พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 113
พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง – บทที่ 113 อาจรู้จัก
เมื่อออกมาจากประตูชั้นนอก สาวใช้เห็นรถม้าถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วก็กลั้นหัวเราะ
“ท่านชายหก ท่านจะมาเป็นสารถีให้นายหญิงของข้าอีกแล้วหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถาม
ท่านชายโจวหกหันหน้ามามองนางเพียงครู่ แต่แล้วสายตากลับจ้องมองไปยังเฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่ข้างกายนาง เขามองเพียงพริบตาเดียวก็หันกลับ ก่อนจะสะบัดแส้ม้าในมือโดยไม่พูดสิ่งใดออกมา
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอะไรเหมือนเช่นเคย จากนั้นก็ให้สาวใช้ช่วยพยุงขึ้นรถม้า
เมื่อรู้ข่าวว่าเฉิงเจียงเหนียงจะมาเยือน ทั้งนายทั้งบ่าวตระกูลเฉินต่างดีใจไม่น้อย
เหล่าท่านชายตระกูลเฉินเมื่อได้ยินข่าวก็ออกมายืนออกันเต็มหน้าประตู แต่พอเห็นว่าเป็นท่านชายโจวหกที่นั่งรถม้ามาก็หัวเราะไม่ออก
“ท่านชายโจวหกจะเข้าไปดื่มชาด้านในก่อนหรือไม่”
“อย่าเลย ท่านชายหกต้องเฝ้ารถม้า เดี๋ยวจะทำคนหายอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดเย้ยหยันเหล่านั้น ท่านชายโจวหกก็ทำเสียงฮึดฮัดออกจมูก ไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิดก่อนจะบังคับรถม้าออกไป
เฉิงเจียวเหนียงมิได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูแต่อย่างใด เมื่อเข้ามาถึงประตูชั้นในก็มีเหล่าหญิงสาวคอยต้อนรับอย่างอบอุ่น ส่วนตันเหนียงก็วิ่งเข้ามาหาทันที
“ท่านพี่” นางโผเข้าหาแล้วเขย่าที่แขนเฉิงเจียวเหนียง “ท่านปู่กับข้าคิดถึงท่านนัก”
“อย่าคิดถึงข้าเลยจะดีที่สุด” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ขณะเดียวกันสาวใช้พยุงฮูหยินเฉินออกมา เฉินเจียวเหนียงแสดงความเคารพ
“ข้าตั้งใจว่าจะเชิญเจ้ามาที่บ้านอยู่พอดี” นางกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปด้านในพร้อมเฉิงเจียวเหนียง
หญิงสาวคนอื่นๆ เดินตามอยู่ด้านหลัง ทั้งมองเครื่องแต่งกายและทรงผมของเฉิงเจียวเหนียงอย่างละเอียดไปพลาง กระซิบคุยกันไปพลาง
“เหตุใดนางถึงพูดว่าอย่าคิดถึงนางเล่า” มีคนหนึ่งกระซิบถาม “หยิ่งจองหองขนาดนั้นเชียวหรือ”
แล้วก็หันไปมองหน้านาง
“แม่นางเฉิงนางเป็นหมอ ใครจะคิดถึงหมอกันเล่า” นางกล่าว
เหล่าบรรดาหญิงสาวตะลึงไปชั่วครู่ อดไม่ได้ที่จะปิดปากหัวเราะ
“แม่นางนี้ พูดมากกว่านี้อีกสักประโยคจะเป็นไรไป” เหล่าบรรดาหญิงสาวหัวเราะกันเบาๆ
“ข้าว่าปกติพวกเราพูดมากเกินไปแล้ว พูดมากเป็นสิบประโยค แท้จริงแล้วพูดเพียงประโยคเดียวก็ได้ใจความแล้ว” แม่นางที่พูดก่อนหน้านี้กล่าว
“แต่หากมีคนไม่เข้าใจที่นางพูด ก็อาจเข้าใจผิดได้” มีคนที่ไม่เห็นด้วยเอ่ยออกมา
“เข้าใจผิดแล้วอย่างไร” แม่นางผู้นั้นหันหน้ามามอง
แม่นางผู้นั้นพูดย้อนให้นางเสียหน้า
เข้าใจผิดแล้วอย่างไร หากมีคนป่วยก็ต้องขอร้องให้นางรักษามิใช่หรือ
“จะว่าไป หากคนที่เข้าใจนางก็จะเข้าใจในสิ่งที่นางพูด คนที่ไม่เข้าใจนางก็ไม่เห็นต้องสนใจเลย” หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยต่อพลางมองไปที่นางซึ่งกำลังเดินเข้าไปเรือนของนายใหญ่เฉินพร้อมกับท่านแม่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา”
เฉิงเจียวเหนียงเก็บมือ
เฉินเซ่าและฮูหยินพอเห็นนางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ส่วนนายใหญ่เฉินกลับรู้สึกผ่อนคลาย
“ยานี้ ให้ท่านกินอีกห้าวัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองไปที่สาวใช้
สาวใช้เตรียมพู่กันกับหมึกเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นนายหญิงมองมาก็ถือพู่กันไว้รอเขียน
“อีกห้าวัน เปลี่ยนเป็นยาชุดนี้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้ทำหน้าที่จดชื่อยาแล้วส่งให้แก่เฉินเซ่า
เฉินเซ่ารับมาก่อนจะกล่าวขอบคุณ
“เจ้าอยากทานอะไรหรือ ข้าจะให้ทางครัวเตรียมไว้ให้” ฮูนหยินเฉินยิ้มถาม
“ขอบคุณท่านมาก” เฉิงเจียวเหนียงขอตัวลากลับก่อน “ข้ามีธุระต้องไปทำอีก”
เฉินเซ่าและฮูหยินรู้สึกเสียดายนัก อยากจะขอให้นางอยู่ต่อแต่นายใหญ่เฉินยกมือห้ามไว้
“หากเจ้าว่าง ก็เชิญมานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ อย่าคิดว่าเป็นคนอื่นคนไกลเลย” เขากล่าว
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าตอบรับ
“ได้” นางกล่าวพร้อมคารวะก่อนเดินออกไป
ฮูหยินเฉินเดินออกไปส่งนางด้วยตนเอง
ตันเหนียงที่เพิ่งกลับเข้ามาหลังจากถูกไล่ให้ออกไปขณะที่กำลังจับชีพจร แต่พบภายในห้องมีเพียงนายใหญ่เฉิน เฉินเซ่าและนายเฉินสี่เท่านั้น
“เหตุใดพี่สาวถึงไปเสียแล้วล่ะ” ตันเหนียงเสียใจยิ่งนัก เขย่าแขนท่านปู่อย่างอดไม่ได้ “ท่านปู่ พวกเราเชิญพี่สาวมาอีกได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ตันเหนียงอย่างอแง” เฉินเซ่าส่ายหน้า
นายใหญ่เฉินปลอบใจหลานสาว
“นางไม่ชอบมาบ้านคนอื่น รอปู่หายดีก่อน ปู่จะพาเจ้าไปหานางเอง” เขากล่าว
ตันเหนียงพยักหน้าดีใจ
“ท่านพ่อ นี่คือบทกวีห้าอักษรที่เป็นที่ร่ำลือในเพลานี้ขอรับ” นายเฉินสี่กล่าวพร้อมกับนำกระดาษใบหนึ่งออกมากางออกอย่างระมัดระวัง
เฉินเซ่าก็รู้สึกสนใจเช่นกัน
“นี่คือตัวหนังสือในวัดเฉี่ยถิงที่ผู้คนร่ำลือในตอนนี้หรือ” เขาเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาเริ่มพูดถึงเรื่องบทกลอน ตันเหนียงก็หมดความสนใจ นางลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไปเล่น แต่พอเดินถึงหน้าประตูก็ได้ยินว่าวัดเฉี่ยถิงจึงหยุดเดินแล้ววิ่งกลับมา
เพียงตัวอักษรไม่กี่ตัวก็ทำให้คนสนใจได้
“นี่คือกลอนที่ข้าแต่ง! ”
ภายในห้องยังไม่ทันจะมีใครเอ่ยขึ้น จู่ๆ ก็มีเสียงของเด็กหญิงโพล่งออกมา
เฉินเซ่าและทั้งสามหัวเราะ
“ตันเหนียงแต่งเองหรือ” นายเฉินสี่ถาม “ยอดเยี่ยมจริงๆ ”
“ใช่แล้ว ข้าเป็นคนแต่งเอง แม่นางเฉินช่วยข้าปรับนิดหน่อย” เฉินตันเหนียงพูดอย่างภาคภูมิใจ
เฉินเซ่าส่ายศีรษะหัวเราะ
“ดี ดี ตันเหนียงก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว” เขากล่าว
ฮูหยินเฉินส่งแขกกลับเข้ามา แล้วโบกมือเรียกตันเหนียงให้ออกมา
“ปีใหม่จะมาถึงแล้ว ผ้าก็มาถึงแล้ว ไปวัดตัวเถิดจะได้ตัดเสื้อกัน” นางกล่าว
เสื้อผ้าใหม่ในวันปีใหม่ดึงดูดให้เด็กน้อยสนใจเสมอ เฉินตันเหนียงดีใจวิ่งออกไป
“ท่านแม่ ข้าจะตัดเสื้อแบบเดียวกับพี่เจียวเหนียง”
เสียงของเด็กน้อยค่อยๆ ไกลออกไป ภายในห้องสามพ่อลูกก็เริ่มดูตัวอักษรอีกครั้ง
“กลอนบนนี้ก็คล้ายคำพูดของเด็กจริงๆ ” เฉิงเซ่ากล่าวพลางครุ่นคิดไตร่ตรอง
แต่เขาก็ไม่คิดว่าสิ่งที่บุตรสาวพูดนั้นจะเป็นความจริง บางที่อาจจะเคยเห็นตัวอักษรพวกนี้ที่วัดเฉี่ยถิง ยังเด็กอยู่เลยแยกไม่ออกว่าตนเองแต่งหรือว่าตนเองเคยเห็นกันแน่
“หากแต่มองเพียงวิธีเขียนตัวอักษรเหล่านี้ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว” นายเฉินสี่กล่าว
นายใหญ่เฉินมองตัวอักษรอยู่นานก็พยักหน้าและถอนหายใจ
“เป็นบทกวีห้าอักษรที่ไม่เคยเห็นจริงๆ ” เขากล่าว “เมื่อนำตัวอักษรมารวมกันแล้วกลับมีความหมายไพเราะ แสดงถึงอารมณ์ทั้งเจ็ด และกามทั้งหกของมนุษย์ ดูเหมือนจะเป็นคนที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่ก็มีบุคลิกอาจหาญเหมือนวัยรุ่น เสียดายที่ลายเส้นพลังของตัวอักษรยังมีไม่มากพอ เลยอาจทำให้เข้าไม่ถึงแก่นแท้”
พูดถึงเพียงเท่านี้ ก็ส่ายศีรษะ ถอนหายใจ
“ตัวอักษรพวกนี้ข้าให้คนไปคัดลอกมา อาจจะคัดลอกมาไม่เหมือนทั้งหมด” นายเฉินสี่กล่าว
“แต่สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนแต่ง” นายใหญ่เฉินก็มองอีกพักใหญ่แล้วเอ่ยถามออกมา
นายเฉินสี่พยักหน้า
“สุดท้ายก็ไม่มีใครออกมายอมรับ” เขากล่าวและทำหน้าเสียดาย “น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก”
“บางทีอาจจะเป็นคนที่สอบคัดเลือกก็เป็นได้ รอให้ถึงปีหน้าเดือนสามก่อน คงจะทราบว่าเป็นใครกัน” เฉินเซ่ากล่าว
มีวิธีการตวัดพู่กันที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ พอถึงเวลาสอบ คนทั่วหล้าจะต้องรู้จักเขาเป็นแน่”
นายใหญ่เฉินและนายเฉินสี่พยักหน้าเห็นด้วย
“คงไม่ใช่แม่นางเฉิงเป็นคนเขียนจริงๆ ใช่หรือไม่” นายใหญ่เฉินจู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ท่านพ่อ คงไม่ใช่ตัวอักษรที่แม่นางเฉิงเขียนหรอกขอรับ” เฉินเซ่าตอบ
ทุกครั้งที่มีการเขียนสูตรยา นางก็ให้สาวใช้เป็นคนเขียน พอได้ฟังจากสาวใช้ที่เคยรับใช้นาง ก็บอกว่าทุกวันสาวใช้จะเป็นคนอ่านหนังสือให้นางฟัง คนไม่รู้หนังสือจะเขียนได้อย่างไรเล่า
นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมา ดูจากตัวอักษรและลายเส้น คนเขียนต้องฝึกเขียนมามากกว่าสิบปีจึงจะเขียนออกมาเช่นนี้ได้ แม่นางเฉิงอายุไม่เกินสิบสี่สิบห้า หรือว่านางฝึกเขียนมาตั้งแต่เกิดเลยอย่างนั้นหรือ
“รอข้าหายป่วยก่อน ข้าจะไปดูด้วยตาของตัวเอง” นายใหญ่เฉินกล่าวพลางดูตัวอักษรไปด้วย
เฉิงเจียวเหนียงเดินออกจากประตู ท่านชายโจวหกที่รออยู่ไม่ไกลนักก็หันหัวม้ากลับมารับ ทำให้เหล่าบรรดาชายหนุ่มตระกูลเฉินที่มารอส่งหญิงงามถึงกับโมโหหงุดหงิด
“กลัวจะถูกขโมยขนาดนั้นเลยหรือ คนส่านซีจากตระกูลโจวช่างไร้มารยาทสิ้นดี” พวกเขากัดฟันพูดพลางมองไปทางหญิงงามขึ้นรถม้าไป ในใจรำพึงรำพัน “ช่างน่าสงสารนัก ช่างน่าสงสารนัก”
สาวใช้กลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรให้น่าสงสาร นางเปิดม่านด้านหน้าแล้วมองไปที่ท่านชายโจวหก
“ท่านชายหกเจ้าคะ รบกวนท่านไปส่งที่เรือนยวี่ไต้เชี่ยวด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
ท่านชายโจวหกมิได้พูดอะไร แล้วบังคับม้าออกเดินทางไป
นั่งไปสักพัก สาวใช้เปิดม่านดูด้านนอก ก็รู้สึกตกใจ
“ท่านชายหกกำลังจะไปที่ใดกันเจ้าคะ” นางเปิดม่านด้านหน้าเอ่ยถาม
หากมองไปตามทางแล้วนี่คือถนนที่มุ่งหน้าไปยังประตูเข้าเมือง ช่วงนี้เป็นฤดูหนาวชาวบ้านพักจากช่วงการทำไร่นา
วันนี้เป็นวันที่ฟ้าเปิดและยังเป็นวันหยุด ผู้คนจึงเดินทางเข้าเมืองกันมากมาย
ถึงสาวใช้ตกใจแต่ท่านชายโจวหกก็มิได้ตอบโต้อะไร นางทำได้เพียงส่งเสียงฮึดฮัดกับตนเองเท่านั้น
“รังแกนายหญิงที่อ่อนแอไม่ทางสู้ของข้าเช่นนี้ คิดว่าเก่งนักหรืออย่างไร” นางเอ่ยพลางสะบัดม่านลงแล้วกลับไปนั่งในรถที่มีแต่ความเงียบ
ท่านชายโจวหกรีบสะบัดแส้ม้า เขายกมือขึ้นตีอย่างแรงเพื่อให้ม้าเร่งฝีเท้า
เมื่อม้าวิ่งมาได้สักพักก็ได้หยุดลง
“ลงรถ ถึงแล้ว” ท่านชายโจวหกกล่าว ขณะที่ยืนอยู่หน้ารถม้า
สาวใช้เปิดม่านขึ้น มองไปสองข้างทางเป็นตลาดที่คึกครื้นนัก
“ท่านชายได้จองที่นั่งไว้ก่อนหรือไม่ขอรับ” บ่าวรีบวิ่งออกมา คนหนึ่งถามอีกคนเตรียมตัวจะดึงรถม้าไป
ท่านชายโจวหกพยักหน้าแล้วแจ้งชื่อ
“เรือนนางฟ้าหรือ” สาวใช้อ่านชื่อธงที่แขวนไว้ แล้วหันหลังกลับมา ”นายหญิง ที่นี้ดูคุ้นๆ นะเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงลงจากรถม้า ก็มองไปรอบๆ
“ท่านชาย แม่นาง เชิญมาทางนี้” บ่าวกล่าวเชิญอย่างนอบน้อม
ท่านชายโจวหกเดินเข้าไปก่อน ขณะเดินเข้าไปภายในร้านก็มีคนเดินออกมา แล้วผลักหญิงสาวคนหนึ่งออกมาด้วย
“นางขอทาน น่าขยะแขยง มาวุ่นวายที่นี่อีกแล้วนะ” บ่าวทั้งหลายรุมด่าทอ
หญิงสาวผู้นั้นอุ้มทารกไว้ โดนผลักออกมาอย่างรุนแรง ผมเผ้ารุงรัง ทารกก็ร้องไห้ไม่หยุด
คนที่อยู่บนถนนรีบถอยหนี กลัวจะเดือดร้อน
“เห็นแก่พ่อของเด็กเถิด เขาทำงานให้ท่านมาทั้งชีวิตแล้ว ให้เงินข้าเถิด เขารอเงินนี้เพื่อจะนำไปรักษาตัว” หญิงผู้นั้นนั่งอยู่กับพื้น แบมือร้องไห้ไม่หยุด
“แม่นางหลี่ เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก สามีของเจ้าไม่ได้มาทำงานสามเดือนแล้ว จะมาเรียกเงินได้อย่างไรเล่า” บ่าวคนหนึ่งตะโกนออกมา “ที่นี่เป็นร้านอาหาร มิใช่โรงทาน”
หญิงสาวอุ้มเด็กร้องไห้ หมอบกราบขอร้องไม่หยุด
“ขอร้องท่านดูแลร้านยืมเงินให้ข้าสักหน่อย…” นางร้องไห้กล่าว
พอมีเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากและคอยจับผิดอยู่ห่างๆ
มีชายที่ผมมันและแป้งเต็มหน้ารีบสาวเท้าเดินออกมานอกร้าน ด้านหลังมีคนเดินตามอยู่สองคน
“ทำอะไรกัน ทำอะไรกัน” เขาตะโกนอย่างโมโห
“ท่านชายเจ็ด ภรรยาของหลี่ต้าเสามาอีกแล้ว…” บ่าวคนหนึ่งรีบกล่าวพลางชี้ไปที่นางที่กำลังร้องไห้อยู่กับพื้น
เมื่อหญิงสาวคนนั้นเห็นเขา ก็รีบลุกขึ้นมา พร้อมกับวิ่งไปอยู่ตรงหน้าแล้วดึงเสื้อของชายคนนั้น
“ท่านชายโต้ว ท่านชายโต้ว ช่วยข้าด้วย สามีของข้าป่วยหนัก ข้าขอร้องท่านให้เงินกับข้าเถิด ข้าจะนำไปรักษาเขา” นางขอร้องอย่างเวทนา “ให้เห็นแก่ที่เขาทุ่มเททำงานกับท่านพ่อของท่านมาเป็นสิบปีเถิด ช่วยชีวิตเขาด้วย”
เมื่อชายผู้นั้นได้ยินก็รู้สึกหงุดหงิด เห็นนางดึงเสื้อเขาเช่นนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกรังเกียจและโมโหมากขึ้นกว่าเดิม จึงยกเท้าขึ้นมาแล้วถีบออกไป
“ออกไป!” ชายหนุ่มตะโกนออกมาก “ทำไมใจดำเยี่ยงนี้ เจ้ากำลังทำลายร้านอาหารของข้า! ”
หญิงสาวถูกถีบออกไป แต่นางอุ้มลูกไว้ไม่แน่นพอ เด็กจึงตกลงกับพื้น
เสียงร้องไห้ของเด็กดังคร่ำครวญ ยิ่งทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกเศร้าสลดนัก
คนเข้าออกร้านไม่หยุดชำเลืองตามอง แม้แต่คนที่อยู่ในร้านยังชะโงกหน้าออกมามอง
“พูดเหมือนร้านข้าต้องพึ่งแรงกายของสามีเจ้าเพียงผู้เดียว ตอนนี้เขาไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วจะมาขอเงินอะไรอีก เจ้าจะมารังควานอะไรกันอีกเล่า” ท่านชายโต้วตะโกน พลางรีบปัดเสื้อของตนไปด้วย
“เจ้า ทำไมทำร้ายผู้หญิงและเด็กเช่นนี้”
ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนออกมา
แม้จะมีเรื่องวุ่นวายแต่ท่านชายโจวหกและเฉิงเจียวเหนียงก็ไม่ได้หยุดดู บัดนี้ได้เดินถึงหน้าประตูทางเข้าร้านแล้ว
โลกนี้มีเรื่องมากมายที่มิได้สมใจหวัง มิใช่ทุกคนจะสมปรารถนา
เสียงชายคนหนึ่งดังมากจากภายในร้าน หลังจากพูดจบ ก็มีท่านชายวัยหนุ่มเดินออกมา ข้างกายมีชายหนุ่มอีกสองคนพยายามจะรั้งเข้าไว้
“หยวนเจา อย่าเข้าไปยุ่งเลย”
ท่านชายวัยหนุ่มผู้นั้นสะบัดแขนที่ดึงเขาไว้ รีบเดินออกมาและเดินเฉียดไหล่ของเฉิงเจียวเหนียงออกไป
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินลง
………………………………………………………..