พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 313 ท่านกล้าเขียนตัวอักษรบนราชโองการ
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 313 ท่านกล้าเขียนตัวอักษรบนราชโองการ
เฟิ่งชิงหัวพยุงตัวเองลุกขึ้นจากเตียง ขาข้างหนึ่งงอเล็กน้อย ส่วนขาอีกข้างนั้นหัวเข่านาบลงไปบนเตียง ท่าทางดุดันยิ่งนัก: “ไม่ต้องวุ่นวายเช่นนั้น แค่สถานที่หลับนอนเท่านั้นเอง”
กล่าวไป ศีรษะก็วางลงไปบนศีรษะ แขนทั้งสองข้างกอดขาเอาไว้ กล่าวถามด้วยท่าทางสบาย ๆ : “ใช่สิ ข้าอยากจะถามท่านพอดีเลย เสด็จพ่อของท่านอย่างไรกันแน่? ยังไม่ทันจะจับตัวหนานกงจี๋ได้กลับควบคุมตัวคนอื่น ๆ เข้าคุมขังที่กรมคลังเสียแล้ว?”
จ้านเป่ยเซียวเหลือบตามองบนให้กับนาง: “เจ้าไม่รู้กฎหมายหรืออย่างไร? ไม่ว่าจะจับตัวเขาได้หรือไม่ ครอบครัวของเขาควรถูกจับเข้ามา ก่อนหน้านี้แค่ยังไม่รู้ว่าจะตั้งโทษฐานอะไรเท่านั้นเอง”
“เช่นนั้นตอนนี้จะตั้งโทษกบฏก็คงไม่ถูกกระมัง เพราะไม่ว่าจะท่านหรือข้าต่างก็ไม่รู้ว่าเขาได้กบฏจริง ๆ หรือไม่ เรื่องทางเผ่าเซียนเปย์ยังไม่ทันจะชัดเจนเลยก็ตั้งโทษเสียแล้ว?”
“ทุกครั้งที่เข้าเฝ้าในท้องพระโรง ตำแหน่งของเฉิงเซี่ยงก็ยังคงว่างเปล่า หากเจ้านั่งอยู่บนตำแหน่งสูง เมื่อมองเห็นตำแหน่งนั้นใจเจ้าไม่รู้สึกโมโหหรือ?” จ้านเป่ยเซียวเอียงศีรษะมองนาง
เฟิ่งชิงหัวเข้าใจขึ้นมาทันที มิน่าเล่าจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงได้ใช้วิธีการดุเดือดรุนแรงเช่นนี้ ทั้งจับเข้าคุกหลวง ทั้งให้พระโอรสหย่าร้าง ที่แท้ก็เพราะความโมโหที่อยู่ในใจ?
“เสด็จพ่อของท่านโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนั้น ท่านไม่โน้มน้าวจูงใจเขาหน่อยหรือ เช่นนี้มันบุ่มบ่ามไปหน่อยไหม?” เฟิ่งชิงหัวเตือนปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี
“ทุกวันที่เข้าเฝ้าในท้องพระโรง ขุนนางใหญ่พวกนั้นก็เริ่มเอาแต่กล่าวโทษหนานกงจี๋ แทบรอไม่ไหวที่จะกล่าวหาเขาล่วงประเวณี ปล้นสะดมทรัพย์สิน รับสินบาทคาดสินบน ทำผิดกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวทำแทบทุกอย่าง แทบอยากจะจับเขามาห้าอาชาแยกร่างในทันที ตอนนี้ตาเฒ่ากำลังโมโหอยู่ ถ้าเห็นข้า จะไม่ปวดศีรษะยิ่งกว่าเดิมอีกหรือ?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า คิดว่ามีเหตุผลยิ่งนัก เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียจ้านเป่ยเซียวก็ได้ขัดราชโองการ
“เช่นนั้นท่านขัดราชโองการอย่างไรหรือ? เหตุใดคนอื่น ๆ ต่างก็คิดว่าท่านได้รับราชโองการไปแล้ว?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยความแปลกใจ
ต่างก็บอกว่าไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น ถ้าหากแค่ขัดราชโองการ ก็คงไม่มีข่าวลือว่านางถูกสามีทอดทิ้งออกมาเร็วเช่นนั้น ข่าวการขัดราชโองการจะต้องกลบทุกอย่างเป็นแน่
จ้านเป่ยเซียวเงยหน้าขึ้น: “อยากรู้หรือ?”
“พูดเหลวไหลอะไร หากไม่อยากรู้ข้าจะถามท่านหรือ?”
จ้านเป่ยเซียวยิ้ม: “อยากรู้ ได้สิ แลกเปลี่ยนกัน”
เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นผลักไหล่ของจ้านเป่ยเซียว: “จ้านเป่ยเซียว ท่านแลกเปลี่ยนจนติดใจแล้วหรืออย่างไร แลกเปลี่ยนแทบทุกเรื่อง ระหว่างคนเราไม่มีพื้นฐานความเชื่อใจกันอยู่เลยหรืออย่างไร? ยังจะเป็นเพื่อนกันอย่างมีความสุขได้หรือไม่?”
“ผู้ใดเป็นเพื่อนกับเจ้ากัน?” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว: “อีกอย่าง ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกันแต่เรื่องเงินทองต้องชัดเจน เมื่อคืนเจ้ายังพนันกับเขาอยู่เลย ยังมีหน้ามาบอกว่าข้าไม่ให้ความเชื่อใจกับเขาอีกหรือ?”
เก้าอี้รถเข็นของจ้านเป่ยเซียวขยับใกล้เข้ามาอีก อยู่ติดกับเตียง ตบลงที่ขาของนาง: “เป็นสตรีนั่งเช่นนี้ได้อย่างไร ปกติการเคลื่อนไหวในแต่ละวันก็ไม่เป็นกุลสตรีอยู่แล้ว ตอนนี้กลับได้เรียบแบบพวกอันธพาลเสียอย่างนั้น?”
ร่างของเฟิ่งชิงหัวโอนเอนเล็กน้อย ยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงไปบนหัวเข่าของจ้านเป่ยเซียวหนึ่งครั้ง ทำหน้าตาทะเล้นให้กับเขา
จ้านเป่ยเซียวยื่นมือออกไปปัดรอยย่นบนหัวเข่า สีหน้าเรียบสงบ
เฟิ่งชิงหัวจงใจเหยียบย่ำลงไปบนขาของเขาอีกครั้งอย่างก่อความวุ่นวาย ทำให้เสื้อผ้าที่เรียบของเขาเกิดเป็นรอยย่นขึ้นมา เตรียมที่จะจากไป มือของบุรุษกลับได้คว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าของเขา นางลองขัดขืนอยู่หลายครั้งกับไม่สามารถหลุดพ้นได้
“ไม่มีผู้ใดบอกเจ้าหรือว่า ขาของบุรุษ จะจับตามอำเภอใจไม่ได้?” จ้านเป่ยเซียวจ้องมองเฟิ่งชิงหัว แววตาลึกซึ้ง สีหน้ามิอาจคาดเดา
เฟิ่งชิงหัวเหลือบตามองบน: “ข้าแค่อยากจะทำให้เสื้อผ้าของท่านยับ ไม่ได้อยากจะจับท่านเสียหน่อย ท่านหลงตัวเองเกินไปแล้ว อีกอย่าง ขาของท่านเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แข็งขนาดนั้น มีอะไรน่าจับกัน”
แต่ที่เฟิ่งชิงหัวมิได้พูดก็คือ ตอนที่นิ้วเท้าของนางถูไถในเมื่อสักครู่ ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่นั้นคุณภาพดีจนเกินไป หรือว่าขาของเขาผิวสัมผัสดี ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้เสียดสีไปสองสามครั้ง
จ้านเป่ยเซียวมีน้ำเสียงเย็นชา: “ทำให้เสื้อผ้าของข้ามีรอยย่น? เจ้าเป็นคนยอมรับเองนะ เจ้าซักให้ข้าให้สะอาดเป็นการลงโทษ”
“ท่าน! จ้านเป่ยเซียว ข้าพบว่าท่านชักจะเหยียบจมูกขึ้นหน้าแล้วนะ ก่อนหน้านั้นให้เย็บเสื้อผ้า ตอนนี้ให้ซักเสื้อผ้า ก้าวต่อไปข้าต้องถอดเสื้อผ้าให้ท่านแล้วหรือไม่?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห
“หากจ้าต้องการ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
“ไม่ ข้าไม่ต้องการ”
“ดูท่าจ้าคงจะไม่อยากรู้แล้ว” จ้านเป่ยเซียวกล่าว
เฟิ่งชิงหัวทำเสียงฮึดฮัด: “ทานไม่เคยที่จะสวมเสื้อผ้าชุดเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สอง ข้าซักแล้วท่านก็ยังคงไม่สวม แล้วค่าจะเสียแรงเปล่าทำไม ท่านเลือกวิธีที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหน่อยมิได้หรือ?”
“หือ? ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม? หมายความเช่นไร?” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว เขาได้เคยชินกับการที่เฟิ่งชิงหัวได้กล่าวอะไรที่ไม่สามารถเข้าใจได้ออกมาบ่อย ๆ แล้ว และยังไม่ค่อยจะอธิบายความหมายของมันอีก
เฟิ่งชิงหัวยิ้มกล่าว: “ความหมายก็คือ ประหยัดเวลาประหยัดแรง ไม่สิ้นเปลือง ท่านให้ข้าซักให้ท่าน ก็คือทำให้เสียเวลามิใช่หรือ?”
จ้านเป่ยเซียวเอามือลูบคาง: “เช่นนั้นถ้าใช้การซักเสื้อผ้าเป็นการแลกเปลี่ยน ก็คงไม่นัยว่าเสียเวลาแล้วสินะ? หรือว่า เจ้าอยากจะใช้อย่างอื่นเป็นการแลกเปลี่ยน? เช่นนั้น”
จ้านเป่ยเซียวยังไม่ทันจะกล่าวจบ เฟิ่งชิงหัวก็พูดตัดขึ้นมาทันที
“ไม่ต้อง ๆ ๆ เลือกอันนี้แหละ ข้าคิดว่า ปลูกฝังคุณธรรมแห่งความมัธยัสถ์ให้กับท่านก็จำเป็นเหมือนกัน เสื้อผ้าไม่สกปรกไม่ขาด จะทิ้งก็น่าเสียดาย ถ้าสามารถสวมได้อีกหลายครั้ง ก็นับเป็นการช่วยประเทศชาติประหยัดผ้ามิใช่หรือ” เฟิ่งชิงหัวรีบพูดรับคำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เกรงว่าจ้านเป่ยเซียวจะให้ภารกิจที่นางไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยง่ายให้กับนาง
“อืม ดีมาก รู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร”
เฟิ่งชิงหัวขยับเท้าเล็กน้อย: “ดังนั้น ท่านควรที่จะปล่อยเท้าของข้าได้แล้วหรือไม่?”
เอาเท้าวางไว้บนขาของเขาแล้วคุยกันเช่นนี้ ทำให้รู้สึกมีอะไรบางอย่างแปลก ๆ พวกเขาอังไม่สนิทกันจนถึงขั้นนี้กระมัง
จ้านเป่ยเซียวปล่อยมือตามคำของนาง เฟิ่งชิงหัวรีบเอาผ้าห่มมาคลุมศีรษะ นั่งขัดสมาธิ หุ้มจนเหลือเพียงดวงตาสองข้าง กล่าวให้สัญญาณเขาอย่างไม่พอใจ: “ท่านพูดสิ”
จ้านเป่ยเซียวยกแขนเสื้อขึ้นมาเบา ๆ และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน: “ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่เขียนคำคำหนึ่งลงไปบนพระราชโองการ”
“เขียนคำคำหนึ่ง? คำว่าอะไร?” จิตใต้สำนึกสั่งให้เฟิ่งชิงหัวกล่าวขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกตัว เบิกตาโพลง: “ว่าอย่างไรนะ! เขียนคำคำหนึ่ง! ท่านกล้าเขียนลงไปบนพระราชโองการ จ้านเป่ยเซียว บนบ่าของท่านมีศีรษะอยู่เท่าไหร่กัน? มาว่าฮ่องเต้จะเป็นเสด็จพ่อของท่าน แต่นั่นคือพระราชโองการนะ!”
ทว่า เห็นจ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ตรงหน้าของนางอย่างไม่สึกหรอ สีหน้าปกติดี ผลลัพธ์ก็คือแล้วไปแล้ว
เฟิ่งชิงหัวยกนิ้วหัวแม่มือให้กับจ้านเป่ยเซียว: “ท่านนี่ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เป็นท่านอ๋อง ช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ”
มิน่าถึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาขัดราชโองการ เรื่องนี้ใครจะกล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้ากันเล่า
เป็นที่ประจักษ์ว่าฮ่องเต้ต้องการปกป้องพระโอรสของตนเอง ใครกล้าเสี่ยงล่วงเกินสองพ่อลูกและกระจายข่าวออกไป ดังนั้นคนอื่น ๆ จึงรู้แต่เพียงว่าจ้านเป่ยเซียวรับราชโองการ ไม่รู้ว่าเขาได้ขัดราชโองการ
“ดังนั้นท่านเขียนคำว่าอะไรลงไปกันแน่?” เฟิ่งชิงหัวอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าลองเดาดู”
เฟิ่งชิงหัวเอามือลูบคาง นางครุ่นคิด: หากเป็นหนึ่งประโยค นางยังพอจะเดาได้ แต่หนึ่งคำ ขอบเขตุจะกว้างก็ได้จะแคบก็ได้ นางจะเดาได้อย่างไรเล่า
เฟิ่งชิงหัวกล่าวหยั่งเชิง: “ไม่?”
จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองนาง และกล่าวเยาะเย้ย: “ไร้อารยธรรม”
เฟิ่งชิงหัวทบทวนตัวเอง นึกถึงความปากร้ายของจ้านเป่ยเซียว หนึ่งคำของเขาคงไม่ธรรมดา จะต้องรุนแรงมากแน่