พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 311 วิธีรั้งใจบุรุษ
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 311 วิธีรั้งใจบุรุษ
หนานกงเยว่หลีเห็นท่าทางมุ่งมั่นของมารดาของตนเอง ก็ต้องทั้งปวดศีรษะทั้งพูดไม่ออก นี่มันเวลาไหนแล้ว เหตุใดถึงยังมองสถานการณ์ไม่ออกอีก แถมยังกัดไม่ปล่อย ไม่ควรคิดหาวิธีลบล้างข้อสงสัยแล้วออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยหรอกเหรอ?
เฟิ่งชิงหิวมองไปทางฮูหยินเฉิงเซี่ยงด้วยรอยยิ้ม: “ฮูหยินมีญาณรับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าจะคาดเดาความต้องการของข้าออกอย่างง่ายดายเช่นนี้”
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงส่งสายตาแห่งความได้ใจให้กับหนานกงเยว่หลี: “เห็นหรือไม่ข้าบอกว่าอย่างไร นางไม่ใช่พระโพธิสัตว์เสียหน่อย หากไม่ใช่เพื่อตนเอง นางจะหวังดีเช่นนี้ได้อย่างไร?”
กล่าวไป ฮูหยินเฉิงเซี่ยงได้มองไปที่เฟิ่งชิงหัวอีกครั้ง: “เช่นนั้นยังจะชักช้าอยู่อีกทำไม ยังไม่รีบโขลกศีรษะให้ข้าอีก? เมื่อครู่ข้าจะถือว่าเจ้าเพียงอวดศักดิ์ศรี แต่หากเจ้ายังปฏิเสธอีก เช่นนั้นข้าคงต้องเปลี่ยนใจเป็นแน่”
คราวนี้เฟิ่งชิงหัวคร้านแม้แต่จะใส่ใจ ปล่อยให้ฮูหยินเฉิงเซี่ยงพูดคนเดียวอย่างนั้นด้วยความประหม่า
แม้แต่หนานกงเยว่หลีเองยังรู้สึกประหม่าแทนนาง
“ท่านแม่ อย่าได้พูดอีกเลย คำพูดของท่าน แม้แต่ข้าเองยังไม่เชื่อ แล้วน้องรองจะเชื่อได้อย่างไร?” หนานกงเยว่หลีกล่าวอย่างจนใจ
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงเห็นเฟิ่งชิงหัวไม่ไหวติงเลยจริง ๆ จึงได้ก่นด่าขึ้นมา คำพูดไม่น่าฟังจนถึงขีดสุด
ไม่นานนัก เสียงคนเดินก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านนอกคุก ไม้ท่อนหนึ่งทุบเสาไม้ของคุกมาตลอดทาง ต่อว่าขึ้นมาอย่างน่าเกรงขาม: “ผู้ใดส่งเสียงโวยวายเช่นนี้ ที่นี่คือคุกหลวง มิใช่ตลาดสด ผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวายอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดลิ้มมันเสีย”
เมื่อฮูหยินเฉิงเซี่ยงได้ยินก็เงียบไปทันที ไม่กล้าบุ่มบ่ามอีก เสียงในห้องขังห้องอื่นเองก็เบาลงเช่นเดียวกัน
ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงเดินที่ด้านนอกก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของขุนนางที่อยู่ด้านนอกได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับประจบนอบน้อมเป็นพิเศษ: “เรื่องแบบนี้ท่านแค่สั่งมาก็ได้แล้ว ไม่ต้องลำบากใต้เท้ามาเองหรอกขอรับ”
“อย่าพูดมาก รีบพาข้าไปพบเร็วเข้า”
ไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็ได้มาถึงห้องขังที่เฟิ่งชิงหัวอยู่
เมื่อคนที่อยู่ในคุกได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัว จิตใต้สำนึกได้สั่งให้พวกเขาขยับไปรวมตัวกันที่จุดอับด้านใน แทบอยากจะเอาตัวผสานเข้าไปในกำแพงเพื่อลดการมีตัวตนการมีตัวตนอยู่ แม้แต่หนานกงเยว่หลีและฮูหยินเฉิงเซี่ยงเองวินาทีนี้ยังไม่สนว่าอัดกันอยู่กับพวกคนใช้จะเหมาะหรือไม่ ตัวแนบชิดกับผนังที่สกปรกจะน่ารังเกียจหรือไม่
สองตาของทุกคนต่างมองไปที่หน้าประตูด้วยความหวาดผวา เห็นพวกเขากำลังจะเอากุญแจออกมาเพื่อเปิดประตู ก็แทบจะกรีดร้องออกมา
เฟิ่งชิงหัวกำลังพิงอยู่ที่เสาไม้ เห็นพวกเขาไขกุญแจ ก็เลิกคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้: “ทำไม เร็วขนาดนี้ก็เตรียมที่จะตั้งศาลเตี้ยแล้วอย่างนั้นหรือ?”
กล่าวไป ก็ได้ยืนหลังตรง เตรียมที่จะชกคนที่เข้ามาก่อนสักสองหมัด ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเข้ามาใต้เท้าถังที่เป็นผู้นำก็ได้คุกเข่าลงให้กับเฟิ่งชิงหัวทันที
“กระหม่อมมีตาหามีแววไม่ ขอพระชายาโปรดทรงอภัย” ใต้เท้าถังกล่าวไป และโขลกศีรษะลงไปกับพื้นที่แสนสกปรกโดยตรง เงยหน้าขึ้นมา ศีรษะเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ดูแล้วตลกขบขันยิ่งนัก
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้น สองมือกำหมด พิงอยู่บนเสา ยืนไขว้เท้า กล่าวด้วยท่าทางนักเลง: “ใต้เท้าถังทำอะไรของท่านน่ะ ท่านคารวะขนาดนี้ ข้าจะกล้ารับได้อย่างไร”
“ได้สิ ๆ พระชายามีสถานะสูงส่ง เป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์ ใช่คนธรรมดาเสียที่ไหนกัน อย่าว่าแต่คุกเข่าให้ท่านเลย แม้แต่หมวกแพรดำที่อยู่บนศีรษะของกระหม่อมจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่ก็ยังขึ้นอยู่กับพระชายา” ใต้เท้าถังกล่าวอย่างใจดีสู้เสือ
“หรือว่าใต้เท้าถังลืมไปแล้ว? ตอนที่เข้ามาใหม่ ๆ ท่านมิได้กล่าวเช่นนี้ อีกอย่าง ข้าเป็นเพียงสตรีที่สามีทิ้ง ท่านเรียกข้าว่าพระชายาเช่นนี้ คงไม่เหมาะกระมัง ถ้าหากให้ฝ่าบาทและท่านอ๋องเจ็ดทรงรู้เข้า ท่านคงต้องถูกสงสัยว่าสร้างความสับสนให้กับราชวงศ์เป็นแน่”
ใต้เท้าถังได้ยินเช่นนั้น เหงื่อก็ไหลเต็มใบหน้า ได้แต่ฝืนยิ้มกล่าว: “พระชายาช่างอารมณ์ขันเสียจริง อารมณ์ขันยิ่งนัก ฮ่า ๆ ท่านมีฝ่าบาทเป็นผู้พระราชทานสมรส และยิ่งเป็นคนสำคัญของท่านอ๋อง จะเป็นสตรีที่สามีทิ้งได้อย่างไร ที่กระหม่อมมาที่นี่ก็เพื่อรับพระชายาออกไป”
“ดูท่าแล้ว ข่าวที่ข้ายังไม่ถูกหย่าได้ถูกใต้เท้าถังรู้เข้าแล้วสินะ?”
“ทราบแล้วขอรับ ไม่รู้ว่าผู้ใดพูดจาเหลวไหล ถึงได้กล้าให้ร้ายเช่นนี้ รอกระหม่อมจับตัวได้แล้วจักต้องลงโทษให้หนักแน่”
ภายในใจของเฟิ่งชิงหัวในตอนนี้ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ในเมื่อกรมคลังสามารถได้รับพระราชโองการจับคนจวนเฉิงเซี่ยง เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่องที่ฮ่องเต้ได้มีพระราชโองการให้จ้านเป่ยเซียวหย่ากับนาง ในนี้ หรือว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง?
เฟิ่งชงหัวยิ้มกล่าว: “ไม่ต้องรับข้าออกไปหรอก ข้าคิดว่าที่นี่ก็ไม่เลว ในเมื่อได้มาแล้ว จะต้องอยู่ที่นี่สักคืนถึงจะได้”
ใต้เท้าถังได้ยินเช่นนั้น ร่างกายที่เดิมทีลุกขึ้นมาแล้วก็ได้คุกเข่าลงไปอีกครั้ง: “พระชายา กระหม่อมผิดไปแล้วจริง ๆ ต่อให้พระองค์มีสิ่งใดไม่พอใจกระหม่อม ก็จะล้อเล่นกับร่างกายของพระองค์เองมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ อากาศในคุกทั้งมีน้อยทั้งอับชื้น แถมยังไม่เป็นระเบียบ ไม่ใช่ที่ที่พระองค์ควรจะอยู่”
เฟิ่งชิงหัวโบกมือ: “ไม่ต้องหรอก ข้าคิดดีแล้ว วันนี้ข้าจะอยู่ที่นี่ไปก่อน มีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
ใต้เท้าถังยังอยากจะโน้มน้าว ทว่า เมื่อเห็นสีหน้าของเฟิ่งชิงหัว ใต้เท้าถังก็ได้แต่ถอยออกไป
รอจนทุกคนออกไปกันจนหมด สายตาของผู้คนที่พากันหลบมุมอยู่ด้านในต่างจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงหัว ซับซ้อนเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะตอนที่เห็นท่าทางของใต้เท้าถังที่ยโสโอหังคุกเข่าลงตรงหน้าเฟิ่งชิงหัวพลางประจบสอพลอ กับตอนที่เผชิญหน้ากับพวกเขา เป็นท่าทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก: “เจ้ามิได้ถูกทิ้งจริง ๆ หรือ?”
เฟิ่งชิงหัวได้ปิดกั้นข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับฮูหยินเฉิงเซี่ยงไปนานแล้ว
หนานกงเยว่หลีหวนนึกถึงท่าทางของเฟิ่งชิงหัวที่ปฏิเสธใต้เท้าถังไม่ไปจากที่นี่ไป พลางตอบมารดาของตนเองไป: “ท่านแม่ เมื่อครู่ข้าได้บอกกับท่านไปแล้ว นางมิได้ถูกหย่า”
“เช่นนั้นข่าวลือนั่นมาจากไหน?” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงขมวดคิ้วกล่าว
หนานกงเยว่หลีครุ่นคิดแล้วกล่าว: “ข้าได้ยินมาว่า ฝ่าบาทได้ทรงมีราชโองการ ให้ท่าอ๋องเจ็ดหย่าภรรยา คิด ๆ แล้ว เป็นไปได้ว่าท่านอ๋องมิได้หย่ากับน้องรอง”
เมื่อฮูหยินเฉิงเซี่ยงเข้าใจขึ้นมา จากตกตะลึงกลายเป็นเหยียดหยาม: “เช่นนี้นี่เอง”
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงมองเฟิ่งชิงหัวด้วยแววตาเย้ยหยัน: “มิน่านางถึงได้มีท่าทีไม่เกรงกลัวใด ๆ เลย ที่จริงก็เพราะยังไม่ได้รับหนังสือหย่านี่เอง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา คนของกรมคลังจะต้องรู้แน่ว่าหนานกงเยว่ลั่วยังไม่ถูกหย่า กังวลว่าจะมีเรื่องกับท่านอ๋องเจ็ดเพราะนางถึงได้หวาดกลัวเช่นนี้ ในเมื่อฝ่าบาททรงมีราชโองการ เช่นนั้นช้าเร็วก็ต้องกลายเป็นสตรีที่โดนทิ้ง ไม่รู้จริง ๆ ว่านางภูมิอะไร”
หนานกงเยว่หลีรีบกล่าวขึ้นมาโดยเร็ว: “ท่านแม่ ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้ เดิมที่น้องรองสามารถออกไปได้ แต่เพื่อพวกเรานางถึงเลือกที่จะไม่ออกไป พวกเราควรที่จะขอบคุณนาง”
“เพื่อพวกเรา? สมองของเจ้ามีปัญหาหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่านางถอยเพื่อตั้งรับ คิดใช้แผนทรมานร่างกาย ให้อ๋องเจ็ดสงสารนางและเป็นปรปักษ์กับฮ่องเต้” กล่าวเย้ยหยัน: “เล่ห์กลของนางจิ้งจอกพวกนี้ เพื่อเรียกร้องความสงสารจากบุรุษ สามารถใช้ได้ทุกวิธีเลย”
“แต่ว่านะ นางเองก็ไม่ลองคิดดู ตัวเองมีค่าแค่ไหนกัน ถึงทำให้ท่านอ๋องเจ็ดทะเลาะกันกับเสด็จพ่อเพื่อนาง? ถ้าข้าเป็นนาง ข้าต้องถือโอกาสออกไปแน่ จากนั้นก็เก็บพวกของมีค่าแล้วหนีไปในขณะที่ยังไม่โดนจับ” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงกล่าวอย่างภาคภูมิใจในตนเอง
หนานกงเยว่หลียังคงไม่เห็นด้วยกับที่มารดาของตนกล่าว ทว่าการกระทำของนานกงเยว่หลั่วนั้นผิดปกติจริง ๆ ทำให้คาดเดาจุดประสงค์ของนางไม่ออกเลยจริง ๆ
เกรงว่าช่วยนางคงเป็นเพียงผลพลอยได้ ในความเป็นจริงแล้ว คงเพื่อตัวเองมากกว่า
หรือว่าจะเป็นอย่างที่ท่านแม่กล่าว นี่คือวิธีรั้งใจบุรุษของนางวิธีหนึ่ง?