พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 33 นี่กำลังพูดถ้อยคำรักหวานแหววกับข้าหรือ
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 33 นี่กำลังพูดถ้อยคำรักหวานแหววกับข้าหรือ?
จ้านเป่ยเซียวได้ยินคำพูดก็หายใจถี่เร็ว ปลายนิ้วที่ประคองหน้าหนังสือหยุดชะงัก หันกลับมามองนาง
“นี่เจ้ากำลังพูดคำรักหวานแหววกับข้าอยู่หรือ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เฟิ่งชิงหัวกลอกตามองบน: “นี่ถือเป็นคำรักอะไรกัน ท่านรอให้วันไหนข้ามีเวลาจะรวบรวมคำรักหวานทั้งหมดให้ท่านโดยเฉพาะ รับประกันว่าจะจีบจนท่านหัวใจเต้นโครมครามแน่”
ได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงหัว จ้านเป่ยเซียวอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เสียงที่ทุ้มต่ำเย้ายวนราวกับไผ่เขียวในภูเขา และเหมือนกับน้ำพุพุ่งไปรอบๆ สบายหูอย่างมาก
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “เสียงหัวเราะของท่านก็ไพเราะดีนี่นา ทำไมต้องพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกตลอดด้วย”
เสียงหัวเราะของจ้านเป่ยเซียวหยุดชะงัก ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า: “บังอาจ”
แต่เฟิ่งชิงหัวกลับไม่ได้กลัวเขา นั่งยองๆอยู่ด้านข้างเช่นนี้รู้สึกชาเล็กน้อยแล้ว ไขว้แขนทั้งสองข้างหนุนอยู่บนตักของชายหนุ่มเสียเลยแล้วก็เงยหน้ามองเขาผ่านหน้ากากอยู่อย่างนี้
“ข้าบังอาจอะไรหรือ ข้าไม่ได้ทำอะไรท่านเสียหน่อย ก็แค่บอกว่าเสียงของท่านไพเราะ หรือว่าการชมท่าน ท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี?”
จ้านเป่ยเซียวคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะใจกล้ามากขนาดนี้ นอนหมอบอยู่บนตักของเขาโดยตรง ความรู้สึกที่แปลกประหลาดเล็กน้อยแบบนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ข้าไม่ต้องการคำชม” จ้านเป่ยเซียวกล่าว
“เพราะอะไร?” เฟิ่งชิงหัวไม่หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่จ้องมองดูดวงตาของจ้านเป่ยเซียวอย่างไม่ละสายตา
ราวกับเพิ่งค้นพบว่า ในตอนที่ดวงตาคู่นี้ไม่มีความเย็นยะเยือกจะทำให้คนหลงใหลเช่นนี้ได้
จ้านเป่ยเซียวเห็นเฟิ่งชิงหัวมองดูตัวเองอย่างตะลึงงันเช่นนี้ กลับรู้สึกว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาเล็กน้อย เก็บสายตาลงเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก: “ลงมา เจ้าหนักเกินไปแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าขาทั้งสองข้างของเขาได้รับบาดเจ็บ ตัวเองทับขึ้นไปเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำให้เขาเจ็บหรือเปล่า
“ข้าทำท่านเจ็บหรือ?” เฟิ่งชิงหัวโพล่งออกมา ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความห่วงใย
แต่เมื่อคำพูดนี้มาถึงหูชายหนุ่มความหมายกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวเย็นยะเยือกกว่าเดิม: “เข็นข้ากลับไป ควรทานอาหารแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว: “ท่านยังไม่ได้ทานอาหารหรือ?”
สีหน้าจ้านเป่ยเซียวเคร่งขรึมลง: “เจ้ากินแล้วหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า นิ้วมือก็เริ่มนับขึ้นมา: “ถนนตงต้ามีของกินมากมาย ข้ากินซาลาเปาเนื้อไปสองลูก ปิงถังหูหลูหนึ่งไม้ ขนมพุทราเชื่อมหนึ่งชิ้น ซื่อสี่หวานจึ บะหมี่เนื้อแกะอันนั้นก็ไม่เลว”
จ้านเป่ยเซียวเข็นเก้าอี้เข็นออกไปข้างนอกอย่างเย็นชา โดยไม่พูดอะไรสักคำ
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกได้ว่าบรรยากาศบริเวณรอบตัวของชายหนุ่มเย็นยะเยือกลงอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกแปลกประหลาดยากแก่การเข้าใจเล็กน้อย คนคนนี้ จู่ๆทำไมถึงโกรธขึ้นมาได้
เวลานี้แล้วคนที่ยังไม่ได้ทานอาหารสิถึงจะแปลกมากกว่า นางก็คิดว่าเวลาก็สายมากแล้วจวนอ๋องก็อาจจะไม่ได้เก็บอาหารเอาไว้ให้นางถึงได้กินมาจากข้างนอก
คิดเอาไว้เช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็ไล่ตามเก้าอี้เข็นของชายหนุ่มขณะที่วิ่งก็กล่าวไปด้วยว่า: “ท่านอ๋อง ถึงแม้ข้าจะกินไปมากมายขนาดนั้นแล้ว แต่ว่าขี่ม้ากลับมาใช้กำลังไปมากเลยรู้สึกหิวเล็กน้อยอีกแล้ว ขอกินอีกหน่อยได้ไหม ทานอาหารร่วมกันเถอะ”
เพียงแต่ว่าไม่ว่านางจะเรียกอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่หยุดรอนางเลย ตามด้วยการหมุนของล้อเก้าอี้เข็น กระดิ่งที่เหน็บไว้บนหน้าหนังสือและกระดิ่งที่อยู่บนตัวหญิงสาวผสานกันเป็นโน๊ตเพลงที่คมชัด
จวนอ๋องที่มีบรรยากาศเย็นยะเยือกในอดีตวันนี้ครึกครื้นไปอีกแบบ
ท้ายที่สุดเฟิ่งชิงหัวก็ถือโอกาสทานอาหารกับจ้านเป่ยเซียวไปมื้อหนึ่ง หลังจากมื้ออาหารเห็นชายหนุ่มแสดงสีหน้าไม่อยากสนใจนางอย่างชัดเจน จึงยิ้มอย่างเอาใจ: “ท่านอ๋องอย่าถือสาข้าที่กินเยอะเลย ประเด็นหลักคือตอนนี้ข้ายังอยู่ในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโต”
จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองนางครู่หนึ่ง กล่าวออกมาอย่างเย็นชา: “มันควรต้องโตขึ้นมาจริงๆ”
เฟิ่งชิงหัวปิดหน้าอกเอาไว้ทันที กล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อย: “กำลังเติบโตที่ข้าพูดถึงคือความสูง ท่านกำลังพูดถึงอะไรน่ะ คนลามก!”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวขึ้นมาช้าๆ: “ข้าก็พูดถึงความสูงเหมือนกัน เจ้านึกว่าเป็นอะไร”
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก ผู้ชายคนนี้ก็ยังปากร้ายจะตายจริงๆ เสียแรงที่นางยังรู้สึกว่าหลังจากผ่านมื้ออาหารเมื่อวานนี้แล้วท่าทีของผู้ชายคนนี้ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว
จ้านเป่ยเซียวเห็นเฟิ่งชิงหัวยังนั่งอยู่ที่นี่ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปเลยแม้แต่น้อย ท้ายที่สุดอดไม่ไหวกล่าวถามขึ้นมาว่า: “เจ้าไม่ต้องไปสอบสวนคดีที่กรมคลังหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวเบ้ปาก: “ข้าสอบสวนจบตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว ช่วงบ่ายยังจะไปอีกทำไม?”
จ้านเป่ยเซียวกำลังจะโพล่งถาม ก็ได้ยินเฟิ่งชิงหัวกล่าวขึ้นมาว่า: “อ้อ ใช่แล้ว อีกสักครู่ท่านส่งคนไปแจ้งกรมคลังหน่อย บอกว่าข้าไม่ค่อยสบาย วันนี้ไม่ไปสอบสวนคดีแล้ว ให้องค์ราชทายาทกลับไปเถอะ”
“เจ้าหลอกเขาหรือ?” ตกลงกันว่าจะสอบสวนคดีตอนบ่าย แต่แล้วก็ทิ้งเขาไว้อย่างนั้น?
“ทำไม ท่านเอ็นดูสงสารหรือ?”
เอ็นดูสงสาร?
จ้านเป่ยเซียวเกี่ยวริมฝีปากอย่างเย็นชา
ในอดีตเสด็จพี่ที่แสนดีท่านนั้นเคยลอบกัดเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่เขามองว่าเป็นมันเพียงเรื่องเล็กน้อยไม่อยากถือสาหาความกับเขา และไม่อยากกระทำการลับหลังเพื่อก่อกวนเช่นกัน
แต่ว่าในเมื่อตอนนี้พระชายาอยากจะหยอกเขา เช่นนั้นหยอกเล่นดูก็ไม่เป็นไร มาคิดดูดีๆแล้ว ใช้ฆ่าเวลาที่มันน่าเบื่อ ก็ถือว่าไม่เลวเช่นกัน
จ้านเป่ยเซียวอารมณ์ดีแล้ว ความเย็นชาก็จางหายไป และเปลี่ยนความคิดอย่างหาได้ยาก: “กลับไปคารวะญาติผู้ใหญ่พรุ่งนี้ ข้าไปกับเจ้าด้วย”