พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 45อาจารย์ย่า
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 45อาจารย์ย่า
น้ำตาของหนานกงเยว่หลีตกลงมาอย่างรวดเร็ว นางกุมหน้าไว้แล้วส่ายหน้า: “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ทำจริงๆนะ”
ถ้าเป็นปกติ ฮูหยินเฉิงเซี่ยงคงเข้าไปทะเลาะกับเขาแล้ว แต่ตอนนี้ นางกลับกอดลูกสาวเอาไว้เฉยๆ ขอบตาก็แดงตามไปด้วย: “หลีเอ๋อร์โดนใส่ร้ายนะ จุดแดงพรหมจรรย์ของนางหายไป รัชทายาทก็ถึงสงสัยไงล่ะ ท่านช่วยเข้าไปไปอธิบายได้หรือไม่ ไปพูดแทนลูกสาวของเราหน่อย ราชโองการนี้ออกมา ลูกสาวของเราจะใช้ชีวิตยังไงต่อไปล่ะ?”
“จุดแดงพรหมจรรย์จะหายไปเฉยๆได้ยังไง?” เห็นได้ชัดว่าหนานกงจี๋ไม่เชื่อ
“จริงนะเจ้าคะ ท่านพ่อ เมื่อคืนยังอยู่อยู่เลย วันนี้ข้าไม่ทันระวัง จะต้องเป็นฝีมือหนานกงเยว่ลั่วแน่ๆ ต้องใช่นางแน่ๆ นางทำให้จุดแดงพรหมจรรย์ของข้าหายไป!” หนานกงเยว่หลีพูดอย่างโมโห
“ทำไมนาง……” หนานกงจี๋จะปฏิเสธ แต่ต่อมาก็นึกได้ว่านั่นไม่ใช่หนานกงเยว่ลั่วแต่เป็นเฟิ่งชิงหัว เขาก็ปวดหัวขึ้นมาทันที
ถ้าเป็นนางจริงๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้
“ก่อนหน้านี้นางแตะตัวเจ้าใช่หรือไม่?” หนานกงจี๋หรี่ตาถาม
หนานกงเยว่หลีคิดย้อนกลับไป แล้วรีบพยักหน้า: “ใช่เจ้าค่ะ นางจับมือข้านานมาก”
นางก็อึ้งไปสักพักใหญ่กว่าจะรู้ตัว หนานกงเยว่ลั่วในเมื่อก่อนไม่กล้าแตะต้องตัวนางด้วยซ้ำ วันนี้กลับควงแขนนางเดินอยู่นานมาก จะต้องเป็นฝีมือของนางแน่ๆ!
หนานกงจี๋สีหน้าบึ้งตึง สุดท้ายกลับถอนหายใจแล้วพูดว่า: “พวกเจ้าลุกขึ้นมาเถอะ ต่อไปอย่าไปหาเรื่องนางก็แล้วกัน นาง ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว”
หนานกงจี๋พูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินจากไปทันที
คนที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนเฉิงเซี่ยงก็เดินออกไปตามๆกัน
หนานกงลู่ซิ่วที่ลุกขึ้นตามทุกคน ก็มองดูฮูหยินเฉิงเซี่ยงประคองหนานกงเยว่หลีออกไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือก
กลับมาถึงห้อง หนานกงเยว่หลีก็จับมือฮูหยินเฉิงเซี่ยงไว้แน่น: “ท่านแม่ เป็นฝีมือของหนานกงเยว่ลั่วเป็นฝีมือของนาง!”
“นังชั้นต่ำนั่นบังอาจมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว เจ้าวางใจได้ แม่จะไปหานางที่จวนเอง แม่จะหาทางให้นางหาจุดแดงพรหมจรรย์คืนมาให้ได้ ในเมืองมีคุณชายที่คู่ควรเหมาะสมเยอะแยะไป เป็นพระชายาไม่ได้ เราก็ต้องแต่งเข้าตระกูลใหญ่โตให้ได้!” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงพูดอย่างเจ็บใจ
“ท่านแม่ ข้าจะไม่ปล่อยหนานกงเยว่ลั่วไว้ง่ายๆแน่ ต่อจากนี้ไป ไม่ข้าก็นางคนใดคนหนึ่งจะต้องตายกันไปข้าง!”
“เจ้าวางใจได้ แม่จะไม่ปล่อยนางไปแน่ คิดว่าแต่งกับท่านอ๋องแล้วจะไม่ไว้หน้าพวกเราแล้วงั้นเหรอ นางคิดว่านางเป็นใครกัน ก็แค่นังชั้นต่ำที่ฝากเลี้ยงภายใต้นามของข้าก็เท่านั้น” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จวนเฉิงเซี่ยงยังคงตกอยู่ในความเศร้าที่รัชทายาทขอยกเลิกงานแต่ง ฮ่องเต้เขียนราชโองการ แต่ทางด้านจวนอ๋องเฉินกลับสงบมาก
เฟิ่งชิงหัวกลับไปถึงจวนก็ให้คนจัดเตรียมอาหารโต๊ะใหญ่ไว้ จ้านเป่ยเซียวเพิ่งเข้าบ้านก็ถูกฝ่าบาทเรียกตัวเข้าเฝ้า แต่นี่ก็ไม่กระทบถึงอารมณ์การกินข้าวของนาง กินจนอิ่มแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว นางก็ถึงหยุดกิน
นั่งพักผ่อนสักพักก็ถึงลากชุดยาวๆหนักๆของตัวเองกลับไปที่ห้องตัวเอง
ถอดเสื้อผ้าอันหนักอึ้งเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็ถึงรู้สึกโล่ง นางพิงไปที่หมอนนุ่มๆ ก็ถึงมองไปยังม่านเฉ่าที่กำลังเก็บกวาดห้องอยู่
“ม่านเฉ่า”
“พระชายามีรับสั่งอันใดหรือเจ้าคะ” ม่านเฉ่าเดินเข้าไปหาอย่างเคารพ
“ต่อไปเซียงเสว่จะอยู่ต่อที่จวนเฉิงเซี่ยงไม่กลับมาแล้วนะ ต่อไปเจ้าจะเป็นข้ารับใช้ใหญ่ของข้า ระวังตัวหน่อย ถ้ารู้สึกไม่ไหวแล้วก็มาบอกกับข้า ข้าจะสั่งคนส่งเจ้ากลับจวนเฉิงเซี่ยงเอง” เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างเชื่องช้า
ม่านเฉ่าได้ยินแล้วก็คุกเข่าอย่างแรง: “พระชายาได้โปรดเถอะ ฮูหยินเฉิงเซี่ยงส่งข้ามาเพื่อหาเรื่องท่าน แต่ข้าไม่เคยคิดที่จะทำเช่นนั้นเลย แค่อยากรับใช้เจ้านายดีๆ รอถึงอายุแล้วก็ค่อยปล่อยกลับจวนไป อย่างอื่นข้าจะไม่คิดถึงเลย ขอพระชายาให้โอกาสข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวไม่คิดว่าม่านเฉ่าจะรู้ตัวเองด้วย ตอนแรกนางว่าจะส่งม่านเฉ่ากลับจวนไป แต่เห็นนางพูดแบบนี้ แถมยังแสดงถึงความภักดีอย่างจริงใจ ก็ถือว่าเป็นเด็กที่ฉลาดมาก
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าพูดว่า: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นต่อไปเจ้าก็อยู่กับข้าแล้วกัน ข้าไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ คนที่มีประโยชน์แก่ข้า ข้าจะให้คนผู้นั้นได้อยู่ดีกินดีเหมือนกันกับข้า”
ม่านเฉ่ารีบส่ายหน้า: “เจ้าค่ะ แต่ว่าพระชายา สัญญาทาสของข้ายังอยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยง แบบนี้คงจะไม่สะดวกเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าขอมาให้เอง” เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า: “เอาล่ะ เจ้าออกไปได้แล้ว ข้าจะพักผ่อน ข้าไม่เรียกเจ้า เจ้าห้ามเข้ามารบกวนนะ”
“เจ้าค่ะ” ม่านเฉ่าว่าแล้วก็รีบเดินออกไป แล้วปิดประตูก่อนออกไปด้วย
บอกว่าพักกลางวัน แต่ทว่าหลังจากที่ม่านเฉ่าไปแล้ว เฟิ่งชิงหัวกลับเอากระเป๋าออกมาจากใต้เตียง เปลี่ยนเป็นชุดลำลองง่ายๆ แล้วเดินออกจากจวนเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้
ความหรูหราในเมือง ตัวเมืองมีคนเดินพลุ่งพล่านเต็มไปหมด ร้านต่างๆก็มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย
เฟิ่งชิงหัวแต่งตัวเป็นผู้ชายเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกซอยหนึ่ง เดินเลี้ยวไปมาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าประตูสีดำบานหนึ่งหน้าประตูมีห่วงทองแดงแขวนอยู่ จับด้านซ้ายไว้แล้วเคาะสามที แล้วจับด้านขวาเคาะอีกสองที
ต่อมา ประตูก็ถูกเปิดออก ด้านในมีเด็กอายุสิบสองถึงสิบสามชะโงกหน้าออกมา มัดผมมวยสองข้าง มองไปยังเฟิ่งชิงหัว: “ท่านมาหาใครหรือ?”
“ข้ามาหาอู่ตู๋จื่อ ข้าเป็นอาจารย์ย่าของเขา”
“ได้ กรุณารอสักครู่”
ต่อมาประตูสีดำก็ถูกปิดลงอีกครั้ง เฟิ่งชิงหัวก็ไม่รีบร้อนอะไร กอดอกพิงผนังยืนรออยู่เงียบๆ นับหนึ่งนาทีในใจ ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
ตรงประตูมีคนหัวล้านยืนอยู่ ใบหน้ากลมๆเหมือนกับพระ เวลายิ้มกลับดูเลี่ยนมาก ยังดีที่ใบหน้ายังพอไปวัดไปวาได้ จึงไม่ทำให้คนรู้สึกเหมือนเหลาะแหละ แต่กลับรู้สึกสนิทมากกว่า
อู่ตู๋จื่อมองเฟิ่งชิงหัวอย่างตื่นเต้น: “อาจารย์ย่า ท่านลงเขามาแล้วเหรอ รีบเข้ามาสิ เข้ามาเร็ว”
เฟิ่งชิงหัวเดินตามเข้าไป ตลอดทางที่เดินเข้าไป ดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไร ไม่คิดว่าพอเข้ามาภายในแล้วจะแตกต่างจากภายนอกมาก
ด้านในกว้างใหญ่ มีศาลาสวยๆ ที่ทำให้คนที่เห็นต่างก็ต้องตกตะลึง
เฟิ่งชิงหัวกระตุกยิ้มมุมปาก: “ไม่คิดว่าเจ้าลงเขามาแล้วจะมาสร้างบ้านไว้ใหญ่ขนาดนี้ ดูท่าเจ้าจะขูดรีดประชาชนไม่น้อยเลยนะ?”
“อาจารย์ย่า ท่านพูดอะไรกัน ข้าน้อยก็ได้กินแค่เล็กน้อย หลอกแต่พวกเศรษฐีไร้สามัญสำนึก ข้าน้อยไม่ลืมคำสั่งของบรรพบุรุษหรอก กระทำความดีช่วยคนยากไร้ เงินที่ข้าน้อยหามาได้จะแบ่งให้ชาวบ้านยากไร้ครึ่งหนึ่งตลอด” ตอนที่อู่ตู๋จื่อพูดนั้นดูจริงจังมาก ไม่มีความเจ้าเล่ห์เหมือนที่คนทั่วไปเห็นเลย
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า และพอใจกับคำตอบมาก
เดินเข้าไปนั่งในห้อง ไม่นานก็มีเด็กเอาขนมน้ำชายกขึ้นมา
อู่ตู๋จื่อนั่งอยู่ด้านล่าง ถามอย่างเคารพว่า: “อาจารย์ย่า ทำไมท่านถึงเปลี่ยนเป็นหน้าแบบนี้ล่ะ?”
เฟิ่งชิงหัวลูบไล้ใบหน้าของหนานกงเยว่ลั่วเลิกคิ้วถามว่า: “ทำไม? ไม่สวยเหรอ?”