พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 95
บทที่ 95 ไม่พบ
Ink Stone_Romance
เรือนตระกูลเฉินในยามกลางวันช่างดูเงียบสงบยิ่งนัก แต่ไม่เหมือนกับความเงียบสงัดเพราะบรรยากาศอึมครึมดั่งหลายวันก่อน เนื่องจากนายใหญ่เฉินฟื้นขึ้นมาแล้ว และข่าวคราวที่ว่าสามารถรักษาให้หายได้นั้นก็ทำให้เรื่องซุบซิบนินทาในเรือนตระกูลเฉินเงียบลงไปด้วย
แสงแดดช่างดีนัก เฉิงเจียวเหนียงนั่งอยู่ตรงทางเดิน นางเอนกายพิงโต๊ะเตี้ย ยกมือหนึ่งเกยศีรษะไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ขีดเขียนไปเรื่อยตามใจตน
เหล่าสาวใช้และแม่นมที่นั่งอยู่ด้านข้างต่างพากันกลั้นหายใจไม่กล้าส่งเสียง
ทันใดนั้นมีคนยื่นหน้าเข้ามาจากหน้าประตูเรือน เป็นเด็กหญิงวัยสี่ห้าขวบคนหนึ่ง ท่าทางดูหวาดหวั่นเล็กน้อย นางมองเพียงครู่ก็หดตัวกลับไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยื่นหน้าออกมามองอีก
เหล่าสาวใช้และแม่นมสังเกตเห็นแล้ว แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น
“ตันเหนียง” เฉิงเจียวเหนียงตะโกนเรียกขึ้นมาในทันที
เด็กหญิงเดินออกมาจากหลังประตูเรือนอย่างดีใจในทันใด
“มาหาข้า มีธุระอะไรหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
ตันเหนียงวิ่งเข้ามาใกล้ ก่อนจะถอดเกี๊ยะไม้ออกแล้วนั่งคุกเข่าลง นางมองดูเฉิงเจียวเหนียงแล้วเงยใบหน้ายิ้มแย้มของนางขึ้น
“ไม่มีอะไร” นางเอ่ยพลางส่ายหน้า
เช่นนี้สินะที่เรียกว่าอย่าถือสาคำพูดของเด็ก เหล่าสาวใช้แม่นมต่างก้มหน้าก้มตา ไม่มีอะไรแล้วจะวิ่งมาทำอะไร เหตุใดถึงไม่บอกธุระอะไรไปสักเรื่องก็ได้
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มมุมปาก
“ไม่มีอะไรก็ถูกแล้ว” นางตอบแล้วเปลี่ยนอีกมือมาวาดเขียนแทน
ตันเหนียงมองดูอย่างสนใจ
“พี่สาว พี่ทำอะไรอยู่หรือ” นางเอ่ยถาม
เด็กน้อยพูดจาไปเรื่อยเปื่อย เขาจะทำอะไรก็ช่างเขา หากถามแล้วเขานึกว่ากำลังหัวเราะเยาะเย้ยว่าสติไม่สมประกอบ จะไม่เป็นการหาเรื่องหรือ
“เขียนหนังสือ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ใช้นิ้วมือถูไถไปมาบนโต๊ะเตี้ยนี่เรียกว่าเขียนหนังสือหรือ เพียงเด็กน้อยกระมังที่เชื่อคำพูดเช่นนี้
แม่นมที่นั่งอยู่ข้างๆ บ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงประหลาดใจของเด็กน้อย
“พี่สาวใช้มือซ้ายเขียนหนังสือหรือ” ตันเหนียงกล่าวอย่างตกตะลึง
“จะมือซ้ายมือขวา ล้วนเป็นมือทั้งนั้น ย่อมเขียนได้อยู่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ตันเหนียงพยักหน้าอย่างเข้าใจในทันใด
“อ้อ ใช่ ใช่ นั่นสิ นั่นสิ ทำไมข้าถึงนึกไม่ถึงกัน” นางกล่าว
เพราะว่าเจ้าเป็นเพียงเด็กน้อย ไม่ใช่คนบ้า
เหล่าสาวใช้และแม่นมแทบอยากจะหดหัวเข้าไปในคอเสื้อ
คนบ้าผู้นี้หายดีแล้วหรือยังไม่หายกันแน่ ทำไมพูดจาเพ้อเจ้อป็นเรื่องเป็นราวเช่นนี้
เหตุใดสาวใช้นางนั้นยังไม่กลับมาอีก พวกนางอยู่ตรงนี้จิตใจไม่สงบเอาเสียเลย
ขณะที่เฉิงเจียวเหนียงกำลังพูดคุยกับเฉินตันเหนียงแขกที่มาเยี่ยมอย่างสนุกสนานนั้น เฉินเซ่าก็มีแขกมาเยี่ยมเยียนเช่นกัน
เขานำทางชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกจากห้องของนายใหญ่เฉินมายังห้องรับแขกแล้วนั่งลง
“เช่นนั้นหรือ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มกล่าว ความดีใจเผยขึ้นบนใบหน้า “ฝ่าบาทเป็นห่วงยิ่งนัก”
เฉินเซ่าคำนับ
“ความผิดของข้าน้อยเอง ทำให้ฝ่าบาททุกข์ใจ” เขากล่าวเสียงสะอื้น
“จะเป็นความผิดของเจ้าได้อย่างไรกัน” ชายหนุ่มรีบยื่นมือมาพยุงแล้วส่ายหัวกล่าว “หายก็ดีแล้ว หายก็ดีแล้ว”
เฉินเซ่าพยักหน้า
“ครั้งนี้เชิญหมอที่ใดมากันเล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย
“คนเจียงโจว เคยพบกับท่านพ่อครั้งหนึ่งระหว่างเดินทาง ตอนนั้นนางเคยบอกท่านพ่อว่ามีโรคแฝงอยู่ เพียงแต่ ตอนนั้นไม่ทราบ” เฉินเซ่ากล่าว แฝงไปด้วยความรู้สึกโชคดี
“อ้อ เป็นหมอเทวดาผู้นั้นเองหรือ ที่ยืนห่างกันมิได้สัมผัสก็รู้ถึงโรคภัย” ชายหนุ่มกล่าวอย่างประหลาดใจ
หมอเทวดาอย่างนั้นหรือ ก็น่าอัศจรรย์อยู่จริงๆ เพียงแต่ยังมีความแปลกพิลึกด้วย เฉินเซ่าหัวเราะไม่ได้พูดอะไร
เขาไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรจริงๆ
“ข้าจะขอพบได้หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถามอีก
เฉินเซ่าลังเลไปสักครู่
“พบข้าหรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองดูเฉินเซ่าตรงหน้า สีหน้าแข็งทื่อ “ทำไมหรือ”
เฉินเซ่าไม่รู้จะตอบอย่างไร
“คนผู้นี้เป็นเพื่อนกับข้าในหน่วยราชการ เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันนัก” เขากล่าว
“แล้ว เกี่ยวอะไร กับข้า” เฉิงเจียวเหนียงขัดจังหวะเขาเอ่ยถาม
เฉินเซ่าชะงักงันพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ ไม่ได้หมายความเช่นนี้” เขารีบอธิบายต่อ บนหน้าผากก็เหงื่อตก
นายหญิงผู้นี้ แปลกตรงที่ท่าทางเหมือนกับเด็กหัวรั้นที่ไม่คุ้นเคยทางโลก ทำอะไรตามใจ ไม่คิดถึงผู้อื่น
ทว่าจะมีวิธีใดมาจัดการกับเด็กหัวรั้นเช่นนี้ได้กันนะ
“เขาได้ยินว่านายหญิงมีมีฝีมือดั่งเทพเซียน จึงอยากจะรู้จักเสียหน่อย” เฉินเซ่ากล่าว
“ข้าไม่อยากรู้จักเขา” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวแล้วลุกขึ้น “ข้าจะไปนอนพักแล้ว”
เฉินเซ่าปาดเหงื่อเดินกลับมา
“นายหญิงเฉิง หลังจากฝังเข็มแล้วก็เหนื่อยล้ายิ่งนัก เวลานี้เข้านอนไปแล้ว ช่างบังเอิญเสียจริง” เขากล่าวอธิบาย
ชายหนุ่มหัวเราะ ไม่ได้ใส่ใจอะไร
“อาการป่วยของนายใหญ่สำคัญกว่า คราวหลังค่อยพบแล้วกัน” เขากล่าวพลางลุกขึ้นกล่าวลา
เฉินเซ่ารีบรั้งไว้
“ช้าก่อน” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่พบกันนาน วันนี้เรื่องทุกข์ใจก็คลายลงบ้าง เจ้ากับข้ามาดื่มกันสักแก้ว”
พูดไปก็ถอนหายใจก่อนตบแขนของชายหนุ่ม
“ความทุกข์ใจที่สั่งสมมานานของข้านี้ จะได้ระบายเสียบ้าง” เขากล่าว
เรื่องบ้านเรื่องเมืองล้วนถาโถมอยู่ในใจ หลายวันมานี้เฉินเซ่าทรมานใจไม่น้อย ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ไป เตรียมเหล้า” เฉินเซ่ากล่าว
บ่าวขานรับ
“อ้อ นกขมิ้นนั่นเอามาจานหนึ่งไว้แกล้มเหล้า” เฉินเซ่าเอ่ยสั่งอีก
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็สงสัย
“นกขมิ้นหรือ” เขายิ้มกล่าว “จะมีเนื้อเท่าไรเชียว นำมาทำกับแกล้มเหล้าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ได้อยู่ที่มีเนื้อมากน้อย” เฉินเซ่ายิ้มกล่าวก่อนจะจับแขนเขาเดินเข้าไป “เจ้าลองชิมก็จะรู้”
สาวใช้ยื่นมือมาจับผ้าที่เจ้าของร้านยื่นมาให้
“นี่เป็นผ้าลายที่ดีที่สุดอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว นายหญิงน้อย นี่เป็นผ้าลายม้าบินที่เป็นที่นิยมที่สุดแล้ว” เจ้าของร้านกล่าว
และแพงที่สุดด้วยเช่นกัน
“เช่นนั้นแบบนี้เอามาสักหน่อยก็แล้วกัน” สาวใช้กล่าวพลางพยักหน้า
เจ้าของร้านขานรับอย่างดีใจ พร้อมสั่งให้ลูกน้องตัดผ้า
“แล้วก็เอา…” สาวใช้หยิบกระดาษขึ้นมาดูแล้วพูดว่า “ผ้าเหวยจิ่น มีผ้ารุ่ยจิ่นและกงหลิงหรือไม่”
อะไรนะ
เจ้าของร้านชะงักไป
“เหวยจิ่นหรือ รุ่ยจิ่นกงหลิงหรือ” นางเอ่ยถาม “ไม่เคยได้ยิน”
“เป็นผ้าเมืองสู่” สาวใช้กล่าวตามในกระดาษอีก
“ผ้าเมืองสู่น่ะมี” เจ้าของร้านรีบกล่าว แล้วให้คนงานแบกออกมา “แต่ล้วนเป็นผ้าจิงจิ่นทั้งนั้น”
สาวใช้มองดูในกระดาษ
‘มีก็ดี หากไม่มีจะผ้าอะไรก็ได้’
“เช่นนั้นก็เอาผ้านี้แล้วกัน” นางตบเบาๆ แล้วกล่าว จากนั้นจึงเลือกมาสองสามแบบ
เมื่อเลือกผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วสาวใช้ก็เสร็จงาน นางเดินออกมารอข้างนอกแล้วสังเกตดูบนท้องถนน
“เมืองหลวงคึกคักใช่หรือไม่” พ่อบ้านเฉากล่าว “หากไม่รีบร้อนอะไร ข้าพาพี่สาวเดินเที่ยวเล่นได้”
สาวใช้ยิ้มเล็กน้อย
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ เมืองหลวงนี้ข้าคุ้นเคยยิ่งนัก” นางกล่าว
รอยยิ้มบนใบหน้าพ่อบ้านเฉาค้างไปเล็กน้อย
คุ้นเคยอย่างไร มาครั้งแรกมิใช่หรือ สาวใช้คนหนึ่งของตระกูลเฉิงเคยมาเมืองหลวงด้วยหรือ
“ท่านอาเฉา”
เสียงลอยมาจากด้านข้าง
พ่อบ้านเฉารีบหันไปมอง ก่อนจะส่งเสียงร้อง ‘อ้าว’ แล้วรีบเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“ท่านชายหก” เขาเอ่ยพลางคำนับ จากนั้นจึงหันไปหาหนุ่มน้อยบนเกี้ยว “ท่านชายฉิน”
ไม่รอให้ทั้งสองพูดอะไร เขาก็ชี้ไปทางด้านหลัง
“ข้ามาซื้อของให้นายหญิงเฉิงขอรับ” เขากล่าว
นายหญิงเฉิงหรือ
ท่านชายโจวหกมองดูร้านค้า สายตาก็ตกไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างรถหน้าประตูร้าน
ท่านชายฉินบนเกี้ยวก็มองไปพลางนั่งเหยียดตัวตรง
คนนั้นหรือ
“แม่นางปั้นฉิน” พ่อบ้านเฉารีบตะโกนมาทางนี้
นี่ก็คือเหล่าปั้นฉินที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้นหรือ
ท่านชายฉินมองมาด้วยความสนใจ
“นี่เป็นท่านชายหกของเรา” พ่อบ้านเฉาแนะนำอย่างกระตือรือร้น
สาวใช้มองดูท่านชายโจวหกอย่างประหลาดใจ ท่านชายโจวหกก็มองนางเช่นกัน
สาวใช้กลอกตา ไม่ได้คำนับ ไม่ได้นอบน้อม ทำเพียงยิ้มอย่างเรียบเฉย
“สายมากแล้ว หากพ่อบ้านเฉามีธุระก็ไปทำเถิด ข้าจะกลับไปแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าว สาวใช้ก้มหน้าเล็กน้อยเป็นการคำนับแล้วก็หันกลับเดินไปขึ้นรถ
พ่อบ้านเฉาทำหน้าไม่ถูก ท่านชายโจวหกเองก็สีหน้าคร่ำเครียด มีเพียงท่านชายฉินที่หัวเราะขึ้นมา
“ท่านอาเฉา ลืมคำพูดข้าอีกแล้ว” เขายิ้มกล่าว
พ่อบ้านเฉายิ้มอย่างขมขื่นเล็กน้อย
“ข้าพูดมากเอง” เขากล่าว
“ท่านอา ไปส่งนางกลับก่อนเถิด” ท่านชายโจวหกกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
พ่อบ้านเฉาขานรับแล้วรีบหันกลับเดินตามไป
เขามองดูรถม้าวิ่งโคลงเคลงออกไปจากถนน สาวใช้ผู้นั้นไม่ได้มองกลับมาอีกเลย
“เห็นสาวใช้ผู้นี้แล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร” ท่านชายฉินยิ้มพลางเอ่ยถาม
ปั้นฉิน ปั้นฉิน ก็แค่คน ก็แค่ชื่อเท่านั้น
“เหมือนกับเจอหน้าศัตรูอย่างนั้น” ท่านชายโจวหกกล่าวเยาะเย้ย “ทำไมถึงใช้เงินบ้านข้า ใช้คนบ้านข้าได้สบายใจถึงเพียงนี้”
ท่านชายฉินหัวเราะร่า
“ชายหก ใช้เงินของศัตรู ใช้คนของศัตรู ก็ต้องสบายใจมิใช่หรือ” เขากล่าว
……………………………………….