พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 47 ยามค่ำคืน
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 47 ยามค่ำคืน
บริเวณเข่ามีเลือดสีดำไหลออกมาจากบาดแผล อู่ตู๋จื่อที่อยู่ข้างๆก็รีบเอากระโถนมารองรับไว้
รอเลือดสีดำกลายเป็นสีแดงแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็ถึงเอาผงถอนยาพิษสาดไปบริเวณบาดแผล ต่อมาก็เริ่มชะล้างและทายารักษาแผล ก็ถึงเย็บแผลด้วยเข็ม
นางเย็บแผลได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว
ต่อมาก็ใช้วิธีเดียวกันทำบริเวณเข่าอีกข้าง อู่ตู๋จื่อที่เห็นแล้วก็เบิกตาโพลงโต
ถึงแม้จะรู้ว่าวิชาแพทย์ของอาจารย์ย่าจะสุดยอดมากในสำนัก แต่เขาเป็นลูกศิษย์ภายนอกจึงไม่มีโอกาสได้เห็นเลย ยาเดียวกัน เข็มเดียวกัน อาการป่วยเดียวกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็ไม่กล้ารับรองว่าจะรักษาได้
เหมือนคนผู้นี้ไม่ได้โดนยาพิษลับ แต่เป็นแค่อาการป่วยธรรมดาทั่วไป
หลังจากที่ขับพิษในตัวออกหมดแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็สะบัดแขนเสื้อ เข็มบนร่างกายของชายหนุ่มก็หายไปหมด
“เอาล่ะ ให้ยาบำรุงร่างกายกับเขาก็พอแล้วล่ะ” เฟิ่งชิงหัวพูดจบก็พูดต่อว่า: “ให้คุณชายเนี่ยไปรอข้าที่ห้องโถง ข้ามีเรื่องจะถามเขา”
เนี่ยกวางหยวนรู้ว่าน้องชายปลอดภัยดี ก็รู้สึกดีใจมาก เขารีบเดินไปที่ห้องโถง กวาดตามองไปข้างนอกไม่หยุด
รอเห็นเฟิ่งชิงหัว เขาก็อดใจไม่ไหวรีบเข้าไปคุกเข่าอย่างเร็ว แต่ในตอนที่เขากำลังจะคุกเข่าลงไปนั้น กลับถูกดึงตัวขึ้นมาก่อน เขาจึงต้องลุกอีกครั้ง
เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ข้าไม่ชอบให้คนอื่นคุกเข่าให้ข้า”
เนี่ยกวางหยวนรู้ว่าหมอเทพส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยแปลกๆเสมอ เขาจึงกำหมัดสองข้างประกบไว้ข้างหน้าแล้วขอบคุณอีกครั้ง: “ขอบพระคุณหมอเทพที่ช่วย ขอหมอเทพสั่งมาได้เลย”
เฟิ่งชิงหัวปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนตัว แล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า: “ข้าอยากรู้จักคนที่วางยาน้องชายเจ้า ทางที่ดี เจ้าส่งตัวคนผู้นั้นมาให้ข้าไต่สวนดีกว่า”
เนี่ยกวางหยวนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขอสิ่งนี้ เขามีสีหน้าลำบากใจ
“ทำไม เมื่อกี้ยังบอกว่าถามได้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง ตอนนี้เห็นว่าน้องชายเจ้าพ้นขีดอันตรายแล้วก็จะไม่รักษาคำพูดงั้นเหรอ?” เฟิ่งชิงหัวหรี่ตามองแล้วพูดอย่างเย็นชา: “ข้าช่วยชีวิตน้องชายเจ้าได้ ก็ฆ่าเขาได้เหมือนกัน คนที่ข้าอยากฆ่าไม่มีใครรอดได้หรอกนะ?”
เนี่ยกวางหยวนรู้สึกกดดัน จนกลืนน้ำลายเอื๊อกๆไม่หยุด
คุณชายตรงหน้าดูท่าทางแค่อายุสิบห้าสิบหก ถ้าไม่ใช่เพราะมีวิชาแพทย์ที่น่าตกใจ เนี่ยกวางหยวนคงคิดว่าเขาเป็นคุณชายเศรษฐี
แต่ตอนนี้ เขาเริ่มสงสัยคนตรงหน้าแล้วว่า อาจจะเป็นยอดฝีมือที่เก่งวิชารักษาใบหน้าให้อ่อนเยาว์ และไม่กล้าต่อกรกับเขาซึ่งๆหน้า จึงต้องตอบไปตามความจริง
“ท่านอาวุโสไม่รู้อะไร ที่บ้านข้าซับซ้อนมาก ตอนนี้ยังไม่กล้าลากตัวผู้ร้ายออกมาตรงๆ”
“หื้ม?” เฟิ่งชิงหัวได้ยินแล้ว ก็เอามือกุมขมับแล้วมองไปยังชายหนุ่ม ทำท่าตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ
เนี่ยกวางหยวนจึงต้องพูดว่า: “ข้าคือติ้งหยวนโหว น้องชายข้าอายุแปดขวบก็ถูกครอบครัวของท่านลุงรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเป็นซื่อจื่อสืบทอดจวนเจ้าผู้อารักขา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่า สามปีก่อน ฮูหยินเจ้าผู้อารักขาก็เกิดท้องแล้วมีลูกชายคนหนึ่ง จึงคิดอยากจะวางแผนอนาคตให้ลูกชายตัวเอง ดังนั้นจึงได้คิดที่จะปองร้ายน้องชายของข้า”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินแล้วก็รู้สึกสนใจขึ้นมา นางยิ้มแล้วพูดว่า: “ดังนั้นคนที่วางยาคือฮูหยินเจ้าผู้อารักขาเหรอ เพราะตำแหน่งของนาง พวกเจ้าเลยอยากจะทำให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กงั้นเหรอ?”
เฟิ่งชิงหัวแต่งกายเป็นชาย แต่สายตาคู่นั้นกลับน่าหลงใหลมาก แค่นางมองมา เนี่ยกวางหยวนก็อดไม่ได้หัวใจเต้นเร็ว
พอได้สติก็เขินมากไม่ไหว เพราะตัวเองหัวใจเต้นตึกตักกับผู้ชายคนหนึ่ง นี่มันน่าขายหน้าจริงๆ
เนี่ยกวางหยวนส่ายหัว สลัดภาพที่ไม่เป็นจริงในหัวทิ้งไปให้หมด ก็ถึงพูดว่า: “เจ้าผู้อารักขากับติ้งหยวนโหวเป็นครอบครัวที่มีสัมพันธ์กันยาวนาน เจ้าผู้อารักขาเป็นผู้จงรักภักดี คดีนี้คงสู้ได้ยาก และจะแจ้งความไม่ได้ด้วย”
เฟิ่งชิงหัวกระตุกยิ้มแล้วพูดว่า: “ในเมื่อเจ้าไม่แจ้งความ งั้นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ เจ้าก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับด้วย”
“ท่านอาวุโสต้องการ?” ด้านหลังเนี่ยกวางหยวนก็ไม่ได้พูดออกมา แต่สายตาประกายคู่นั้นกลับมีความดีใจเล็กน้อย
เขาอยากแก้แค้นให้น้องชายอยู่แล้ว แต่เพราะความสัมพันธ์ของสองครอบครัว ทำให้เขาไม่กล้าลงมือ ถ้ามีวิธีจัดการผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เขาก็อยากทำอยู่แล้ว
“ไม่กล้าสู่ต่อหน้า งั้นก็สู้ลับหลังสิ” เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วแล้วพูด
“ข้าน้อมรับคำสั่งท่านอาวุโส” เนี่ยกวางหยวนพูดอย่างตื่นเต้น
จวนเจ้าผู้อารักขาคุ้มกันหนาแน่นมาก เขามีวิทยายุทธที่แกร่งกล้ายังไม่กล้าคุยโวว่าสามารถทำได้เลย โดยเฉพาะเรื่องของเนี่ยหานซิง ทำให้จวนเจ้าผู้อารักขานั้นคุ้มกันหนาแน่นมากขึ้นกว่าเดิม อยากเข้าไปจับคนนั้น ยากยิ่งไปกว่าขึ้นฟ้าอีก
แต่คนตรงหน้า กลับดูไม่เหมือนผู้ที่มีความสามารถแกร่งกล้า แต่เนี่ยกวางหยวนกลับรู้สึกว่า คนตรงหน้าจะต้องมีวิธีแน่
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “คืนนี้เที่ยงคืน ไปเจอกันนอกจวนเจ้าผู้อารักขา”
“ขอรับ ท่านอาวุโส” เนี่ยกวางหยวนตอบรับ ต่อมาก็พาน้องชายที่ยังไม่ฟื้นกลับไป
อู่ตู๋จื่อยืนอยู่นอกประตู อดไม่ได้พูดว่า: “คุณชาย ทั้งที่พวกเราสามารถลงมือเองได้ ทำไมถึงต้องให้ติ้งหยวนโหวเข้ามายุ่งด้วย? นี่มันเกินไปหรือเปล่า?”
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือไปเขกหัวของเขาแรงๆ: “งั้นข้าจะเป็นอาจารย์ย่า เจ้าจะเป็นศิษย์หลานของข้าได้ยังไง ศิษย์หลานของข้า เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกเยอะ”
อู่ตู๋จื่อลูบหัวที่ถูกเขกแล้วมองดูหญิงสาวเดินออกไป
เฟิ่งชิงหัวกลับไปยังจวนอ๋องเฉินเงียบๆ ตรวจสอบกับดักในห้องตัวเอง แน่ใจว่าไม่มีคนเข้ามาแล้วก็ถึงวางใจ
เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตะโกนออกไปด้านนอกว่า: “ม่านเฉ่า!”
ม่านเฉ่ารีบยกน้ำเดินเข้ามา เริ่มช่วยเฟิ่งชิงหัวล้างหน้าแปรงฟัน
“ท่านอ๋องจะกลับมาหรือเปล่า?” เฟิ่งชิงหัวถาม
“กลับมาแล้วเจ้าค่ะ พอรู้ว่าพระชายาหลับแล้วก็ถึงกลับห้องตัวเองไป”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ม่านเฉ่าเตรียมให้ แล้วเดินไปที่ห้องของจ้านเป่ยเซียว
“พระชายา ตอนนี้ท่านอ๋องไม่สะดวกพบคน” เพิ่งเดินไปถึงหน้าลานบ้าน ก็ถูกทหารขวางทางไว้
“ไม่สะดวกเจอคน? ทำไมกันล่ะ?” เฟิ่งชิงหัวรู้สึกแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกขวางในจวน
ผู้ที่ขวางทางคือหลิวหยิ่ง นึกได้ว่าท่านอ๋องดีกับท่านนี้มาก จึงพูดอธิบายว่า: “ตอนนี้ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดี มีรับสั่งว่าไม่อยากเจอใคร”
ในจวนไม่มีผู้อื่น คนอื่นในที่นี้ ก็ต้องรวมถึงท่านที่อยู่ตรงหน้าด้วย
เฟิ่งชิงหัวได้ยินแล้วก็เลิกคิ้ว พูดอย่างแปลกใจว่า: “ท่านอ๋องพวกเจ้าอารมณ์จะดีเมื่อไหร่กัน? เขาก็ทำหน้าเหมือนมีคนติดหนี้เขาตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เพิ่งพูดจบ ก็เห็นหน้าต่างที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออก หลังหน้าต่างมีเงาของคนคนหนึ่ง
ตอนนี้พระอาทิตย์เพิ่งตกดิน แสงสีทองสาดส่องไปยังร่างกาย ดูเปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม
จ้านเป่ยเซียวในตอนนี้ กำลังมองนางด้วยสายตาที่เย็นชา
เฟิ่งชิงหัว: “……”
ความรู้สึกที่นินทาคนอื่นแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา ก็รู้สึกผิดนิดๆเหมือนกัน