พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 49 ข้าไม่เคยสมมุติ
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 49 ข้าไม่เคยสมมุติ
จ้านเป่ยเซียวชะงัก แต่ก็ยื่นมือไปรับมา แต่เห็นในถ้วยเต็มไปด้วยสีแดงและแยกไม่ออกว่าอะไรคืออะไร เขาเลยไม่รู้ว่าจะกินยังไงดี
เฟิ่งชิงหัวแนะนำเสียงใส: “นี่คือกะหล่ำดอก นี่คือเห็ด นี่คือผักกาด นี่คือเนื้อไก่กับเนื้อหมู่เจ้าค่ะ”
นางพูดแนะนำผักกว่าสิบยี่สิบชนิด
จ้านเป่ยเซียวกวาดตามองเฟิ่งชิงหัว สายตานั้นดูชัดเจนมาก: เจ้ายำอาหารรวมกันแบบนี้ คิดจะหลอกข้าหรือไง?
เฟิ่งชิงหัวรีบพูดว่า: “ท่านลองชิมก่อนสิ ไม่ชิมก็ไม่มีสิทธิ์พูดนะ”
จ้านเป่ยเซียวพูด: “ตะเกียบกลาง”
เฟิ่งชิงหัวก็ถึงนึกขึ้นได้ พวกเศรษฐีตระกูลใหญ่ๆไม่ชอบใช้ตะเกียบตัวเองตักข้าวกิน จะใช้ตะเกียบกลางเสมอ นางจึงรีบเอาตะเกียบออกมา
จ้านเป่ยเซียวคีบเห็ดให้ตัวเอง แล้วเอาตะเกียบตัวเองคีบเห็ดเข้าปาก เคี้ยวสองสามคำก็ต้องชะงัก
เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างคาดหวังว่า: “เป็นยังไงบ้าง รสชาติไม่เลวใช่ไหมล่ะ? ข้าไม่ได้หลอกเจ้าใช่ไหม?”
จ้านเป่ยเซียวไม่ได้พูดอะไร แต่แค่ใช้ตะเกียบกลางคีบอาหารอื่นต่อ
นางไม่คาดหวังให้เขาเอ่ยชมหรอก ขอแค่ไม่ประชดก็พอ
ข้าวสวยกับซุปบ๊วยมาพอดี เฟิ่งชิงหัวตักข้าวให้เขา แล้วเทซุปบ๊วยให้เขาอีกถ้วย จากนั้นนางก็กินตามไปด้วย
ที่จริงนี่ก็คือซุปหมาล่าธรรมดาทั่วไป แค่ผัดเครื่องเทศให้หอมแล้วเตรียมวัตถุดิบผัดให้สุกแล้วใส่ลงไปก็พอแล้ว กินเป็นบางครั้งก็ได้รสชาติดีเหมือนกัน
ตอนที่กินข้าวนั้น ทั้งสองคนไม่ได้พูดกันเลย เฟิ่งชิงหัวก็ไม่คาดหวังให้คนซื่อบื้ออย่างจ้านเป่ยเซียวพูดก่อนหรอก
เฟิ่งชิงหัวกินเสร็จแล้วก็ปล่อยให้สมองโล่ง อดไม่ได้เริ่มคิดถึงสาเหตุที่จ้านเป่ยเซียวเข้าวังแล้วอารมณ์ไม่ดี สายตาก็เริ่มมองไปยังจ้านเป่ยเซียว
จ้านเป่ยเซียวเกลียดที่มีคนมองเขาที่สุด โดยเฉพาะตอนที่กินข้าว เขาอดไม่ได้ถามไปว่า: “เจ้ามองอะไร?”
เฟิ่งชิงหัวกำลังเหม่ออยู่ พอได้ยินคนถามนางแบบนี้ นางก็เผลอตอบไปว่า: “ข้ากำลังคิดว่าทำไมเจ้าถึงอารมณ์ไม่ดี? โดยเสด็จพ่อด่าในวังหรือเปล่า”
พูดจบแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกตัวขึ้นมา แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป
นางถามออกไปตรงๆแบบนี้ ถ้าเขาโดนฮ่องเต้เซวียนถ่งด่าจริงๆ งั้นถ้านางรู้มากเกินไป เขาจะสั่งฆ่าปิดปากนางไหมนะ?
จ้านเป่ยเซียวเหมือนจะไม่คิดว่านางกำลังคิดถึงตัวเองอยู่ ปิดปากไอกระแอม
เฟิ่งชิงหัวรีบปัดมือ: “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าแค่ถามไปงั้นๆ ไม่ได้อยากรู้สักเท่าไหร่หรอก”
ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาดื่มซุปบ๊วยของตัวเองต่อ
จ้านเป่ยเซียวกลับพูดว่า: “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า”
“หื้ม?” เฟิ่งชิงหัวอึ้ง ชี้หน้าตัวเอง: “ข้า? ข้าทำไม?”
“รัชทายาทเข้าวังอยากยกเลิกงานแต่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลยงั้นเหรอ?”
จ้านเป่ยเซียวกับฮ่องเต้เซวียนถ่งวางแผนเรื่องงานแต่งระหว่างรัชทายาทกับจวนเฉิงเซี่ยงไว้นานแล้ว แต่ตอนนี้รัชทายาทอยากยกเลิกงานแต่ง งั้นเขาก็คงจะดึงขุนนางจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาเป็นพวกด้วย นี่เป็นแค่สาเหตุหนึ่งในนั้น ยังมีอีกเรื่องก็คือ หลังจากที่พวกเขาตรวจสอบมา หนานกงเยว่ลั่วในตอนนี้ แตกต่างจากสิ่งที่เล่าลืออย่างสิ้นเชิง
คนคนหนึ่งจะมีนิสัยที่เปลี่ยนไปเพราะเรื่องเรื่องหนึ่ง แต่จะไม่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เหมือนกับนาง เหตุผลเดียวเลยก็คือ คนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่หนานกงเยว่ลั่ว
ถ้สนางเป็นคนที่หนานกงจี๋ส่งมา แต่เรื่องที่นางทำทั้งหมดก็ล้วนแต่ต่อกรกับรัชทายาทกับหนานกงจี๋ทั้งหมด แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ นางก็คอยดูตัวตนของหนานกงเยว่ลั่วทำให้เขาเดาไม่ออก
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก: “เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าก็แค่ทดลองพวกเขาก็เท่านั้น ใครจะรู้ว่าความรักจะบอบบางขนาดนั้น แค่บททดสอบเล็กน้อยก็ทำให้พวกเขาแยกทางกันแล้ว ข้าคิดว่าพวกเขาจะรักกันปานจะกลืนกินเสียอีก”
“บททดสอบเล็กๆ? บนโลกนี้ เกรงว่าจะมีคนส่วนน้อยที่ผ่านบททดสอบของเจ้าไปได้” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฟิ่งชิงหัวสนใจขึ้นมา มือวางบนโต๊ะแล้วจ้องมองจ้านเป่ยเซียว: “ท่านอ๋องก็ไม่ได้เหรอ?”
“เจ้าอยากทดลองใจข้าเหรอ?” จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองนาง
“อืม ถ้าวันนี้หนานกงเยว่หลีทำสำเร็จจริง สร้างเรื่องที่ข้าจะหนีไปกับชายอื่น ท่านอ๋องจะเชื่อไหม?”
“ข้าไม่เคยสมมุติ” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างเกรี้ยวกราด
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก
“มีเวลานี้ รีบไปสืบหาตัวคนร้ายดีกว่านะ” พูดจบ จ้านเป่ยเซียวก็เข็นรถเข็นออกไปทันที
เฟิ่งชิงหัวมองดูแผ่นหลังที่จากไปของชายหนุ่ม ก็ถึงนึกขึ้นได้ว่า เขาพูดเหมือนไม่พูดเลย ทั้งไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง และไม่ได้ตอบคำถามนางด้วย
เป็นสุนัขจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์จริงๆ
เฟิ่งชิงหัวอาบน้ำเสร็จก็นอนลงบนเตียง คืนนี้ยังมีเรื่องต้องทำ ตอนนี้ก็ต้องนอนหลับพักผ่อนก่อน
แต่พอนางนอนบนเตียง ก็ได้กลิ่นยาสมุนไพร นางดมไปที่หมอน แล้วดมผ้าห่ม
ยังมีกลิ่นอายจากตัวของจ้านเป่ยเซียวติดอยู่บนเตียงของนาง
นางไม่ได้เกลียดกลิ่นนี้หรอก แค่รู้สึกแปลกๆก็เท่านั้น
ขอแค่หลับตาลง ได้ยินนี้แล้ว ก็เหมือนเขากำลังนอนอยู่ข้างๆ
ใบหน้าของคนผู้นั้นลอยขึ้นมาในหัว สีหน้าที่เข้มงวดเย็นชาและดูถูกของเขา และท่าทางที่เขานอนหลับเงียบๆอยู่บนเตียง
เฟิ่งชิงหัวพลิกตัว นอนพลิกตัวง้อขา หลับตาลง แต่ก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี
ตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้ว รอพรุ่งนี้ให้ม่านเฉ่าเปลี่ยนดีกว่า
ตอนเที่ยงคืน เฟิ่งชิงหัวมาถึงนอกประตูใกล้ๆกับจวนผู้อารักขา เนี่ยกวางหยวนสวมชุดดำมารออยู่นานแล้ว
พอเห็นเฟิ่งชิงหัวมา เขาก็รีบเข้าไปทำความเคารพทันที: “ท่านอาวุโส”
เฟิ่งชิงหัวตอบรับแล้วกระโดดเข้าไปในจวน แล้วเดินไปที่ลานบ้านหลัก ไม่นานก็อุ้มคนที่ถูกผ้าคุมตัวไว้กระโดดออกมา ตอนนี้ ทั้งจวนไม่มีเสียงใดเลย
เนี่ยกวางหยวนพอเห็นฝีมือของเฟิ่งชิงหัวก็รู้ว่านางมีกำลังภายในที่กล้าแกร่ง จึงอดไม่ได้พูดขึ้นว่า: “ท่านอาวุโสมีวิทยายุทธที่กล้าแกร่งเช่นนี้ ข้านับถือจากใจจริง”
“หาที่ได้หรือยัง?”
“ท่านอาวุโสตามข้ามาได้เลย”
ทั้งสองเดินไปตามกำแพง เฟิ่งชิงหัวยังคงอุ้มคนคนหนึ่งไว้ ไม่นานก็หาบ้านร้างหนึ่งเจอ
คนที่ถูกคุมผ้าไว้ก็ถูกโยนลงมา เฟิ่งชิงหัวสั่ง: “มัดคนเอาไว้”
เนี่ยกวางหยวนทำตามที่นางสั่ง มัดเหยียนซื่อไว้บนเสา แล้วปิดตาของนางไว้
เฟิ่งชิงหัวกดจุดของนาง เหยียนซื่อก็ไอคอกแคกเบาๆแล้วตื่นขึ้นมา พอเห็นว่าตัวเองถูกมัดอยู่บนเสา ก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ: “เจ้าเป็นใคร ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!”
“ถ้าตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้เลย!” เฟิ่งชิงหัวได้ยินเสียงกรี๊ดก็รำคาญไม่ไหว นางพูดอย่างไม่พอใจ มีดในมือก็แกว่งไปมาตรงหน้าหญิงสาว
“ท่านอย่าฆ่าข้าเลยนะ อย่าฆ่าข้าเลย ท่านจะเอาเงินใช่หรือไม่ ข้า ข้าเป็นฮูหยินผู้อารักขา ขอแค่ท่านไม่ฆ่าข้า ท่านจะเอาเงินเท่าไหร่ก็ได้ ข้าจะเอามาให้ท่านทั้งหมดเลย” เหยียนซื่อรีบพูด