พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 36 พี่เขยกับน้องเมีย
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 36 พี่เขยกับน้องเมีย
เฟิ่งชิงหัวเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ยื่นมือไปผลักชายหนุ่มออกไป จ้านเป่ยเซียวทำท่าทำทางจะนั่งกลับไปบนเก้าอี้เข็น
มองไปที่ใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวซึ่งมีรอยฟันเขียวช้ำเผยเล็กน้อยออกมา กล่าวขึ้นมาด้วยความพอใจ: “ในเมื่อเป็นการข่มเหง ย่อมต้องเป็นที่ที่คนอื่นสามารถเห็นได้อย่างง่ายดาย เจ้าลงมือเองไม่ลง ข้าช่วยเจ้าเอง”
เฟิ่งชิงหัวชี้ไปที่ชายหนุ่ม นิ้วมือสั่นเทา นานพักใหญ่ก็พูดไม่ออก ตรงที่ถูกกัดบนใบหน้าปวดแสบปวดร้อน ผู้ชายคนนี้ลงมือโหดชัดๆเลย
ผ่านไปนานพักใหญ่ เฟิ่งชิงหัวกัดฟันกล่าว: “ถือว่าท่านแน่ก็แล้วกัน!”
“เช่นกันๆ เมื่อเทียบกับวิธีทำลายคนอื่นแต่ตัวเองเสียหายไปด้วยของพระชายาแล้วยังถือว่าด้อยกว่าเล็กน้อย” จ้านเป่ยเซียวยันข้อศอกเอาไว้บนเก้าอี้ มองพิจารณารอยฟันบนใบหน้าของนางราวกับกำลังชื่นชมวัตถุโบราณหายากอะไรอยู่
“ท่านทำเช่นนี้ อีกเดี๋ยวข้าจะพบปะผู้คนอย่างไร?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยความโกรธ
“เจ้ายังจำเป็นต้องพบปะผู้คนหรือ? แต่งงานกับข้าที่ไม่สามารถแข็งตัวได้แล้วก็ยังชอบข่มเหงผู้หญิง เสียหน้าทั้งภายในภายนอกแล้วมั้ง? ข้าก็แค่ไม่ชอบได้ชื่อนี้มาเปล่าๆเท่านั้น”
เฟิ่งชิงหัวฮึเสียงเย็นชา หันหลังก็จะเดินจากไป
เสื้อคลุมสีดำทอด้วยสีทองตัวหนึ่งก็หล่นลงมาบนตัวของเฟิ่งชิงหัว: “ทำลายศีลธรรมอันดีงาม”
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก ตอนนี้กลัวเสียหน้าแล้ว?
เสื้อคลุมตัวยาวเสริมให้ร่างกายของหญิงสาวยิ่งตัวเล็กลงไปอีก ราวกับเด็กน้อยที่แอบใส่เสื้อผู้ใหญ่
ทั้งสองคนเพิ่งเดินออกมาจากภูเขาเทียมก็เห็นหนานกงลู่ซิ่วรวมไปถึงหนานกงจี๋ที่เดินมาตรงหน้า เห็นได้ชัดว่ามาตามหาพวกเขา
แวบแรกหนานกงลู่ซิ่วก็เห็นใบหน้าของเฟิ่งชิงหัว อดถามขึ้นมาไม่ได้: “หน้าของท่านไปโดนอะไรมา?”
เฟิ่งชิงหัวแตะไปอย่างสบายๆ: “ออ ข้ากัดเล่นเอง ไม่ได้หรือ?”
เดิมทีหนานกงลู่ซิ่วก็ไม่ชอบเฟิ่งชิงหัว ได้ยินคำพูดไร้สาระเช่นนี้ของนางจะเชื่อได้อย่างไร กล่าวออกมาโดยตรง: “หนานกงเยว่ลั่ว เจ้าหลอกใครกัน เจ้าจะสามารถกัดตัวเองได้อย่างไร!”
เฟิ่งชิงหัวกลับมองไปทางหนานกงจี๋: “ท่านพ่อ ท่านจะให้ท้ายลูกสาวอนุภรรยาของท่านมาล่วงเกินท่านอ๋องเจ็ดกับพระชายาเจ็ดเช่นนี้หรือ? จวนเฉิงเซี่ยงแห่งนี้ยังมีมารยาทอยู่หรือไม่?”
หนานกงจี๋ก็ไม่เชื่อคำพูดของเฟิ่งชิงหัว แต่ทำอย่างไรได้ตอนนี้คนเขามีฐานะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เขาก็ได้แต่ตำหนิลูกสาวคนเล็กของตัวเอง: “หุบปาก นั่นคือพี่สาวเจ้านะ!”
หนานกงจี๋ก็กล่าวต่อจ้านเป่ยเซียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้: “ท่านอ๋องโปรดระงับความโกรธ ลูกสาวกระหม่อมอายุน้อย สิ่งใดที่ทำให้ท่านอ๋องโกรธขอท่านอ๋องโปรดให้อภัยด้วย”
คนที่อยู่ที่นี่นอกจากหนานกงลู่ซิ่วที่โง่เขลาคนนี้แล้วล้วนเป็นคนฉลาดทั้งนั้น เฟิ่งชิงหัวอยู่กับจ้านเป่ยเซียว บาดแผลบนหน้าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะเป็นคนทำ ลูกสาวที่หนานกงจี๋พูดถึงย่อมหมายถึงเฟิ่งชิงหัวอยู่แล้ว
จ้านเป่ยเซียวละสายตาไปจากใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า มองไปทางเฉินเซี่ยงที่อยู่ตรงข้าม กล่าวด้วยเสียงเย็นชา: “ความหมายของเฉินเซี่ยงคือรังเกียจว่าข้าอายุมากเกินไปหรือ?”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา สีหน้าของหนานกงจี๋ซีดขาวทันที คุกเข่าลงไปบนพื้นเสียงดังพรึ่บ ไม่แม้แต่จะมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า: “กระหม่อมพูดจาไม่เป็น ขอท่านอ๋องโปรดระงับความโกรธด้วย”
หนานกงลู่ซิ่วยืนอยู่ข้างกายบิดา มองดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น แต่ว่ารัศมีของราชวงศ์ที่อยู่รอบตัวนั่นไม่ว่าอย่างไรก็ปกปิดเอาไว้ไม่อยู่ แม้แต่ท่านพ่อของนางในตอนที่เผชิญหน้ากับเขาก็ได้แต่เชื่อฟังอย่างนอบน้อม
ในใจของหนานกงลู่ซิ่วเกิดความคิดขึ้นมาทันที กล่าวขึ้นมาอย่างน่ารักไร้เดียงสา: “พี่เขย ท่านอย่าถือโทษท่านพ่อเลย ท่านพ่อรักและเอ็นดูพี่สาวรองมาตลอด ย่อมต้องพูดเข้าข้างนางเล็กน้อยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว พี่เขยอย่าโกรธไปเลยนะ”
เฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ด้านข้างมองดูท่าทางน่ารักไร้เดียงสาไม่มีพิษมีภัยของหนานกงลู่ซิ่วก็รู้สึกว่ามันน่าขบขัน ผู้หญิงคนนี้ แสดงได้ค่อนข้างสมจริงมากจริงๆ คนที่ไม่รู้ยังนึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องดีมากแค่ไหน
หนานกงลู่ซิ่วกล่าวต่อไปอีกว่า: “พี่เขย ในจวนมีหลายแห่งที่ทิวทัศน์ไม่เลว ถ้าอย่างไรลู่ซิ่วพาพี่เขยไปดูหน่อยเป็นไร?”
ได้ยินนางเรียกคำก็พี่เขยสองคำก็พี่เขย ในหัวของเฟิ่งชิงหัวอดที่จะนึกถึงนิทานเรื่องพี่เขยกับน้องเมียขึ้นมาไม่ได้ แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา
บรรยากาศรอบตัวของจ้านเป่ยเซียวเย็นยะเยือกลงมาทันที แม้แต่เฟิ่งชิงหัวก็สังเกตเห็น อดที่จะมองไปทางเขาไม่ได้
ทว่าสายตาของชายหนุ่มกลับมองผ่านนางไปทางหนานกงลู่ซิ่ว: “นำทางสิ”
หนานกงลู่ซิ่วได้ยินคำพูดก็ก้าวเข้ามาด้วยความประหลาดใจ ในตอนที่เดินผ่านเฟิ่งชิงหัวก็กระซิบที่ข้างหูนางอย่างอึมครึม: “ผู้ชายของเจ้า ข้าจะเอามาให้ได้!”
พูดไปก็เตรียมยื่นมือไปเข็นเก้าอี้เข็นนั่น เพียงแต่ว่ายังไม่ทันจะได้สัมผัส ชายหนุ่มก็หันกลับไปแล้ว กล่าวด้วยเสียงเย็นชา: “นำทาง”
ขณะที่หนานกงลู่ซิ่วเดินไปก็ให้การแนะนำแก่จ้านเป่ยเซียว และแอบมองพิจารณาชายหนุ่มไปด้วย
จ้านเป่ยเซียวรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้หญิงที่อยู่ข้างกายที่ส่งมาอยู่บ่อยครั้ง รู้สึกแต่เพียงรังเกียจเท่านั้น ในตอนที่หันกลับไปอย่างไม่ตั้งใจกลับเห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังยืนอยู่ด้านหลังและเดินอย่างเชื่องช้า
สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวเคร่งขรึม ผู้หญิงคนนี้ ดีร้ายอย่างไรตอนนี้ก็คือพระชายาในนามของเขา ไม่รู้สึกหวงแหนตำแหน่งนี้ของตัวเองเช่นนี้ เห็นว่ามีคนจ้องตาเป็นมันก็ไม่มาขัดขวาง ถึงขั้นหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ มีอะไรน่าขำนักหนา?
“พี่เขย เราไปดูทางนั้นกันเถอะ ช่วงนี้ท่านพ่อเพิ่งใส่ปลาคราฟลงไปใหม่สองสามตัว” หนานกงลู่ซิ่วกล่าวอย่างแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา
พูดไป สายตาก็กวาดมองไปทางเฟิ่งชิงหัว อดที่กล่าวออกมาไม่ได้: “พี่สาว ทางด้านพี่เขยมีข้าดูแลอยู่ ท่านกลับไปคุยกับท่านพ่อเถอะ”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูดก็พยักหน้า: “อ้อ ได้สิ”
ขณะที่พูดไปก็ยังยิ้มกริ่ม ทำท่าทางไม่เป็นไร ผู้ชายของข้าเจ้าเอาไปได้เลย
หนานกงลู่ซิ่วมองนางอย่างดูหมิ่นครู่หนึ่ง เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ยังรังแกได้ง่ายเหมือนเดิม แม้แต่สามีของตัวเองยังไม่กล้าช่วงชิง ผู้หญิงเช่นนี้ จะคู่ควรกับตำแหน่งพระชายาเจ็ดอันทรงเกียรติเช่นนี้ได้อย่างไร
ความเย็นยะเยือกในดวงตาของจ้านเป่ยเซียวค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดทีละนิด มือที่จับที่วางแขนมีเส้นเลือดปูดออกมา ความมืดครึ้มค่อยๆรวมตัวกันทีละนิด
เวลานี้ทั้งสามคนยืนอยู่บนสะพานที่สร้างขึ้นเหนือสระน้ำแล้ว เพียงแต่ว่าเฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ข้างสะพาน หลังจากที่ฟังคำพูดของหนานกงลู่ซิ่วแล้วก็เดินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สะพานถูกเก้าอี้เข็นของจ้านเป่ยเซียวขวางเอาไว้กว่าครึ่งแล้ว ที่เหลือก็ถูกหนานกงลู่ซิ่วครอบครองเอาไว้
หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวเดินมาข้างกายของหนานกงลู่ซิ่วแล้วก็กล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์: “หลบไป อย่าขวางทาง!”
พูดจบฝ่ามือดูเหมือนจะถือโอกาส ตบหญิงสาวลอยออกไป ตกลงไปในสระน้ำ
หนานกงลู่ซิ่วตกลงไปในน้ำก็รีบร้องขอความช่วยเหลือ มองดูทั้งสองคนที่อยู่บนฝั่ง ยื่นมือไปทางพวกเขา
สายตาของจ้านเป่ยเซียวจ้องมืองหญิงสาวที่ยืนกอดอกชื่นชมอยู่ข้างสะพานเงียบๆ กล่าวเสียงราบเรียบ: “เจ้าไม่ช่วยคนหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูดก็ทำเหมือนเข้าใจในทันที: “ใช่แล้ว ท่านอ๋องไม่พูดข้าก็ลืมไปเลยว่า น้องสาวของข้าคนนี้ว่ายน้ำไม่เป็น”
ขณะที่พูดไปนางก็เริ่มปลดสายคาดเอว
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วแน่น นางคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือคิดจะกระโดดลงไปช่วยคนด้วยตัวเอง?
จ้านเป่ยเซียวกำลังจะลงมือ ก็เห็นหญิงสาวไม่ได้จะกระโดดลงน้ำ แต่ว่าโยนสายคาดเอวที่ปลดลงมาในมือไปทางสระน้ำ กล่าวขึ้นมาอย่างร้อนใจ: “น้องสาว เร็ว รีบจับอันนี้ไว้ ข้าดึงเจ้าขึ้นมา”
สายคาดเอวนั่นเดิมทีก็ไม่มีน้ำหนักอะไรอยู่แล้ว ส่ายไปตามการกวัดแกว่งเป็นมุมโค้งที่เย้ายวนของเฟิ่งชิงหัวกลางอากาศ ทุกครั้งในตอนที่หนานกงลู่ซิ่วอยากจะคว้าเอาไว้สายคาดเอวนั่นก็ถูกส่ายไปอีกด้านหนึ่ง
แม้จะเป็นจ้านเป่ยเซียวผู้เฉยชาในตอนที่เห็นภาพเช่นนี้ก็ยังอดยื่นนิ้วชี้ออกมาปกปิดรอยยิ้มตรงมุมปากเอาไว้ไม่ได้