พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 34 คำพูดของวิญญูชน แม้รถเทียมม้าแปดตัวก็ยากที่จะตามทัน
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 34 คำพูดของวิญญูชน แม้รถเทียมม้าแปดตัวก็ยากที่จะตามทัน
“กลับไปคารวะญาติผู้ใหญ่? กลับไปคารวะญาติผู้ใหญ่อะไรกัน?” นางแต่งงานออกมาแล้ว ยังจำเป็นต้องกลับไปอีกหรือ? กลับไปนานเท่าไหร่? นี่คงไม่ได้เป็นแผนการของผู้ชายคนนี้ใช่ไหม ถือโอกาสเตะนางออกไป?
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วมองนาง: “นี่ก็คือลูกสาวที่แต่งงานแล้วอยู่ข้างสามีในตำนานหรือ? แม้แต่สามวันกลับไปคารวะญาติผู้ใหญ่ก็ไม่อยากจะกลับแล้ว?”
บนใบหน้าของชายหนุ่มเผยสีหน้าท่าทางที่หยอกล้ออย่างหาได้ยาก เฟิ่งชิงหัวเห็นก็ยิ่งมึนงงมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้นางไม่เคยรู้มาก่อน แม้แต่ตระกูลหนานกงก็ไม่เคยบอกนางมาก่อน ดังนั้นนางจึงคิดว่าขอเพียงตัวเองแต่งงานออกมาแล้วก็ถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว
เฟิ่งชิงหัวเม้มริมฝีปาก แสร้งทำเป็นไม่ชอบใจ: “กลับไปคารวะญาติผู้ใหญ่ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว แต่ข้าเกรงว่าท่านอ๋องวางแผนจะส่งข้ากลับไปแล้วก็ไม่สนใจอีก หากเป็นเช่นนี้ สู้ไม่กลับยังจะดีกว่า”
จ้านเป่ยเซียวมองดูสีหน้าท่าทางบนใบหน้าของนาง ดวงตากลมโตคู่นั้นเวลานี้แฝงไปด้วยความขุ่นมัว รู้ว่านางกำลังแสดงละครอยู่แท้ๆ แต่เขาก็ยังทนดูไม่ได้ ยื่นมือตบไปที่มือของหญิงสาวที่วางอยู่บนโต๊ะ ปลอบประโลมว่า: “ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้ที่นั่นคนเดียวหรอก”
เฟิ่งชิงหัวทำท่าทางตื้นตันใจอย่างมาก สองมือประคองหน้าเอาไว้แล้วมองดูชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ความจริงกำลังฮึเย็นชาในใจ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อว่าจู่ๆเขาจะสามารถเปลี่ยนนิสัยได้
เฟิ่งชิงหัวกล่าวเยินยอด้วยรอยยิ้มว่า: “ท่านอ๋องหน้าตาดีเช่นนี้ คนหน้าตาดีส่วนใหญ่ล้วนจิตใจดี รักษาคำพูดกันทั้งนั้น คำพูดของวิญญูชนแม้รถเทียมม้าสี่ตัวก็ยากที่จะตามทันท่านอ๋องต้องพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้วเนาะ?”
“เจ้าเคยพบผู้ชายมากี่คนถึงได้กล้าทำการประเมินโดยพลการเช่นนี้?” จ้านเป่ยเซียวเต็มไปด้วยการดูหมิ่น คิดว่าเฟิ่งชิงหัวขาดการมองการณ์ไกล
คนบางคน ใบหน้ายิ้มแย้ม ปากพูดพร่ำอยู่ตลอดว่าเคารพและยำเกรงในพระโพธิสัตว์ ในความเป็นจริงสิ่งที่ทำแม้แต่ผีร้ายก็ยังทนดูไม่ได้
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยแววตาไร้เดียงสา: “คนที่ข้าเคยพบพูดแล้วก็ค่อนข้างจะรักษาคำพูดอยู่ ในบรรดาคนที่ข้าเคยพบท่านอ๋องคือคนที่หน้าตาดีที่สุด คนอื่นรถเทียมม้าสี่ตัวก็ยากที่จะตามทัน แต่ท่านอย่างน้อยก็ต้องรถเทียมม้าแปดตัวก็ยากที่จะตามทัน”
ถึงแม้จะเป็นจ้านเป่ยเซียวที่มีนิสัยเย็นชาไม่ยินดีที่จะพูดคุยกับคนอื่นหลังจากที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเฟิ่งชิงหัวก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทันทีหลังจากที่ตอบสนองกลับมาก็งอนิ้วชี้ไว้บนริมฝีปากบนโดยสัญชาตญาณ ดวงตาเย็นชาคู่นั้นกวาดมองเฟิ่งชิงหัวครู่หนึ่ง: “ตระกูลหนานกงดีร้ายก็เป็นครอบครัวตระกูลขุนนาง ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีคุณธรรมและความสามารถไม่เท่าพี่สาวเจ้า อย่างน้อยก็น่าจะพอรู้ผิวเผินใช่ไหม ทำไมถึงแสดงความเปิ่นออกให้คนหัวเราะเยาะเช่นนี้ได้”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูดก็ยื่นมือไปเช็ดดวงตาทำท่าทางร้องไห้น้ำตาไหล
“ท่านอ๋องท่านไม่เข้าใจ ข้าอยู่ในจวนหนานกงถึงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวภรรยาเอก กลับใช้ชีวิตอย่างอนาถยิ่งกว่าลูกสาวอนุภรรยาเสียอีก กินไม่อิ่มเสื้อผ้าก็ไม่อบอุ่น ยังต้องถูกพี่สาวลูกภรรยาเอกกับน้องสาวลูกอนุภรรยารังแกตลอดเวลา ท่านอ๋องท่านดีต่อข้าขนาดนี้ ข้าไม่อยากจากท่านไปเลย ถ้าอย่างไรเรื่องกลับไปคารวะญาติผู้ใหญ่ก็ช่างมันไปเถอะนะ”
พูดมาตั้งนาน จุดประสงค์ของเฟิ่งชิงหัวก็อยู่ตรงนี้นี่เอง
ที่นั่นไม่ใช่บ้านจริงๆสักหน่อย นางไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้น
แต่ทว่าจ้านเป่ยเซียวผู้ซึ่งไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาตลอดกลับไม่ยอมรับความคิดเห็นของเฟิ่งชิงหัว ทำเหมือนนางแค่กำลังโกรธเคืองเท่านั้น
ท้ายที่สุดเฟิ่งชิงหัวก็ไม่สามารถโน้มน้าวจ้านเป่ยเซียวได้ คนคนนั้นดูเหมือนกับได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ราวกับว่าจวนเฉิงเซี่ยงมีสมบัติล้ำค่าอะไรรอให้เขาไปชื่นชมอย่างนั้นแหละ
กลางคืนตอนที่นอนอยู่บนเตียงเฟิ่งชิงหัวยังรู้สึกงุ่นง่านใจเล็กน้อย เดิมทีนึกว่าจะนอนหลับได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่นึกไม่ถึงว่ากลับนอนเลยเวลาไปโดยตรง ถึงขนาดที่ว่าในตอนที่จ้านเป่ยเซียวเข้ามาในห้องของนาง เฟิ่งชิงหัวยังอยู่ในความฝันอันแสนหวานอยู่เลย
ด้านหลังของจ้านเป่ยเซียวมีสาวใช้ที่ยืนอยู่สองแถว บรรดาสาวใช้เดินตามกันเข้ามา หนึ่งในนั้นหยิบกระดิ่งออกมาหนึ่งอันแล้วเขย่าตรงข้างหูของเฟิ่งชิงหัว
เสียงกระดิ่งดังอยู่ข้างหูราวกับยันต์เร่งชีพ เฟิ่งชิงหัวที่เดิมทีกำลังฝันหวานอยู่ลุกพรวดขึ้นมานั่งทันที สายตามองดูชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลออกไปจากหน้าเตียงอย่างมึนงง
“มีเรื่องอะไร?”
สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก เบือนหน้าออกไปไม่อยากจะสนใจ
กลับเป็นสาวใช้คนหนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า: “พระชายา ได้เวลาลุกจากที่นอนแล้ว”
หลังจากนั้นเฟิ่งชิงหัวก็ถูกสาวใช้แปดคนประคองขึ้นมาแล้วก็เริ่มการจัดการบนร่างกายอย่างละเอียด ในตอนที่หยุดลง นางก็สวมชุดกระโปรงยาวแขนแคบสีม่วงเข้มทั้งชุดแล้ว ตรงบริเวณเอวคือสายรัดเอวสีทอง ปิ่นปักผมที่ปักอยู่บนศีรษะถึงแม้จะไม่มาก แต่กลับไม่มีอันไหนที่ไม่มีมูลค่ามหาศาล
ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวขึ้นไปบนรถม้า จ้านเป่ยเซียวกำลังนั่งหลับตาพักผ่อนสมองอยู่บนที่นั่งหลัก ได้ยินนางขึ้นมาบนรถ ถึงได้ลืมตาขึ้นมามองนาง สายตาหยุดมองครู่หนึ่ง ก็รีบถอนสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว