พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 62 ตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 62 ตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง
“เจ้าจนถึงขนาดเงินเพียงไม่กี่อีแปะก็ไม่มีจะจ่ายแล้วอย่างนั้นหรือ ?” จ้านเป่ยเซียนส่งเสียงฟึดฟัดแล้วพูดขึ้น เห็นได้ชัดว่ายังจำรื่องครั้งก่อนที่เฟิ่งชิงหัวจ่ายเงินห้าสิบอีแปะ เพื่อซื้อที่คั่นหนังสือให้กับเขา
เฟิ่งชิงหัวทำจมูกย่น จากนั้นจึงพิจารณาการแต่งกายของตนเอง แล้วพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ : “ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดว่าข้าสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ แล้วจะแอบซ่อนเงินได้หรอกนะเพคะ ? ให้ซ่อนในรองเท้าหรือ ? คงทิ่มแทงเท้าจนเจ็บน่าดู ?”
จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าดูเหมือนคนที่พกเงินอยู่ตลอดเวลาหรืออย่างไร ?”
เฟิ่งชิงหัวหันมองไปทางด้านหน้ารถม้า แสดงความหมายอย่างชัดเจนว่า ท่านไม่ได้พก แต่ลูกน้องของท่านต้องพกแน่นอน
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร หลิวหยิ่งจึงย่อมไม่กล้าพูดมาก
เฟิ่งชิงหัวยักไหล : “ในเมื่อท่านไม่ยินดีจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ หม่อมฉันจะรีบไปบอกคนพวกนั้นเดี๋ยวนี้ว่า ครั้งหน้าค่อยมาซื้อ ท่านอ๋องวางใจเถอะเพคะ ข้าไม่มีทางบอกพวกเขาแน่ว่าเป็นคนของจวนอ๋องเจ็ด หม่อมฉันจะบอกว่าตนเองเป็นคนของจวนรัชทายาท ต่อให้พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ ก็คงด่าทอว่าองค์รัชทายาททรงใจแคบ”
พูดจบ นางก็เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เพิ่งเดินไปได้เพียงสองก้าวก็ได้ยินสองของผู้ชายตะโกนขึ้นด้วยความรำคาญ ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง : “กลับมานี่ !”
เฟิ่งชิงหัวเพิ่งหันตัวกลับมา ก็มีตั๋วเงินใบหนึ่งวางไว้บนหัวเสียแล้ว นางหยิบขึ้นมาดู เป็นจำนวนเงินถึงหนึ่งพันตำลึง
ดวงตาทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัวเป็นประกาย : “ท่านอ๋อง นี่หมายความว่าอย่างไรเพคะ ?”
จ้านเป่ยเซียวหัวเราะเยาะ : “รถม้าจอดอยู่ที่นี่ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนของจวนรัชทายาท เจ้าเห็นว่าข้าโง่ หรือเห็นว่าคนพวกนั้นตาบอดกันแน่ ?”
หากวิ่งไปพูดเช่นนั้นจริง เขาคงไม่อาจแบกรับความขายหน้าขนาดนั้นได้
เฟิ่งชิงหวัหัวเราะร่าแล้วพูดว่า : “เช่นนั้นต้องขอบพระทัยท่านอ๋องมากเพคะ หม่อมฉันต้องการอย่างมากก็เพียงไม่กี่ตำลึงเท่านั้น ในเมื่อท่านอ๋องทรงใจกว้างเช่นนี้ ทรงวางใจเถอะเพคะ หม่อมฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อใช้ให้หมดแล้วค่อยกลับมา ท่านอ๋องรอเดี๋ยวนะเพคะ !”
พูดจบ ก็เห็นหญิงสาวพุ่งกระโจนเข้าไปในฝูงชนราวกับนกน้อยที่โบยบินอย่างเริงร่า
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นแหล่งจับจ่ายซื้อของของคนธรรมดาทั่วไป แต่หากต้องการใช้เงินหนึ่งพันตำลึงให้หมด ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก เฟิ่งชิงหัวเดินซื้อของอย่างบ้าคลั่งด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นจึงจ้างรถม้าหนึ่งคันสำหรับทุกของ หลังจากใช้เงินหนึ่งพันตำลึงจนหมดเกลี้ยงแล้ว จึงค่อย ๆ เดินกลับมาขึ้นรถม้าอย่างองอาจ
“ใช้หมดแล้วหรือ ?” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้เสียดายเงินหนึ่งพันตำลึง อันที่จริงแล้ว ด้วยบุคลิกที่ “ไม่เคยพบเห็นโลกภายนอกมาก่อน” อย่างเฟิ่งชิงหัว ก็ใช่ว่าจะใช้จ่ายหมดได้ง่าย ๆ
เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างสบายใจ : “ใช้หมดแล้วเพคะ ท่านอ๋อง ท่านไว้ใจข้าได้”
จ้านเป่ยเซียวหัวเราะเหอะ ๆ ออกมา
รถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง
“เจ้าหิวไม่ใช่หรือ ? ตอนนี้ไม่หิวแล้วหรือ ?”
เฟิ่งชิงหัวลูบท้อง : “เมื่อครู่รู้สึกหิวจัด ดังนั้นหม่อมฉันจึงกินมาเรียบร้อยแล้ว รวดเร็วดีใช่ไหมล่ะเพคะ”
ยักคิ้วอย่างภาคภูมิใจ
ตอนนี้จ้านเป่ยเซียวไม่อยากสนใจนางแล้วจริง ๆ จึงรีบหันหน้าหนีไม่มองนางอีก จนกระทั่งลงรถม้าก็ยังไม่อยากสนใจนาง และรีบตรงเข้าจวนไปในทันที
ด้านหลังมีเสียงเฟิ่งชิงหัวเรียกองครักษ์ดังขึ้นตามมา สั่งให้พวกเขายกของลงมาจากรถม้าที่อยู่ด้านหลัง โดยให้ย้ายไปยังลานด้านหลังของนางทั้งหมด
“นายท่าน เวลาอาหารเย็นมาถึงแล้ว จะให้จัดสำรับเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ ?” หลิวหยิ่งยืนถามอยู่ข้าง ๆ อย่างระมัดระวัง
จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นด้วยความโมโห : “กิน ๆ ๆ ทำไมข้าถึงเลี้ยงไว้แต่พวกไร้ประโยชน์ที่รู้จักกินเพียงอย่างเดียวอย่างพวกเจ้ากันนะ !”
พูดจบ ก็ไถรถเข็นกลับไปยังห้องนอนทันที
หลังจากเฟิ่งชิงหัวย้ายสิ่งของทุกอย่างเข้าห้องขอตนเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงจะฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงอุ้มกล่องสองใบเดินตรงไปยังห้องของจ้านเป่ยเซียว ทันทีที่เดินไปถึงประตูห้องของจ้านเป่ยเซียว ก็เห็นหลิวหยิ่งยืนส่งสัญญาณทางสายตามาให้กับนางไม่หยุด
“หลิวหยิ่ง ตาขอเจ้ามีปัญหาหรือ ? ทำไมกระตุกอยู่ตลอดเวลา ?” เฟิ่งชิงหัวถามขึ้นด้วยความสงสัย