พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 186 มองใคร
สายตาของผู้ศรัทราจากในอุโบสถต่างพากันมองมาทางเดียวกัน
“กำลังทำอะไรหรือ”
“เหตุใดถึงตั้งหม้อทำอาหารที่นี่”
“หรือมาถวายอาหารเจ”
“ถวายอาหารเจต้องไปตั้งข้างประตูหรือข้างถนนหย่งไม่ใช่หรือ จัดวางเช่นนี้จะให้ใครดูกัน”
“ไร้สาระ แน่นอนว่าต้องถวายเป็นพุทธบูชาสิ”
“เจ้าสิไร้สาระ พระโพธิสัตว์จะให้เงินสักเท่าไหร่เชียว มีแต่พ่อแม่เท่านั้นแหละที่เลี้ยงคนให้เติบใหญ่”
“ใช่ ใช่ คนผู้นี้น่าจะบ้าจริงๆ ”
“บ้าไม่มีใครเกิน คงเพราะไม่มีเงิน มองไปทางเรือนนางฟ้าสิ หม้ออาหารเจใบใหญ่กำลังเดือดได้ที่เลย นั่นแหละถึงจะควรค่าแก่การถวาย!”
เสียงหัวเราะดังขึ้น ปนกับเสียงพิธีกรรมที่เงียบสงบด้านใน
น้ำแกงในหม้อทองแดงกำลังเดือดผุด ยามมองผ่านแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเหมือนกับกระถางธูปทองแดง บ่าวสี่ห้าคนของร้านตักอาหารที่ปรุงสดใหม่วางบนจานเงิน
กลิ่นหอมอบอวบไปทั่วสารทิศ
เพื่อสร้างความคักคึกให้กับพิธีชงชาฌาน ผู้คนมากมายเดินมาตั้งแต่ดึกดื่น ตอนนี้คงทั้งหนาวและหิว ยามได้กลิ่นหอมเช่นนี้ คงดึงดูดผู้คนได้ไม่น้อย
โต้วชียืนลำพองใจอยู่หลังผู้คน
“ของดีสดใหม่ของร้านเราถึงควรข้าแก่การถวาย หากเทียบซากสัตว์ไร้ชีวิตพวกนั้น ของเราน่าดึงดูดกว่าเป็นไหนๆ” เขาเอ่ยแล้วหันมองซ้ายขวา
อีกฝั่งหนึ่งตั้งโต๊ะไม้ยาวไว้หลายตัว บนโต๊ะวางอาหารหลากสีสันไว้เต็มไปหมด แม้ถนนหย่ง
จะทอดยาวออกไป แต่สายของผู้คนกลับจ้องมองมาที่นี่
“ถวายให้พระพุทธเจ้าก่อน ให้พระพุทธเจ้าประทานพรให้ พวกเราเรือนนางฟ้าค่อยนำอาหารนางฟ้าผ่านทางแบ่งให้กับผู้คน”
ผู้ดูแลร้านยืนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงดังลั่น
เสียงนี้เรียกความฮือฮาจากผู้คนได้ไม่น้อย ทุกคนต่างรีบเดินเข้ามาแล้วยกมือขึ้น
เรือนนางฟ้าหรือ เรือนนางฟ้าหรือ
เสียงดังเกรียวกราว ยิ่งดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากขึ้นไปอีก
ทัพพียาวและตะเกียบทองแดงกำลังคลุกเคล้าอาหารในหม้อ ผู้คนที่ยืนมุงอยู่ตื่นเต้นดุจหม้อน้ำเดือดไม่ปาน
ภายในอุโบสถ ชาถ้วยแรกถูกถวายให้แก่องค์ชายใหญ่ที่สวมชุดสีเหลืองอยู่หลังม่านกั้น จากนั้นนักบวชหลายสิบองค์ก็ทำพิธีตามเสียงบรรเลง ขณะที่พระอาจารย์หมิงไห่กำลังแจกจ่ายชาคั่วอยู่
เมื่อได้รับอาหารแล้ว ก็แสดงความขอบคุณตอบ
เสียงของพิธีหยุดลง คนในพิธีส่งเสด็จองค์ชายใหญ่ก่อน แล้วรอจนองค์ชายใหญ่จากไป จึงถือว่าเป็นอันเสร็จพิธี บรรยากาศในอุโบสถจึงเริ่มผ่อนคลาย
ขณะเดียวกันด้านนอกนั้นกลับเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวก ทุกปีล้วนเป็นเช่นนี้ ด้านในอุโบสถต่างก็มิได้ถือสาอะไร
ยามผู้คนเดินออกมาจากอุโบสถ คนที่รออยู่ด้านนอกจึงจะได้เข้าไปกราบไหว้สักการะ
พระอาจารย์หมิงไห่ที่ยืนถูกห้อมล้อมไว้อยู่ท่ามกลางมวลชน พูดคุยยิ้มแย้มพลางเดินออกจากประตูไป
หน้าอุโบสถไม่ได้มีคนมากมายนัก แต่หากมองไปทางถนนหย่งกลับมีแต่คนเบียดเสียดกันอยู่
“วันนี้ดูคึกคักจริงๆ ”
“ปีนี้มีอะไรแปลกใหม่มาถวายหรือ”
คนที่ออกมาต่างยิ้มแย้ม มองไปทางนั้นแล้วพูดคุยเอ่ยถามกัน
“เรือนนางฟ้าน่ะ”
“เรือนนางฟ้าถวายหม้อไฟเจ รอบหนึ่งสามารถกินได้ร้อยคน”
คำพูดนี้ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ดึงดูดให้ผู้คนเข้าไปมุงดู
“นางฟ้าผ่านทางของเรือนนางฟ้ารสชาติไม่ธรรมดา”
“วันนี้หลังจากดื่มชาเสร็จ เราไปนั่งร้านนั้นสักพักดีหรือไม่”
เสียงจากทั่วสารทิศดังไม่หยุด ชายหนุ่มที่สวมเสื้อสีเขียวยืนอยู่ด้านหลังแล้วเผยยิ้มขาว
“ใต้เท้าหลิว ท่านสนใจไปร่วมสนุกด้วยกันหรือไม่” มีคนหันไปถามเขา
ชายหนุ่มยิ้มพลางส่ายหน้า
“ขอบใจ ขอบใจ ที่บ้านข้ามีธุระ ที่บ้านข้ามีธุระ” เขายิ้มเอ่ยพลางแล้วยกมือบอกลา
เมื่อมองเห็นชายหนุ่มเดินจากไป หลายคนก็หันมายิ้มให้กันเอง
“น้อยครั้งนักที่ราชเลขาหลิวจะมากินข้าวนอกบ้าน ได้ยินว่าบ้านเขาจะใช้ปลาเค็มปรุงอาหาร” มีคนหัวเราะพลางเอ่ย
“ยากจนถึงเพียงนั้นเชียว” มีคนเบ้ปากเอ่ย
“เจ้ามองไปที่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่สิ นี่ก็ใส่มากี่สิบปีแล้ว ไปงานพิธีก็ใส่แต่ตัวนี้” อีกคนก็หัวเราะยามเอ่ยถึง
ผู้คนพูดคุยกันสนุกสนาน ผู้คนที่ล้อมพระอาจารย์หมิงไห่อยู่ก็เริ่มพากันขอตัวลา แต่เมื่อกำลังจะเดินจากไปก็มีคนรั้งไว้อีก
“ท่านพระอาจารย์” นายใหญ่เฉินเอ่ย “วันนี้มีอาหารเจไม่น้อย ท่านดูตรงนี้ก็มีอีกร้านหนึ่ง”
พระอาจารย์หมิงไห่หัวเราะขึ้น แล้วมองไปทางนายใหญ่เฉินอย่างมีความหมาย ก่อนมองไปตามทางที่เขาชี้
บันไดหน้าประตูอุโบสถ มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้ยาว โน้มตัวจุ่มมือลงไปในชามใบใหญ่
เพราะคนที่มุงดูต่างเข้าไปแย่งอาหารที่นำมาแจก ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าเขายืนอยู่ลำพัง
“นี่คือ…” ท่านอาจารย์หมิงไห่ก้มลงมองแล้วเอ่ยถาม
ง่ายๆ เพียงสองพยางค์ สำหรับบางสถานการณ์ มีคุณค่ามากกว่าเงินทอง หรืออาจหายากกว่าเงินทองเสียอีก
ผู้ดูแลร้านอู๋ถอยไปอยู่ด้านหลังสูดหายใจลึก ก่อนจะสะบัดเสื้อแล้วก้าวเดินเข้ามา
“เรือนไท่ผิงตั้งใจนำอาหารมาถวายพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ” เขาเอ่ย
พระอาจารย์หมิงไห่ยิ้มแต่มิได้เอ่ยคำใด สายตาก็มิได้หันมองตาม
นายใหญ่เฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างส่งเสียงกระแอม แล้วก้าวเดินเข้ามา
“เจ้าทำอะไร” เขาถาม
“ใจพิสุทธิ์รสเดียว” ผู้ดูแลอู๋เอ่ย
เพราะพระอาจารย์หมิงไห่หยุดเดิน คนอื่นก็หยุดเดินตาม บางคนทำสีหน้าดูแคลน บางคนทำหน้าแปลกใจแล้วมองมา
“มันคืออะไร” มีคนเอ่ยถาม
เขาเปิดปากพูด นายใหญ่เฉินจึงไม่ได้พูดอะไรและยืนมองด้วยความประหลาดใจ
“เต้าหู้” ผู้ดูแลอู๋ตอบ
เต้าหู้หรือ
คำศัพท์ใหม่นี้ดังออกมา ยิ่งดึงดูดผู้คนให้เข้ามาถามไถ่
“บอกไม่ถูก เชิญดูเถิด” ผู้ดูแลอู๋พูดพลางถอยหลังหนึ่งก้าว
หนึ่งคน สองคนเริ่มเดินเข้ามามากขึ้น คนบนบันไดก็รีบลงมาดูเช่นกัน
ภายในชามที่มีน้ำใส่ไว้อยู่ ก้อนสีขาวนิ่มที่อยู่ในมือของชายผู้หนึ่งค่อยๆ ถูกหั่นเป็นเส้นทีละนิด กลายเป็นรูปร่างอันแปลกประหลาด
ยิ่งดึงดูดให้คนเดินเข้ามาใกล้
“ข้ารู้จักเต้าหู้” เด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ย “วัดเต๋าที่เว่ยโจวมีขาย เพียงแต่เป็นก้อนขาวนิ่มที่มีรสฝาด
จะแกะสลักให้เป็นรูปร่างได้อย่างไร”
คนมากมายยิ่งเข้ามามุงดู จนนายใหญ่เฉินกับพระอาจารย์หมิงไห่ถูกเบียดไปด้านข้าง พวกเขาไม่ต้องพูดอะไร ก็มีคนอื่นรุมเข้ามาถามไถ่
“นี่คือเต้าหู้” สาวใช้เอ่ยและนำออกมาหนึ่งก้อนให้ผู้คนเชยชม
“มันนิ่มมาก” ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นมือมาจับก่อนจะร้องอย่างประหลาดใจ
สาวใช้พยักหน้าและยื่นไปด้านหน้า
“มันทำมาจากถั่วและเป็นเจทั้งหมด ท่านลองชิมดู” นางเอ่ย
“กินได้เลยหรือ” นางถาม
“ใช่ จะสุกหรือดิบก็สามารถทานได้ทั้งนั้น” สาวใช้ตอบ
หญิงสาวผู้นั้นลังเลเล็กน้อย ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างยื่นมือออกไปชิมก่อนแล้ว
“มา ข้าชิมเอง” เขาพูดแล้วบิดเป็นก้อนเข้าปากชิม ก่อนจะพยักหน้า “ไม่เลว ไม่เลว ไม่ได้เปรี้ยวหรือฝาด รสชาติดี รสชาติดี”
ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งมีคนอยากลองชิม เสียงพูดคุยนั้นกระจายไปอย่างรวดเร็ว
หลี่ต้าเสายืนอยู่หน้าโต๊ะ เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงโน้มตัวลงอย่างมั่นคงแล้วถือมีดไว้ ก่อนจะเปลี่ยนมีดเป็นระยะระยะ
ผู้คนต่างมองไปที่เขา
“รีบดู นั่นหอยสังข์” มีคนเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“โอ้คุณพระ ใช่จริงๆ ด้วย”
“ไม่สิ ยังมีดอกบัวและแจกันด้วย”
คนที่มุงดูอยู่นั้น ส่งเสียงฮือฮา
มองดูก้อนเต้าหู้ถูกหั่นทีละน้อย พลางมองชายที่มือเบาเสียยิ่งกว่าหญิงปักผ้า เขาหยุดพูดและค่อยๆ กลั้นหายใจ โดยไม่ละสายตาจากเต้าหู้ที่อยู่ในชามน้ำ
“นางจะมาดูคนผู้นั้นหรอกหรือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
เขายืนมือไขว้หลังอยู่ที่ทางเดินข้างอุโบสถ สายตามองไปที่ผู้คน แต่สายตากลับจ้องมองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือ หญิงผู้นั้นมีสาวใช้สองคนและบ่าวอีกคนคอยติดตามอยู่ จากนั้นก็มองไปที่กลุ่มคนอีกฝั่ง เพราะแสงอาทิตย์ที่สาดส่องจึงทำให้มองเห็นสีหน้าของนางไม่ชัดเจนนัก
“ฉังเลี่ยง เจ้าไปดูสิว่ามีอะไรน่าสนใจ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูด
ขันทีรับคำและรีบไปทำตามคำสั่ง ไม่นานก็แทรกตัวเข้าไปในฝูงชนได้อย่างง่ายดาย สายตามองไปที่โต๊ะ เห็นเป็นชามน้ำมีปลาทองแหวกว่ายอยู่
“ไอ้หยา” เขาร้องเสียงหลง
สายตานับไม่ถ้วนมองไปทางนั้น
ขันทีรีบปิดปากตัวเองแล้วมองไปที่กลางลาน
แค่เพียงพริบตาชายหนุ่มผู้แสนธรรมดาก็ได้เปลี่ยนมีดในมือเป็นอีกด้ามหนึ่งแล้ว เขาหั่นอย่างเบามืออยู่หลายที ด้านข้างปลาทองตัวนั้นมีก้อนเต้าหู้เหลืออยู่ไม่มาก หลังจากเริ่มแกะสลักให้ได้ชม
“รีบไปดูเร็ว! หน้าอุโบสถคึกคักนัก”
มีคนตะโกนเสียงดัง
ข่าวถูกส่งปากต่อปาก ผู้คนมากมายรีบวิ่งเข้ามา
“ดูอะไรกัน”
“หน้าอุโบสถมีคนถวายอาหาร”
“มีอะไรน่าดู”
“ก็ของกินอีกนั่นแหละ! ทำสดใหม่!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะหลังจากกินนางฟ้าผ่านทางจากเรือนนางฟ้าเรียกน้ำย่อยได้เพียงชามเดียว คนกระเพราะใหญ่เริ่มครึกครื้นขึ้นมาทันใด
“รีบไปกัน มีคนแจกอาหาร”
คนดั่งกระแสน้ำหลั่งไหลไปฝั่งนั้นกันหมด เพียงพริบตาเดียวคนในเรือนนางก็หายไปหมด มีเพียงชามและตะเกียบเท่านั้นที่เหลืออยู่
โต้วชีโกรธจนหน้ายู่
“น่าไม่อาย! เลียนแบบข้า” เขาชี้นิ้วด่าไม่หยุดก่อนจะสาวเท้าเดินออกไป “ข้าจะไปดูมันเป็นใคร”
ผู้คนไหลทะลักเข้ามา ทำให้หน้าอุโบสถเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวาย
ชายผู้นั้นถอยหลังหนึ่งก้าว เอวของเขาหลังจากที่งอเป็นเวลานานดูเหมือนจะไม่สามารถยืดตัวตรงได้ เขาก้มมองเต้าหู้ในชามใบใหญ่ตรงหน้า เต้าหู้ทรงสี่เหลี่ยมได้หายไปแล้ว มีเพียงล้อ ร่ม ดอกไม้ ขวด ปลารูปร่างแปลกตาสีสันสนใสเข้ามาแทนที่
คนจากทั่วสารทิศส่งเสียงฮือฮาไม่หยุด จากนั้นก็พากันรีบเดินเข้าไปมุงดูข้างหน้าใกล้ๆ
ดวงตาของหลี่ต้าเสาที่เต็มเส้นเลือดฝอยสีแดง ภาพพร่าเลือนราวกับอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก
สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว
ขณะเดียวกันสาวใช้นำเต้าหู้ที่นึ่งไว้ในชามออกมาวาง จากนั้นจึงเทน้ำแกงที่เคี่ยวไว้ในหม้อลงใส่ถ้วย กลิ่นหอมหวานอบอวลไปทั่ว
“ขอให้พระโพธิสัตว์โปรดรับไว้”
ผู้ดูแลอู๋ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
กลุ่มคนหลีกทางให้ทันที อุโบสถหลังใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา เสียงบทสวดดังเซ็งแซ่
พระอาจารย์หมิงไห่ค่อยๆ เดินมาด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าขั้นบันไดแล้วมองไปยังโต๊ะไม้ยาวที่มีชามวางเรียงรายเป็นสัญลักษณ์มงคลแปดตัว
“อมิตาพุทธ” เขาพนมมือขึ้นขณะเอ่ยแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ “โยม เชิญนำของที่ถวายตามอาตมามา”
ผู้คนที่กำลังหลั่งไหลเข้ามานั้น กลับเห็นเพียงโต๊ะที่ว่างเปล่า
“ของกินล่ะ” มีคนถามขึ้นพลางสูดกลิ่นหอมที่หลงเหลืออยู่
“ของกินอะไร” เหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายที่ยังอยู่ที่เดิมหันกลับมาถาม “นั่นเป็นอาหารถวายแด่พระโพธิสัตว์”
ถวายแด่พระโพธิสัตว์หรือ ของที่กินไม่ได้เหล่านั้นล้วนถวายแด่พระโพธิสัตว์ ส่วนของที่กินได้ก็มีไว้ให้คนกินมิใช่หรือ
“คนที่ทำถวาย พระอาจารย์หมิงไห่เชิญเข้าไปด้านในแล้ว”
มีคนเอ่ยพลางยกมือชี้
ฝูงคนตามไปมุงดูแล้วก็พบว่ามีชายคนหนึ่งเดินตามหลังพระอาจารย์หมิงไห่อยู่บนขั้นบันไดจริงๆ ชายผู้นั้นดูแสนธรรมดาทั้งยังหลังค่อมเล็กน้อย แต่มือทั้งกลับสองถือชามและเดินอย่างมั่นคง ส่วนด้านหลังก็มีหญิงสาวถือชามเดินตามไปด้วย
“ได้ยินว่านำเต้าหู้มาทำอะไรสักอย่าง”
“เต้าหู้คืออะไรหรือ”
ทุกคนมองตามหลังชายผู้นั้นไป ภายใต้อุโบสถศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นเพียงแผ่นหลังของคนธรรมดา แต่กลับดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
“พระอาจารย์หมิงไห่มาเชิญด้วยตนเองเช่นนี้ ช่างเก่งกาจเหลือเกิน! เขาเป็นใครกัน” ผู้คนต่างถามขึ้น
“หลี่ต้าเสา”
เสียงตอบกลับดังมากจากด้านหลัง มีคนหันกลับไปมองเห็นเป็นโต้วชียืนอ้าปากค้างอยู่ข้างหลัง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าชายผู้นั้นจะได้เดินตามพระอาจารย์หมิงไห่และกำลังก้าวเข้าไปในอุโบสถ
“หลี่ต้าเสา”
ไอ้สารเลว! ไอ้สารเลว!
……………………………………………………