พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 109
บทที่ 109 เข้าใจผิด
Ink Stone_Romance
ฟ้าเริ่มสว่างขึ้น ในห้องคับแคบห้องหนึ่ง จินเกอร์ที่นั่งพิงโต๊ะเตี้ยอยู่บนพื้นหาวออกมา
เสียงกรนดังสนั่นดั่งฟ้าร้องอยู่ข้างกาย ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า กลิ่นเท้า กลิ่นเหงื่อ ผสมปนเปไปกับความหอมหวานเลี่ยนที่มีอยู่ ได้กลิ่นแล้วชวนอาเจียนนัก
จินเกอร์ยกแขนของชายฉกรรจ์ที่ทับขาของตนออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะสังเกตดูรอบๆ
แสงจากนอกห้องส่องผ่านหน้าต่างกระดาษสีแดงเข้ามา ทำให้ในห้องปกคลุมไปด้วยความงดงามอันอ่อนโยน เพียงแต่ชายฉกรรจ์เจ็ดคนที่นอนอยู่บนพื้นในขณะนี้ดูแล้วช่างน่าประหลาดยิ่งนัก
จินเกอร์ค่อยๆ เดินย่องมาหน้าประตู ก่อนจะเปิดออกอย่างระมัดระวัง
ในเรือนนั้นคับแคบ เพดานต่ำ แสนจะธรรมดา แสงแดดส่วนใหญ่สาดส่องไปไม่ถึง บนต้นไม้ บนทางเดิน ต่างแขวนไฟสีแดงที่ยังคงสว่างอยู่ เสียงหัวเราะออดอ้อนเบาๆ ลอยมา จินเกอร์จึงได้มองออกไป เห็นเพียงประตูห้องข้างๆ มที่เปิดอยู่ หนุ่มสาวเสื้อผ้าหลุดรุ่ยกำลังร่ำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์
“นายท่าน พรุ่งนี้ต้องมาอีกนะเจ้าคะ ข้าไม่มีท่านแล้วนอนไม่หลับเลยเจ้าค่ะ”
“คนงาม เจ้าคิดถึงเจ้านั่นของข้าหรือ”
พลางหยอกล้อพลางจูบกัน จินเกอร์เบิกตากว้าง แล้วก็เห็นผิวหนังอันเปลือยเปล่าของหญิงสาวผู้นั้น ตกใจจนปิดประตูดังปัง ใจแทบจะเต้นหลุดออกมา
นี่มันที่อะไรกันนี่…
เสียงดังตึงตังนั้นทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ในห้องต่างก็ตกใจตื่นขึ้นมาทันใด แล้วก็รีบจับข้างเอวของตนด้วยความเคยชิน
“จินเกอร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ตั้งสติได้ก่อน เห็นจินเกอร์สภาพตกใจที่หน้าประตูนั้น ยกตัวขึ้นพร้อมพูดจาเสียงคลุมเครือ
“พี่เจียงหลิน พวกเรารีบไปหานายหญิงของข้ากันเถิด” จินเกอร์รีบกล่าว
เสียงพูดคุยของพวกเขา ทำให้คนตื่นขึ้นมากันเรื่อยๆ
“ฟ้าสว่างแล้วหรือ” ทุกคนกล่าวเสียงคลุมเครือ แล้วลุกขึ้นนั่ง ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดเช่นกัน
มีคนเขย่าไหเหล้าใกล้ตัว แล้วก็โยนทิ้งด้วยความผิดหวัง
“เซี่ยงชีคนเนรคุณ ตอนที่ลำบากพูดเสียดิบดี มาวันนี้กลับให้เงินไม่กี่ตำลึงแล้วไล่พวกเราไป เห็นพวกเราเป็นขอทานกันหรืออย่างไร” เขาด่าพึมพำ “เงินแค่นี้ พอแค่นอนในซ่อง ยังไม่พอจะเที่ยวผู้หญิงเลย”
“บอกว่าเราเป็นทหารหนีทัพเป็นคนมีความผิดติดตัว อย่าได้คิดจะกลับเข้ากองทัพอีก กลับบ้านไปทำนาเสีย” อีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นนั่งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเราไปหาเขาทำไมกันล่ะ ก็เพื่อรื้อคดีมิใช่หรือ เจ้าโจรชั่วบีบบังคับให้พวกเราต้องหนีออกมา ก็เพื่อจงใจจะให้พวกเรามีความผิดฐานหนีทัพ เขาบอกว่าจะรื้อคดีให้พวกเรา แต่กลับไล่พวกเราออกมาเช่นนี้”
ชายหนุ่มที่นอนเอามือรองหัวอยู่บนพื้นนั้นยิ้มเล็กน้อย
“เซี่ยงชีทำเช่นนี้ ก็นับว่าทำดีที่สุดแล้ว” เขากล่าว
บนใบหน้าหนวดเครารุงรัง ยังคงเป็นสภาพที่ยังคงสกปรกเช่นเดิม แต่น้ำเสียงหนักแน่น พูดจาเชื่องช้า มีความสุขุมที่ไม่เหมือนกับพวกคนเมื่อครู่เหล่านั้นอย่างชัดเจน เป็นคนป่วยที่เคยเรียนหนังสือมาบ้างผู้นั้น
“พี่สาม เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ ตอนนั้นหากมิใช่เพราะพวกเรา เซี่ยงชีก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แล้วยังจะมาแต่งเข้าบ้านตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง เป็นขุนนางได้อย่างไรอีก” ชายฉกรรจ์ข้างๆ จ้องตาเขม็งกล่าวอย่างไม่พอใจ
“นั่นสิ ตอนนั้นบ้านตระกูลต่งนั้นชอบพอพี่สามนะ แต่พี่สามรู้ว่าเซี่ยงชีชอบแม่นางตระกูลต่ง จึงได้จงใจปฏิเสธ…” ชายหนุ่มอีกคนก็กล่าวเช่นกัน
พี่สามหัวเราะ แล้วเก็บมือลุกขึ้นนั่ง ท่าทางว่องไว
“เขาไม่ได้ส่งพวกเราให้ทางการ ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณแล้ว เรื่องไม่เกี่ยวกับตน ใครจะยอมออกหน้า โลกใบนี้ก็เป็นเช่นนี้อย่าได้ถือสาไปเลย” เขากล่าว
“ใครจะยอมออกหน้าหรือ” ชายฉกรรจ์กล่าว แล้วเหลือบไปเห็นจินเกอร์ที่ยืนเหม่อลอยอยู่ข้างๆ ชะงักไปสักพักแล้วเหมือนว่าจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นใคร “เอ๊ะ นายหญิงที่ช่วยชีวิตผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ”
พูดถึงนายหญิง คนในห้องต่างก็ตั้งสติได้ แล้วก็หันมามองจินเกอร์
“นั่นสิ นั่นสิ ไม่คิดว่าจะหานายหญิงเจอได้ราบรื่นเช่นนี้”
“เจ้าเด็กนี่บอกว่านายหญิงหายไปมิใช่หรือ”
พี่สามหยุดทุกคนไม่ให้พูดต่อ แล้วมานั่งลงตรงหน้าจินเกอร์
“จินเกอร์ เจ้าลองคิดดูอีกทีว่าเรือนอาศัยของนายหญิงเจ้าเป็นเช่นไร พวกเราออกไปตามหากันอีกครั้ง” เขากล่าวอย่างเชื่องช้า
จินเกอร์พยักหน้ากำลังจะเอ่ยปากพูด ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าประตูก็รีบส่งเสียงบอกให้เงียบขึ้นมากระทันหัน
ในห้องที่วุ่นวายก็เงียบลงทันที
“พี่ใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง” มีคนเอ่ยถามเสียงเบา
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าประตู มองออกไปจากช่องประตูนั้นสีหน้าตึงเครียด แล้วหันหน้ากลับมา
“มีทหารกำลังค้นหาอะไรอยู่” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา “หรือว่า เซี่ยงชีเขา…”
คนในห้องลุกขึ้นยืนทันใด สีหน้าคร่ำเครียด
“สูงเท่านี้ สำเนียงเจียงโจว” ทหารหน้าประตูเรือนกล่าวพลางทำไม้ทำมือ แล้วนำภาพร่างในมือยื่นให้แม่เล้าดู
แม่เล้ารีบยื่นหน้าเข้าไปดูอย่างตั้งใจ
“เหมือนจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง” นางกล่าว
สาวโสเภณีปอยผมตกที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นก็เข้ามาดูเช่นกัน
“เอ๊ะ เขานี่ล่ะ” นางตะโกนกล่าว “มาเมื่อคืน ถูกกลุ่มชายหนุ่มลากมา หน้าตาเหมือนร้องไห้มาด้วย”
เหล่าทหารดีใจกันใหญ่
หากันมาทั้งคืน ในที่สุดก็มีเบาะแสแล้ว
“ชายหนุ่มพวกนั้นดูหน้าตาดุร้าย มาเที่ยวซ่องก็ไม่มีเงิน สั่งแค่เหล้ามากิน” สาวโสเภณีเห็นเหตุการณ์ก็รีบกล่าว เมื่อนึกถึงเมื่อคืนที่ไม่ได้แขกสักคน เสียเวลากับชายหนุ่มพวกนี้แล้ว เวลานี้เมื่อเห็นทหารมาตามหา ก็รีบใส่ไฟใหญ่ “เด็กคนนั้นถูกพวกเขาจับตัวไว้ หดตัวอยู่มุมผนังร้องไห้อยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าจับตัวมาหรือไม่…”
ชายหนุ่ม ดุร้าย เด็กร้องไห้ เที่ยวซ่องแต่ไม่ให้หญิงสาวมารับรอง
เหล่าทหารคิดเชื่อมโยงเรื่องไม่ดีขึ้นมาในทันใด
เด็กคนนี้ถึงแม้บนภาพวาดนั้นจะดูไม่เท่าไร แต่ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ทำให้คนในเมืองหลวงจำนวนมากมายต้องออกตามหาไม่หยุดหย่อน ทหารระดับล่างไม่รู้รายละเอียด แต่ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับบ้านของท่านอำมาตย์เฉินด้วย ท่านชายของบ้านตระกูลเฉินหลายท่านเมื่อคืนก็ออกตามหาด้วยเช่นกัน
น่าจะเป็นท่านชายสูงศักดิ์บ้านใดหายตัวไปกระมัง
ท่านชายสูงศักดิ์บ้านตระกูลคนร่ำรวย ผิวเนียนละเอียด…
เหล่าทหารมองตากัน กดดาบพกในมือเอาไว้ แล้วเดินถอยไปอย่างช้าๆ
โอกาสในการสร้างผลงานมาถึงแล้ว!
“ตรอกจินเถียนหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยถาม แล้วมองดูบ่าวติดตามที่มารายงาน
“ขอรับ ท่านชาย คนของทางการและกองบัญชาการต่างก็ไปกันแล้วขอรับ” บ่าวติดตามกล่าวอย่างดีใจ
สาวใช้จับแขนเฉิงเจียวเหนียงอย่างดีใจ
“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ หาเจอแล้ว หาเจอแล้วเจ้าค่ะ” นางตะโกนกล่าว แล้วก็ประหลาดใจขึ้นมา “เจ้าหมอนี่ ทำไมถึงไปที่นั่นได้ล่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงมองนาง
“นั่นเป็น ซอยหอนางโลมเจ้าค่ะ” สาวใช้เข้าใกล้แล้วอธิบายเสียงแผ่วเบา
“ขอรับนายหญิง ตามที่คนของทางการบอก จินเกอร์เหมือนว่าจะถูกคนจับไปขอรับ” บ่าวผู้ติดตามรีบกล่าว
“ถูกจับตัวไปหรือ” สาวใช้ตกใจแล้วก็ตึงเครียดขึ้นมา “เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเจ้าต้องบอกให้พวกเขาระวังเสียหน่อย อย่างบีบบังคับจนคนร้ายทำร้ายจินเกอร์”
หน้าประตูซ่องในตรอกจินเถียนเวลานี้ก็มีเหล่าทหารมารวมพลกันมากขึ้น
แม่เล้าชี้ทางให้พวกเขาด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา เหล่าทหารเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
ยืนนิ่งอยู่นอกประตู แล้วเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงกรนในห้องอยู่รำไร
สาวโสเภณีบอกว่าคนเหล่านี้เมื่อคืนมาเสียดึกดื่น อีกยังดื่มเหล้าจนเกือบสว่างจึงจะนอน คิดว่าจะต้องเมาหลับอยู่เป็นแน่
เหล่าทหารยืนเตรียมพร้อม เหลือบมองตากัน ชูดาบในมือขึ้น ส่งเสียงตะโกนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงในทันใด แล้วถีบประตูออกพุ่งกระโจนเข้าไป
“ทหารปฏิบัติหน้าที่ หากยอมมอบตัวจะไม่สังหาร”
ในห้องนั้นมีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้น แล้วเสียงตะโกนก็หายไปในทันใด เหล่าทหารหันมามองหน้ากัน
ในห้องนั้นว่างเปล่าไร้เงาผู้คน หน้าต่างด้านหลังเปิดอ้าอยู่ กระดาษถูกเจาะเสียหาย เมื่อลมพัดมาก็ส่งเสียงเหมือนเสียงกรน
“หนีไปแล้ว!”
“เป็นโจรจริงด้วย!”
“รีบตามไป!”
ชายหนุ่มยื่นหน้ามาดูตรงหน้าปากซอย แล้วโบกมือให้คนทางด้านหลัง คนกลุ่มนั้นก็ออกมาอย่างว่องไว
“เมืองหลวงนี่ทำไมมีตรอกซอกซอยมากมายนัก ประตูเมืองอยู่ทางไหน” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกล่าวเสียงเบา
“ตอนนี้ไปประตูเมืองไม่ได้ ตรงประตูเมืองจะต้องมีคนรอจับอยู่เป็นแน่” พี่สามที่เดินอยู่ด้านหน้ากล่าว
“น้องสามพูดถูก” พี่ใหญ่ที่เดินอยู่ด้านหลังกล่าวพลางเหลียวซ้ายแลขวา
เดินผ่านซอยนี้ไป ก็มาถึงตลาดอันคึกคัก ในยามเช้าตรู่เช่นนี้ตลาดนี้คึกคักยิ่งนัก คนที่เดินอยู่ในซอยนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นกลุ่มคนเจ็ดคนนี้ และเด็กโตคนหนึ่ง ต่างก็มองมาด้วยความสงสัย
พวกเขาต่างก้มหน้าก้มตา ไม่ทันได้ระวังว่าพี่สามด้านหน้าจะหยุดเดิน จึงเดินชนเข้าไป
“อยู่ทางนั้น!”
บนท้องถนนมีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านไป ทันใดนั้นก็เห็นคนทางนี้ จึงตะโกนขึ้นมาทันใด
“รีบไป” พี่สามตะโกน
ทุกคนรีบหันหลังกลับ
จินเกอร์ตกใจจนเหม่อลอยไป นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ หลงทางแล้ว วันนี้ยังจะถูกทางการไล่จับอย่างไร้สาเหตุอีก
“จินเกอร์ไปกับพวกเราจะพลอยถูกจับไปด้วย หาที่ทิ้งเขาเอาไว้” พี่ใหญ่กล่าว
“พี่เจียงหลิน” จินเกอร์ตะโกนเสียงสั่นเครือ
“ถึงแม้เจ้าจะหลงทาง แต่นายหญิงของเจ้าจะต้องตามหาเจ้าเป็นแน่ ขอเพียงเจ้ายังอยู่ในเมืองหลวง อย่างไรเสียจะต้องหาเจ้าจนเจอ หากเจ้าพลอยโดนจับไปกับพวกข้า เข้าคุกไปแล้ว เช่นนั้นก็คงจะไม่ได้พบนายหญิงของเจ้าอีก” พี่สามกล่าว แล้วเดินไปอย่างเร่งรีบ
จินเกอร์ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ววิ่งตามไป
“ทางนั้นมีกองฟืน เจ้ารีบไปหลบทางนั้นเร็ว” พี่ใหญ่เหลือบไปเห็นด้านข้างรีบกล่าวเสียงเบา แล้วผลักจินเกอร์ออกไป
จินเกอร์หวาดกลัวกำลังจะก้าวขาออก แต่กลับเห็นว่าทางนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งมาเช่นกัน
“อยู่นี่ หาเจอแล้ว!” พวกเขาตะโกนเสียงโหวกเหวก ชูอาวุธวิ่งกรูเข้ามา
ตอนนี้ถึงจะแยกกันแล้วจินเกอร์ก็หนีไม่พ้นแล้ว พี่สามรีบยื่นมือไปดึงตัวจินเกอร์กลับมา
“ปีนกำแพงเข้าไป” เขาตะโกน
ทั้งเจ็ดคนรีบปีนกำแพงที่ใกล้ที่สุดขึ้นไป
พี่สามยกจินเกอร์ขึ้นไป ชายหนุ่มที่ขึ้นไปก่อนหน้าก็ยื่นมือมาดึงไว้ แล้วปีนข้ามกำแพงไป
กลุ่มคนที่กรูเข้ามาทั้งสองด้านนั้นล้อมเรือนนี้ไว้อย่างแน่นหนา
“เจ้าจะไปที่นั่นทำไม!” ท่านชายโจวหกยื่นมือมาดึงแขนเฉิงเจียวเหนียงไว้แล้วเลิกคิ้วตะโกนขึ้นมา
เฉิงเจียวเหนียงหันหน้ามามองเขา
“ไปดู” นางกล่าว
“ดูอะไรกัน เจ้ารออยู่ที่นี่ อย่าวุ่นวาย” ท่านชายโจวหกกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขาอีกครั้ง สายตาก็พิจารณาอย่างตั้งใจ เหมือนกับสังเกตพิจารณาหนุ่มน้อยเปล่าเปลือยแบกกิ่งไม้รับโทษในครั้งนั้น
ท่านชายโจวหกรู้สึกว่าในมือนั้นร้อนผ่าว รีบปล่อยมือในทันที
“เจ้า โง่เช่นนี้มาตลอดเลยหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“เจ้าสิสติไม่สมประกอบ!” ท่านชายโจวหกหนังหน้ากระตุก กัดฟันจ้องตาเขม็งแล้วกล่าวขึ้น
“ใช่ ข้าสติไม่สมประกอบแต่แรกแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงละสายตามาแล้วยกเท้าก้าวออกไป “เพียงแต่ ข้าไม่โง่”
จินเกอร์ขดตัวอยู่มุมห้อง สีหน้าทั้งหวาดกลัวทั้งสับสน
ชายฉกรรจ์ด้านหน้านี้คุ้มครองอย่างแน่นหนา ส่วนครอบครัวบ้านนี้ก็เบียดตัวร้องไห้กันในอีกมุมหนึ่ง
ข้างนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“…พวกเจ้าอย่าได้กลัวไป พวกข้าไร้หนทางจึงต้องเข้ามาหลบซ่อน ใช้พวกเจ้าเป็นตัวประกัน เพียงแค่อยากจะยื้อเวลาเท่านั้น ไม่ทำร้ายพวกเจ้าแน่นอน” พี่สามพูดกับคนครอบครัวนี้เสียงแผ่วเบา
แต่ว่าคำปลอบประโลมเช่นนี้ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
“ท่านวีรบุรุษ ไว้ชีวิตด้วย ท่านวีรบุรุษไว้ชีวิตด้วย” คนทั้งครอบครัวนี้ร้องไห้จนเนื้อตัวสั่นเทา
“น้องสาม หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว เจ้าพาจินเกอร์หนีไป” พี่ใหญ่กล่าว
“ให้ปั้งฉุยพาเขาไปเถิด” พี่สามส่ายหน้า “ร่างกายข้าไม่ไหว พาไปไม่ได้”
“ข้าไม่ไป!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งรีบตะคอก ในมือก็ถือใบมีดที่หักเอาไว้
หลังจากที่ด้านนอกนั้นเงียบไปชั่วคราว ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“คนข้างในฟังไว้ มอบตัวคนออกมา จะไม่เอาโทษอันใด” มีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา
แน่นอนว่าไม่มีใครตอบเขา
ชายหนุ่มคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับ
“ช่างแปลกเสียจริง พวกเขาให้พวกเรามอบตัวคนออกมา บ้าไปแล้วหรือ ให้พวกเราปล่อยใครกันเล่า พวกเราจะมอบตัวเองออกไปได้อย่างไร” เขาเอ่ยถาม
พี่สามขมวดคิ้ว
ส่วนเวลานี้หน้าประตูนั้นก็ได้ปิดถนนทั้งสายแล้ว บนถนนก็ติดขัดเบียดเสียด ผู้คนถกเถียงกันเซ็งแซ่
“…หัวขโมย…”
“…โจรป่าร้อยศพ…”
การคาดเดาต่างๆ แพร่กระจายไปในกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าว่าอะไรนะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
ขุนนางที่อธิบายสถานการณ์การเผชิญหน้าในขณะนี้ให้ท่านชายโจวหกอยู่ทางนั้นหันมามอง
หญิงผู้นี้มาที่นี่ทำไมกัน
ตามติดอยู่ข้างกายท่านชายโจวหก คือ…ใครกัน
แต่ท่านชายโจวหกก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะขัดขวางหรือจะตำหนิแต่อย่างใด แต่แค่หันหน้าไป ขุนนางก็เข้าใจแล้ว
“…จับตัวคนในครอบครัวทั้งสี่คนเอาไว้ ทุกคนไม่กล้าบุกโจมตีด้วยกำลังขอรับ” เขากล่าวอย่างนอบน้อม
“บอกกับพวกเขาว่า ขอแค่มอบตัวคนออกมา จะไม่ถือสาหาความอะไรเลย” สาวใช้รีบกล่าว “ให้เงินก็ได้”
ประเด็นคือตอนนี้ ถึงจะพูดคำพูดพวกนี้ คนข้างในนั้นก็ไม่เชื่อ…
เรื่องเหล่านี้ เหล่าหญิงสาวไม่เข้าใจหรอก
ขุนนางพยักหน้าแล้วขานรับ
“คนที่พบพวกเขา ในตอนแรก พูดว่าอย่างไร ข้าจะ พบคนผู้นั้น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ที่นี่ไม่ไกลจากตรอกจินเถียนนัก ไม่นานแม่เล้าก็ถูกนำตัวมา
“พวกข้าก็ไม่รู้นี่ พวกข้าเปิดร้านทำการค้า ใครมาก็ต้องรับรอง ไม่รู้จริงๆ ว่าคนพวกนี้เป็นโจรลักพาตัวนี่…” แม่เล้าร้องทุกข์ไม่หยุด แล้วร้องไห้โวยวาย
“คนพวกนี้หน้าตาเป็นเช่นไร” เฉิงเจียวเหนียงขัดจังหวะนาง
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว พูดดีๆ” สาวใช้มองดูแม่เล้าคนนั้นแล้วตะคอกใส่ แล้วถามคำถามที่เฉิงเจียวเหนียงถามไปอีกครั้งหนึ่ง
ดุอะไรกันเล่า…
แม่เล้าเบะปาก
“ก็ไม่มีอะไร เป็นคนเมืองอื่น ท่าทางดุร้าย ตัวสูงใหญ่ ไว้หนวดเครา ตอนนั้นเด็กคนนั้นก็ร้องไห้แล้ว คนพวกนั้นยังขู่อีกว่า อะไรนะ ห้ามร้องไห้ ถึงร้องอีกก็หานายหญิงเจ้าไม่เจอหรอก…” นางกล่าว พลางแต่งเสริมเติมเรื่อง ต้องบรรยายพวกโจรชั่วร้ายนี้ให้โหดร้ายเสียหน่อย ถึงเวลาจะได้ดูเหมือนว่าพวกนางถูกบีบบังคับจะได้ไม่ต้องรับโทษ
“กี่คน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถามขึ้นขัดจังหวะนาง
“น่าจะเจ็ดคน…” แม่เล้านึกอยู่สักพักแล้วกล่าวขึ้น
ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงก้าวเท้าเดินมายื่นมือผลักนางไป แล้วเดินตรงเข้าไปในซอย
สาวใช้ชะงักไปแล้วเดินตามไปอย่างไม่ลังเล ท่านชายโจวหกก็เดินมา ยื่นมือไปดึงแขนนางไว้
“เจ้าเอาแค่พอประมาณนะ” เขากล่าวกัดฟันเสียงแผ่วเบา
“โง่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“เจ้าฉลาดนักล่ะ!” ท่านชายโจวหกมองดูนางแล้วกัดฟัน
“นั่นไม่ใช่การลักพาตัว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “นั่นคือการช่วยเหลือ”
ท่านชายโจวหกชะงักงันไป
ส่วนอีกด้านหนึ่งของเรือน พี่สามก็ตบขาขึ้นมาทันใด
“โอ้ย!” เขาตะโกน “เข้าใจผิดกันแล้ว!”
ทุกคนต่างก็มองมา
“เข้าใจผิดอะไรกัน” พี่ใหญ่เอ่ยถาม
“เปิดประตู” พี่สามไม่ทันได้ตอบกลับก็รีบตะโกนขึ้น
ทุกคนต่างก็ชะงักงันไป
“พี่สาม พวกเราจะยอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้นะ!” คนกลุ่มนั้นจ้องตาตะโกนขึ้น
พี่สามส่ายหน้า เดินไปยังหน้าประตู
“ไม่ได้ยอมแพ้ เข้าใจผิดกันแล้วต่างหาก!” เขากล่าวพลางตะโกนขึ้นมาเสียงดังอีกครั้ง
“เปิดประตู!”
ครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงเสียงเขาคนเดียว ด้านนอกก็มีเสียงหญิงผู้หนึ่งดังขึ้น
เมื่อเสียงดังขึ้น ก็เงียบสงัดลง
“เปิดประตู”
ทั้งด้านนอกด้านในก็กล่าวขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
จินเกอร์ที่ขดตัวอยู่มุมห้องมาตลอดยืนขึ้นมาในทันที
“นายหญิง!” เขาตะโกนแล้วลุกขึ้นวิ่งออกไปข้างนอก
พี่สามก้าวเข้าไปก้าวใหญ่แล้วเปิดประตู มองดูหญิงสาวที่ยืนอยู่นอกประตูนั้นสวมใส่เสื้อคลุมอยู่เหมือนทุกที
มองดูกันและกัน
ชายหนุ่มทนไม่ไหว หัวเราะขึ้นมาก่อน
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มที่มุมปาก แล้วก้มหัวให้เล็กน้อย
ท่านชายโจวหกที่ตามติดมาด้านหลังนั้นเห็นฉากนี้เข้า ก็มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาอีก
………………………………………………….