พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 93 ท่านอ๋อง หากข้าจะบอกว่าข้าความจำเสื่อมไปเมื่อครู่
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 93 ท่านอ๋อง หากข้าจะบอกว่าข้าความจำเสื่อมไปเมื่อครู่
เฟิ่งชิงหัวกำลังยืนดูฉากละครอยู่ด้านบนสระน้ำอยู่ ก็เห็นจ้านเป่ยเซียวหันกลับมาจ้องมาที่นาง: “ของแค่เล็กน้อยแค่นี้ยังดูแลไว้ไม่ได้ดี เจ้ายังจะสามารถทำอะไรได้อีก กลับห้องหนังสือกับข้า!”
เฟิ่งชิงหัวทำปากเบะ: “คนเขาเป็นองค์หญิง ท่านสาวแท้ๆ ของท่าน นางจะฉีกของในจวนอ๋อง ข้ายังจะไปจัดการอะไรได้งั้นหรือ”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างเสียใจ แต่ว่าความหยิ่งผยองที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นไม่ว่าจะปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิดอยู่ดี
“เฟิ่งชิงหัว!” จู่ๆ จ้านเป่ยเซียวก็ตะโกนด้วยความโมโหออกมาหนึ่งคำ
เฟิ่งชิงหัวถูกเสียงดังนี้ทำให้ตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง มองมายังจ้านเป่ยเซียว แล้วก็ลูบหัวใจดวงน้อยๆ ที่ได้รับความตกใจอย่างไม่รู้ตัวของตนเองครู่หนึ่ง จากนั้นก็สบตากับดวงตาที่เคร่งขรึมและซ่อนเล้นคู่นั้นของจ้านเป่ยเซียว
“เขาเป็นเสด็จน้องของข้าไม่ผิด แต่เจ้าเป็นพระชายาของข้า ความเป็นนายครึ่งหนึ่งของจวนอ๋องทั้งหมดนี้ ตัวเองจะไม่ชัดเจนเมื่อพิจารณาดูแล้วเลยหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวได้ฟังเช่นนั้นก็สะดุ้งขึ้นมาทันที กำลังจะถามเขาว่าเรื่องจริงหรือเท็จ ก็ได้ยินจ้านเป่ยเซียวกล่าวเพิ่มเติมต่อเนื่องว่า: “ดังนั้นโทษของเจ้าต้องเพิ่มขึ้นอีก”
สีหน้าท่าทางของเฟิ่งชิงหัวที่แสดงออกมาในครั้งแรกไม่สามารถยับยั้งอารมณ์เอาไว้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่รู้เลยว่าควรจะทำท่าทางสีหน้าแบบไหนมาตอบรับในนาทีนี้
นางโอ้อวดว่าตนนั้นพูดจาฉะฉาน แต่กลับเอาชนะคนที่ไม่ใช้เหตุผลเช่นนี้ไม่ได้เลย
คนผู้นี้ช่างมีความสามารถในการมีอารมณ์โมโหแล้วไม่ไว้หน้าใครเลยจริงๆ
แต่ว่าไม่ต้องตื่นเต้นไป เจ้ามีแผนการที่ชั่วร้าย ข้าก็ย่อมมีวิธีการรับมือที่แยบยล ยังไงกฎตระกูลเล่มนั้นก็ถูกฉีกขาดกระจุยไปแล้ว ไม่ว่าจะติดแปะยังไงก็คงจะติดไม่ได้หรอก ดูว่าเขาจะลงโทษนางยังไง ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ยอมรับบทลงโทษ อันที่จริงแล้วเรื่องไม่คาดคิดมันมาแบบไม่ทันได้ตั้งรับต่างหาก
จ้านเป่ยเซียวขยับล้อเก้าอี้เคลื่อนไป จากนั้นก็หันมากล่าวกับเฟิ่งชิงหัวว่า: “ยังไม่เข้ามาประคองข้ากลับเข้าเรือนอีก?”
“อ่อๆ” สุดท้ายเฟิ่งชิงหัวก็มองไปยังองค์หญิงเหออานที่กำลังแสดงฉากหากระดาษในน้ำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ก้าวเท้าอย่างเบาๆ ช้าๆ ไปยังทางด้านของจ้านเป่ยเซียว ต่อจากนั้นก็ดันเก้าอี้ล้อเลื่อนเดินเข้าไปในก้องหนังสือ
เฟิ่งชิงหัวดันจ้านเป่ยเซียวเข้าไปอย่างเชื่องช้า เห็นได้ชัดว่าระยะทางแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่จงใจจะใช้เวลานานถึงน้ำชาหนึ่งจอก จ้านเป่ยเซียวก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน นั่งนิ่งๆ อยู่บนนั้นไม่ขยับ
รอจนถึงห้องหนังสือแล้ว เฟิ่งชิงหัวท่าทางหมดเรี่ยวแรงมองมายังจ้านเป่ยเซียว: “ว่ามาเถอะ เรื่องอะไร ถ้าไม่มีข้าจะไปแล้วนะ”
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าคัดลอกกฎตระกูลแล้วงั้นหรือ?”
“ใช่” เฟิ่งชิงหัวยืดตัวตรงขึ้นมาทันทีอย่างระมัดระวัง: “แต่ว่าข้าก็ไม่ได้คัดไปมากเท่าไร”
“คัดมาตลอดทั้งเช้า 100ข้อก็น่าจะคัดได้แล้วกระมัง?” จ้านเป่ยเซียวหรี่ตามองมาที่นางด้วยดวงตาที่แฝงไว้ด้วยอันตรายอยู่ในนั้น
เฟิ่งชิงหัวฝืนกล่าวออกมา: “แน่นอน ข้าคัดถึงข้อที่ 100 พอดี”
หากคนผู้นี้ถามว่านางได้คัดถึงข้อ 10 หรือไม่ แน่นอนว่านางก็จะพยักหน้าไปอย่างหน้าตาเฉยว่าตนเองก็คัดลอกได้ 10 ข้อแล้วเช่นกัน หน้าตาคืออะไร ในตอนนี้มีเพียงความอิสระเท่านั้นที่สำคัญที่สุด
“อืม ก็ดี ในเมื่อกฎตระกูลไม่มีแล้ว ข้าก็ไม่อยากจะทำให้เรื่องยุ่งยากอีก” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าติดต่อกัน ตอนที่กำลังคิดว่าครั้งนี้ตัวเองไม่ต้องยุ่งยากอีกแล้ว ก็ได้ยินเสียงของฝ่ายชายกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉยว่า: “งั้นเจ้าก็เอา 100ข้อที่เจ้าคัดลอกไปก่อนหน้านั้นเขียนออกมาด้วยตัวเองอีก 1000 รอบเถอะ”
“อะไรนะ?” เฟิ่งชิงหัวคิดว่าหูของตนเองมีปัญหา สายตาที่มองมายังเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อเลย
“ฟังไม่ชัดหรือว่าจำไม่ได้?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาด้วยท่าทางขวมดคิ้ว
“จำไม่ได้” เฟิ่งชิงหัวรีบกลบเกลื่อนในทันที
“จำได้กี่ข้อ?”
“ก็แค่ 1-2 ข้อนั่นแหละ” ไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“1 ข้อหรือ 2 ข้อกันแน่!” ฝ่ายชายกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชา
“ข้อที่ 2 จำได้แค่ครึ่งเดียว ไม่ครบถ้วน” อมยิ้ม
“ดีมาก!” จ้านเป่ยเซียวจ้องมาที่ใบหน้าที่อมยิ้มขิงเฟิ่งชิงหัว น้ำเสียงค่อนข้างจริงจังขึ้น: “ในเมื่อเจ้าจำได้แค่ 1 ข้อ งั้นก็เอา 1 ข้อนั้นคัดลอกออกมา 10000รอบ คงจะไม่ยากแล้วใช่ไหม?”
“ก็ไม่ยาก เพียงแต่ว่า 10000รอบ งั้นจะต้องคัดจนถึงเมื่อไหร่กันนะ ก็คงจะไม่ใช่ว่าต้องทำสิ่งนี้อยู่ทั้งวันหรอกเนอะ ตอนกลางวันก็ย่อมต้องมีธุระที่สำคัญยิ่งกว่าต้องจัดการ” ท่าทางที่เฟิ่งชิงหัวแสดงออกมานั้นเห็นได้ชัดว่าดูยากลำบากไม่น้อย
“อันนี้ก็เป็นอย่างที่ว่า งั้นหลังจากฟ้ามืดแล้วมาห้องของข้า ในแต่ละวันคัด 2 ชั่วยาม เมื่อไหร่ที่ตัดลอกเสร็จสิ้นเมื่อนั้นก็สิ้นสุดการลงโทษ”
ทางออกทั้งหมดที่เฟิ่งชิงหัวมีต่างก็ถูกฝ่ายชายปิดตายไว้หมดทุกทางเลย
บอกว่าตนเองความจำไม่ดี คนเขาก็ให้เจ้าคัดแค่ข้อเดียว บอกว่าไม่มีเวลา คนเขาก็บอกว่าสามารถค่อยๆ คัดได้ นางก็อยากจะพูดออกไปจริงๆ เลยว่านางไม่ได้อยากจะคัดกฎตระกูลบ้าบออะไรที่เลยอยู่แล้ว แต่ว่าไม่กล้า
เฟิ่งชิงหัวทำปากเบะมองมายังจ้านเป่ยเซียว ได้เพียงรู้สึกว่านี่แค่เริ่มต้นผู้ชายคนนี้ก็วางหมากเอาไว้หมดแล้ว ให้ตนเองไม่มีทางคัดค้านได้
“ยังมีปัญหาหรือ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วพร้อมจ้องแล้วกล่าวมาทางเฟิ่งชิงหัว
“ไม่มี”
“งั้นยังยืนอึ้งอยู่ทำไมกัน ยังไม่รีบเตรียมคัดลอกอีก?”
“นี่ นี่ไม่ใช่ว่ายังไม่เข้าช่วงกลางคืนเลยนะ?” ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่นั้น ก็หันศีรษะมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่ฟ้ายังสว่างอยู่ แล้วก็ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้สดจางๆ ลอยมา กลิ่นหอมรัญจวนเช่นนี้ หรือว่าไม่ควรจะออกไปนอนกลางวันเสียหน่อย? มาเขียนกฎตระกูลอะไรกัน
“ที่ข้าบอกว่า 2 ชั่วยามในตอนกลางคืนก็คือว่าหากตอนกลางวันเจ้ามีธุระสำคัญต้องจัดการ ตอนนี้เจ้ามีธุระสำคัญหรือ?” จ้านเป่ยเซียวมองมาที่นางอย่างดูถูก
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร ว่างจนไม่มีอะไรทำก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว
เฟิ่งชิงหัวได้ปล่อยวางการดิ้นรนไปแล้ว ยังไงตนเองตอนนี้ก็ถุกผู้ชายคนนี้จับจุดอ่อนเอาไว้ได้แล้ว ก้ได้เพียงแค่ปล่อยให้เขาได้จัดการตามอำเภอใจไปชั่วคราว
ลากเสียงยาวออกมา น้ำเสียงของเฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างเย็นเยือก: “ข้าจะไปเตรียมพู่กันและแท่นฝนหมึกเพื่อมาเริ่มเขียนเดี๋ยวนี้แหละ”
ในขณะที่พูดอยู่ เฟิ่งชิงหัวกลับเตรียมมุ่งไปที่หน้าประตูทางออกอย่างเร่งรีบโดยไม่หันหน้ากลับมา และเพิ่งจะเดินออกไปไม่ถึงสองก้าว ก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างก็ยังวนเวียนไปมาอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน กลับเป็นกำลังภายในของจ้านเป่ยเซียวที่ดึงรั้งนางเอาไว้
“มาสนอ๋อง นี่ท่านจะทำอะไร?” เฟิ่งชิงหัวพลางออกแรงที่จะไปทางด้านนอก พลางหันหน้ามาจ้องมองผู้ชายที่ไม่สะทกสะท้านอะไรอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนนั้น
“ที่นี่ก็คือห้องหนังสือ เจ้าคิดว่าจะไปที่ไหนหรือ?”
“อ๋อ ใช่ ข้าลืมไปเลย ข้าก็มัวแต่คิดว่าที่ห้องของข้ามีพู่กันและกระดาษแล้ว ฮ่าๆๆ อาจจะเป็นเพราะวันนี้หัวถูกแดดตากมากไปหน่อย ทำให้ข้าสติไม่ค่อยดีเท่าไร” ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่ บนใบหน้าก็เปี่ยมไว้ด้วยรอยยิ้ม ในใจกลับเปี่ยมไปด้วยน้ำตาแล้วเดินมาทางโต๊ะหนังสือ
จัดวางพู่กันและกระดาษเรียบร้อย ก็เริ่มเขียนออกมาทีละขีดทีละเส้น แล้วก็พลางท่องออกมาด้วยท่าทางส่ายศีรษะไปมา: “หลังจากฟ้ามืดแล้วไม่อนุญาตให้ออกจากจวน ไม่อนุญาตให้ใช้วิชาตัวเบาในจวนอ๋อง ไม่อนุญาตให้ต่อปากต่อคำกับท่านอ๋อง ไม่อนุญาตพูดจาทิ่มแทง ไม่”
เฟิ่งชิงหัวเพิ่งจะเขียนเสร็จไป 1 รอบ ก็ได้ยินเสียงของจ้านเป่ยเซียวดังเข้ามาด้านข้าง: “จะว่าไปความจำของพระชายาก็กลับมาแล้ว? ไม่เพียงแต่จำได้ 1 ข้อ ครึ่งข้อ คิดไม่ถึงว่ายังจำได้ 5-6 ข้อเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็เขียนหลายข้อนั้นที่เจ้าเพิ่งจะท่องมาครู่ออกมา 10000 จบพร้อมกันเลย”
เฟิ่งชิงหัวก็เลยดึงสติกลับมาได้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรที่ไม่เอาไหนออกมาเนี่ย ตาทั้งคู่ค่อยๆ เบิกกว้าง ปากก็อ้าค้างไว้ ท่าทางราวกับก้อนหินก้อนหนึ่งก็ไม่ปาน
เมื่อครู่นี้ทำไมนางปากเสียไปได้ ปากเสียก็ช่างเถอะ พูดอะไรไม่พูด แต่กลับจะพูดกฎตระกูลบ้าบออะไรนั่นไปได้
เฟิ่งชิงหัวเผยออกมาให้เห็นสีหน้าท่าทางที่ยิ้มอย่างขมขื่นออกมา: “ท่านอ๋อง หากข้าจะบอกว่าข้าความจำเสื่อมไปเมื่อครู่……”
ยังไม่ทันพูดจบ จ้านเป่ยเซียวก็ส่งสายตามาทางนางแล้วว่าเป็นการบ่งบอกว่าเจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดไร้สาระของเจ้าหรือ ขัดจังหวะคำพูดของเฟิ่งชิงหัวไปอย่างไม่ไยดีเลย
เฟิ่งชิงหัวดิ้นรนครั้งสุดท้ายด้วยความไม่ย่อท้อ: “ท่านอ๋อง เมื่อครู่ข้าท่องไปแค่ 4 ข้อเอง ไม่ได้มีถึง 5-6 ข้อมากมายขนาดนั้น!”
“อืม” จ้านเป่ยเซียวพยักหน้า