบไปบนท้ายทอยหนึ่งฝ่ามืออย่างไม่เห็นแก่หน้าแม่แต่นิดเลย
“พูดอะไรของเจ้าน่ะ แม่ของเจ้าอย่างข้าจะไปสอนให้เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็อายตายเลย” หยูจีกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ
“ใช่ๆๆ ท่านผู้อาวุโสพูดถูก ท่านสอนมาเถอะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
หยูจีหยิบเอาแขนเสื้อครึ่งท่อนที่เฟิ่งชิงหัวเย็นเอาไว้ขึ้นมา อดที่จะกล่าวเหน็บแนมไม่ได้ว่า: “นี่เป็นเจ้าเองที่เย็บอันนี้ กระสอบยังจะประณีตละเอียดกว่าเจ้าเลย เจ้าดูนี่ รูหนึ่งใหญ่ขนาดนี้”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวเสียงเบาๆ ออกมาว่า: “เนื้อผ้าอันนี้อ่อนเกินไป ข้าแสดงฝีมือได้ไม่ดี”
“งั้นเจ้าจะแสดงฝีมืออะไร? เย็นหนังสัตว์หรือ? ข้าจะต้องหาปอกนิ้วให้เจ้าสองอันด้วยไหม?” หยูจีขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา
สีหน้าท่าทางของเฟิ่งชิงหัวไม่พอใจ แต่สายตากลับตวัดไปทางด้านจ้านเป่ยเซียวตามสัญชาตญาณในทันที เห็นว่าเขาดูเหมือนว่าจะไม่สนใจฟัง คราวนี้ก็เลยโล่งใจได้เปลาะหนึ่ง
และวินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงฉีกผ้าดังขึ้น แขนเสื้อครึ่งหนึ่งที่เย็นไปแถวหนึ่งนั้นซึ่งอยู่ในมือของหยูจีก็ถูกฉีกเป็นเส้นออกมา
“อ้า! ข้าเย็บตั้งนานแน่ะ” เฟิ่งชิงหัวรู้สึกเสียดายขึ้นมาจับใจ
“แค่รูใหญ่เท่าดวงตานี้เจ้าก็เย็บนานมาก เจ้านี่ไม่ไหวเลยจริงๆ ดูว่าข้าเย็บยังไง” ทันใดนั้นหยูจีก็กลายร่างเป็นอาจารย์ผู้ชี้แนะที่เข้มงวด หยิบผ้าผุๆ สองชิ้นมาแสดงให้เฟิ่งชิงหัวดู
ก็เห็นเข็มเงินนั้นวนไปมาสลับกัน ผ้าสองชิ้นก็ผนึกเข้าหากันแล้ว พลิกไปด้านหน้ามองไม่เห็นรอยตะเข็บแม่แต่นิดเลย ปิดรอยได้ราวกับเอากาวมาติดไม่มีผิดเลย
มือของเฟิ่งชิงหัวลูบคลำอยู่บนนั้น ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความแปลกใจ
“ตาเจ้าแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินก็บีบเข็มเย็บผ้าที่บางอยู่ การเคลื่อนไหวราวกับว่าช้าลงไปเช่นนั้น แทงเข้าไปในผ้าทีละนิดๆ แล้วก็ค่อยๆ ทิ่มออกมาช้าๆ ลากด้าย ดึงตึง กระชับให้แน่น
“มือของเจ้าจะยกสูงไปทำไม ให้เจ้าเย็บผ้า ไม่ใช่ให้เจ้าฆ่าไก่ ใช้แรงเยอะขนาดนั้นทำอะไร ผ่อนคลายหน่อย” พูดไปพลางก็ตบไปบนบ่าของเฟิ่งชิงหัวไปพลาง
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเย็บได้ 5 เข็ม เฟิ่งชิงหัวเช้ดหยดเหงื่อที่อยู่เหนือศีรษะ มองไปทางหยูจี
“ฝืนทำหน่อยเถอะ ทำต่อ ตามความเร็วนี้ของเจ้า แค่ 2 วัน สองวันเจ้าก็คงเย็บได้เพียงแขนเสื้อสองข้างเท่านั้นเอง นี่น่าจะเรียบง่ายที่สุดแล้ว”
“เย็นแขนเสื้อสองข้างเสร็จ ไม่ใช่ว่าก็เกือบจะเสร็จหนึ่งในสามส่วนแล้วหรือ?” เฟิ่งชิงหัวเม้มปาก
“หนึ่งในสามส่วน เจ้าน่าจะมีความเข้าใจผิดอะไรต่อการทำเสื้อผ้า? ยังจะต้องตัดเย็บเก็บขอบอีก ปกเสื้อและสาบเสื้อที่ยากที่สุด ข้าเห็นแล้วยังร้อนใจจะตาย ทำไมเจ้าถึงได้โง่ขนาดนั้น” หยูจีกล่าวออกมาอย่างเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
เฟิ่งชิงหัวหน้าแดงขึ้นมาเลย ก็เงยศีรษะขึ้นมองไปทางจ้านเป่ยเซียวตามสัญชาตญาณ ก็เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยกถ้วยน้ำชาอยู่แล้วก็ถือตำราพลิกอ่าน
นางสังเกตได้ตามความรู้สึกอันแรงกล้าว่าฝ่ายชายถูกถ้วยน้ำชาบดบังรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้
จ้านเป่ยเซียวจะต้องได้ยินแล้วแน่นอน ช่างขายขี้หน้าจริงๆ
เฟิ่งชิงหัวอยากจะเอาของที่อยู่ในมือทิ้งไปแล้วก็จากไปเลยจริงๆ แต่ว่าหยูจีก็จับจ้องนางอย่างไม่วางตาด้วยตามทั้งสองข้าง ยังไงนางก็ไม่กล้า ได้เพียงทนดื้อด้านต่อไปเท่านั้น
หยูจีก็ไม่ไว้หน้าแม้แต่นิดเดียวเลยจริงๆ พอเห็นว่าเฟิ่งชิงหัวทำตรงไหนไม่ถูกก็จะชี้ชัดอย่างเข้มงวด เย็บไปหลายเข็มอย่างไม่ตั้งใจแล้วออกมาไม่ดี ก็จะให้เย็บใหม่เลย
เฟิ่งชิงหัวรับรู้ถึงความทรมานในตอนนเด็กที่ถูกบีบบังคับให้กลั่นยา
ทำไม ทำไมนางจะต้องบอกว่าตนเองเย็บปักถักร้อยไม่เป็น!
ก็แค่ขี้โม้ไปว่าตนเองไม่มีอะไรที่ไม่สามารถมันจะยากเย็นขนาดนั้นเลยหรือ?
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าการคัดกฎตระกูลก็ไม่นับว่าเป็นการลงโทษที่สุดยอดแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาทำงานกลับไปมานับครั้งไม่ถ้วนเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ต้องทนท่านแม่ที่เข้มงวดกวดขัน ยังต้องทนคนที่มาดูความหายนะผู้นั้นที่อยู่ด้านข้างด้วย
เฟิ่งชิงหัวก้มศีรษะลงใช้เวลาเย็บปะไปราวสองชั่วยามได้ ท่านแม่คนสวยที่อยู่ด้านข้างในที่สุดก็เริ่มง่วงเล็กน้อย หาวออกมาทีหนึ่ง
“ท่านแม่ ท่านรีบไปนอนเถอะ การนอนเพื่อรูปโฉมงดงามเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด อันนี้สามารถทิ้งเอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้ได้ ผ่านวันนี้ไปแล้วก็ยังมีอีก 2 วัน ทันอยู่แล้ว” เฟิ่งชิงหัวรีบกล่าวยุยงทันที
หยูจีพยักหน้า: “นี่ก็ใช่ เพียงแต่ความคืบหน้าของเจ้านี่มันช้าเกินไป”
“ฝึกให้เคยชินเพื่อเกิดความชำนาญ คืนนี้ข้าก็จะควบบคุมเคล็ดลับให้ได้ ท่านดูสินี่ข้าไม่ใช่ว่าเย็บได้ค่อนข้างดีแล้วไหมล่ะ ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
“ก็ได้ งั้นข้าไปพักผ่อน เจ้าก็รีบพักผ่อนเช่นกันเถอะ ข้าไปแล้ว” ในขณะที่หยูจีก็หาวออกมาหนึ่งทีแล้วเดินออกไป ตอนที่ออกไปนั้นยังโบกมือมาทางจ้านเป่ยเซียวอยู่เลย: “ลูกเขย พวกเจ้าสองคนรีบพักผ่อนเข้าล่ะ”
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้ารับช้าๆ
พอหยูจีจากไป เฟิ่งชิงหัวก็รีบเดินขึ้นมาปิดประตูทันที จากนั้นก็รีบปีนไปบนเตียงของกุ้ยเฟย นอนแผ่ออกเป็นแป้งขนมเปี๊ยะไปเลย
จ้านเป่ยเซียวเอนศีรษะมองนาง: “เหนื่อยขนาดนี้เลย?”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินก็โมโหจน “นั่งอยู่ในอาการเจ็บป่วยที่กำลังจะตาย” จ้องมาที่จ้านเป่ยเซียว: “เจ้าไม่เห็นหรือไง? ไม่เห็นว่าข้าต้องทนอย่างลำบากมานานขนาดไหน?”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้น: “ข้าเห็นแต่เพียงว่าเจ้าโง่เกินไป ต่อกรกับแขนข้างหนึ่งมาตลอดทั้งคืนแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวขบกราม: “นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าโง่หรือไม่ อะไรที่ไม่ถนัดอยู่แล้วจะทำยังไงก็กินแรงมากเป็นธรรมดา”
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร เพียงแต่สายตานั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังพูดว่า: อย่าหาข้ออ้างให้สำหรับความโง่เขลาของเจ้าเลย เจ้ายังไงก็โง่
จ้านเป่ยเซียวโมโหจนพลิกตัวลงมา เอาผ้าที่อยู่ข้างโต๊ะยัดใส่อ้อมอกของเฟิ่งชิงหัวไปเลย: “ถือไว้!”
“ทำไม่เสร็จ ให้ข้าดูอะไร?” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว หยิบเอาผ้าขึ้นมา แล้วแหงนศีรษะมองไปยังนางอย่างสงสัย
“เจ้าเย็บให้ข้า ข้าก็อยากจะดูเหมือนกันว่าเจ้าจะฉลาดแค่ไหนเชียว!” ภายในดวงตาทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัวแฝงไว้ด้วยแรงอาฆาตพยาบาทอย่างแรงกล้า