พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 307 แน่ใจ
ณ ตระกูลเฉิน บ่าวรับใช้รีบเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามา
“ท่านปู่ ท่านปู่”
แม่นางเฉินสิบแปดมีกิริยาที่ผิดแปลกไปจากเดิม ยกกระโปรงขึ้นและวิ่งอย่างรวดเร็ว เข้าไปในเรือนของนายใหญ่เฉิน
“แม่นางเฉิงฟื้นแล้ว!”
นายใหญ่เฉินลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ
“ฟื้นจริงหรือ”
แม่นางเฉิงสิบแปดพยักหน้า
“ท่านแม่พาหมอหลวงหลี่ไปแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความยินดี “ท่านปู่ ข้ากับตันเหนียงก็จะไปด้วย ท่านจะไปไหม”
นายใหญ่เฉินพยักหน้า ยกเท้าขึ้น เดินสองสามก้าว ก่อนจะหยุดอีกครั้ง
“พวกเจ้าไปเถิด” เขาเอ่ย
ในเมื่อนางหายแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมแล้วละ
นายใหญ่เฉินมองร่างของแม่นางเฉินสิบแปดที่รีบออกไป พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฟื้นแล้วก็ดี ฟื้นแล้วก็ดี
……
ณ สะพานอวี้ไต้ หน้าประตูบ้านตระกูลเฉิง คนของตระกูลโจวได้ออกไปแล้ว แต่หน้าประตูก็ยังมีความคึกคักมากมาย ซึ่งดึงดูดผู้คนบนท้องถนนให้หันมาดูด้วยความสงสัย
“วันนี้มีแขกมาไม่น้อยเลยนะ”
คนที่เดินผ่านไปมาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ในบ้านคงจะยุ่งน่าดู”
ข้างนอกประตูคึกคัก แต่ข้างในประตูกลับไม่เป็นเช่นนั้น เรียกได้ว่าเงียบมาก
ทุกคนนั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยใบหน้าประหม่า
ที่นั่งเจ้าบ้านในห้องรับแขกไม่ว่างเหมือนเมื่อสองสามวันก่อน แต่มีผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่เฉกเช่นในอดีต
ผมดำยังคงมวยไปทางด้านหลัง สวมอาภรณ์ยาวที่ทำขึ้นจะผ้าต่วน
ทว่าแตกต่างจากในอดีต
ในอดีต หญิงสาวที่นั่งตัวตรงดั่งนาฬิกาคนนั้น ในยามนี้เอนกายลงบนโต๊ะ ใบหน้าของนางยังคงไร้ความรู้สึกดังเดิม ดวงตาคล้อยลง มือข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ โดยมีหมอหลวงหลี่คลำชีพจรตรวจโรค
อาภรณ์ผ้าต่วนสีเขียวครามคล้อยลงจากข้อมือ
นี่เป็นท่าทางที่ดูเหมือนว่าใครๆ ก็ทำได้ ไม่มีท่าทางที่พิเศษใดๆ ไม่รู้ว่านี่คือความเข้าใจผิดของคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้หรือไม่ เพราะรู้สึกว่าดูสูงส่ง ทั้งยังดูสบายใจเสมือนสายลม
“ตกลงเป็นอย่างไรกันแน่”
ท่านชายเฉิงสี่ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
แม้ว่าเขาจะระวังตัวและรู้สึกตื่นตะลึง เนื่องจากหญิงสาวแปลกหน้าในห้องนี้ แต่หลังจากนึกได้ว่าน้องสาวสติไม่สมประกอบของตน มีร้านค้าชื่อดังสามร้านได้ เขาก็สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
ผู้ดูแลอู๋และทุกคนในตระกูลเฉินมองไปยังหมอหลวงหลี่ด้วยความกังวลใจ
หมอหลวงหลี่ผละมือออกและไม่พูดอะไร ก่อนจะโบกมือต่อหน้าหญิงสาวที่นั่งหลับตาทันใด
“ฟื้นแล้วจริงๆ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม” เขาถาม
คนในห้องนั้นเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ
ใครเป็นหมอ ใครเป็นคนไข้กันแน่เนี่ย
“หมอหลวงหลี่ ท่านไม่สามารถตรวจว่าหายแล้วหรือไม่ แต่ตรวจได้แค่เป็นโรคหรือไม่ใช่ไหม” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
ใบหน้าของหมอหลวงหลี่ก็คร่ำเครียดขึ้นทันที
ฮูหยินเฉินถลึงตามองลูกสาวด้วยความขุ่นเคือง
“เจียวเหนียง” นางเอ่ยปากร้องเรียกออกมาด้วยความเป็นห่วง “หายดีจริงๆ แล้วใช่ไหม ลุกขึ้นมาทำไม ไปนอนก่อนเถิด”
ตั้งแต่ได้ข่าวก็รีบเข้ามา ทันทีที่เข้าประตูก็เห็นผู้หญิงคนนี้นั่งอยู่ในห้องรับแขก เฉกเช่นในอดีต
พวกนางเหม่อไปเล็กน้อย นางทำราวกับว่าเรื่องที่ป่วยจนหมดสติไม่เคยเกิดขึ้นมิปาน
เฉิงเจียวเหนียงลืมตาขึ้น
ลืมตาขึ้นมา ความหมองคล้ำก็สดใสขึ้นมาทันที
ไม่ ไม่เหมือนเดิม
ฮูหยินเฉินนั่งตัวตรง พลางตะโกนในใจ สายตาของนาง! สายตาของนางเปลี่ยนไป!
นัยน์ตาของหญิงสาวตรงหน้าเบิกขึ้น ดวงตากลมโตและดูมีชีวิตชีวา รูม่านตาที่เคยมีสีขาวมากกว่าสีดำและหม่นหมองมืดมนเสมือนท้องฟ้ายามราตรี คลื่นนัยน์ตาเคลื่อนไหวไปมา เป็นประกายดุจอัญมณี
ยามสายตานั้นพัดผ่าน ทำให้ผู้คนไม่อาจหายใจ
“ข้าฟื้นแล้วจริงๆ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
หลังจากท่านชายเฉิงสี่ ผู้ดูแลอู๋และคนของตระกูลเฉินจากไป ห้องรับแขกกลับไม่ว่างเปล่า แม้ว่าเมื่อเทียบกับเมื่อครู่ที่มีคนแน่นขนัดเต็มห้อง คราวนี้จะมีเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ในห้องห้องรับแขก ทว่าเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะกลับคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง
“…อาจารย์ผู้สอนหนังสือส่ายหัว พลางท่องตำราแห่งอุดมศึกษา ตำราโบราณ สาเหตุที่ต้องสอนตำราอุดมศึกษา…”
“…ยมทูตได้ยินอาจารย์ท่านนี้ท่องหนังสือ จึงให้ยมบาลพาตัวเขามา ก่อนจะบอกว่า ในเมื่อเจ้ารักในการเรียนหนังสือเช่นนี้ ข้าจะลงโทษให้เจ้าไปเกิดเป็นหมู อาจารย์ท่านนั้นได้แต่ยอมรับคำสั่ง ทว่าก็พูดกับท่านยมทูตอีกว่า ท่านให้ข้าไปเป็นหมู ข้ามิอาจต่อต้าน แต่ได้โปรดให้ข้าไปเกิดที่ภาคใต้ ท่านยมทูตได้ยินจึงสงสัย และถามเขาว่าเพราะเหตุใด…”
“…อาจารย์จึงเอ่ย ขงจื๊อเคยกล่าวไว้ว่าหมูทางใต้แข็งแกร่งกว่าหมูทางเหนือ…”
สิ้นเสียงของฮูหยินฉิน ก็เกิดเสียงหัวเราะอันชัดใสและไพเราะขึ้นภายในห้อง
สาวใช้หัวเราะตัวโยน น้ำตาแทบจะไหลออกมา
ทว่าฮูหยินฉินกลับไม่หัวเราะ ดวงตาจับจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้า
“ไม่ตลกหรือ” นางถาม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ไม่ตลก” นางว่า
ฮูหยินฉินเศร้าสร้อย
“เหตุใดถึงไม่ตลกเล่า ตลกจะตายไป ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะกับสำเนียงท้องถิ่นของเจียงโจวเชียวนะ ทำไมเจ้าถึงไม่หัวเราะเล่า” นางพูดพลางมองสาวใช้ที่หัวเราะพร้อมกุมท้อง “เจ้าดูสิ คนอื่นเขาถึงเรียกว่าปกติ เจ้าน่ะไม่ปกติ”
เฉิงเจียวเหนียงมองนางและยิ้มบาง
ฮูหยินฉินโบกมือ
“รอยยิ้มนี้ช่างน่าเบื่อ” นางพูดขณะลุกขึ้น ไข้าไปแล้ว เจ้าไปพักเถอะ ข้ากลับไปจะคิดดูอีกที ไม่เชื่อหรอกว่าจะทำให้เจ้าหัวเราะไม่ได้”
เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้น
“เจ้าอย่าเพิ่งขยับ เพิ่งจะหายดี นอนไปตั้งนานขนานนั้น ร่างกายยังคงอ่อนแออยู่ อย่าเป็นลมไปอีกเลย” ฮูหยินฉินเอ่ย ทั้งยังยิ้มออกมา “เจ้าอย่าเพิ่งเป็นอะไรไป ข้าคิดเรื่องตลกได้แล้วจะมาทันที หากเจ้าเป็นลมไปอีกละก็ เช่นนั้นคงตลกไม่ไหวแล้ว!”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง ก่อนจะก้มศีรษะและคำนับ สาวใช้ข้างหลังนางและปั้นฉินคุกเข่าลงบนพื้น โค้งตัวทำความเคารพส่งนางกลับไป
ฮูหยินฉินยิ้ม โบกมือ ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไป
สาวใช้คุกเข่าที่ระเบียงลุกขึ้นกอดกัน พลางเดินเข้าไป
ฮูหยินฉินยังไม่ทันออกไป ม้าของท่านชายฉินสิบสามยืนอยู่หน้าประตู
“ท่านแม่”
ท่านชายฉินสิบสามกระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่รอให้ม้าหยุด และวิ่งเข้าไปข้างใน ก่อนจะรีบหยุดฝีเท้าและร้องเรียก
“ระวังหน่อย จะรีบอะไรนักหนา” ฮูหยินฉินพูดพลางหัวเราะ
ท่านชายฉินสิบสามขานรับ
“ข้าจะไปอยู่แล้ว เจ้าเพิ่งมา ช่างเถิด ข้าเข้าไปข้างในเป็นเพื่อนเจ้าอีกรอบหนึ่งดีกว่า” ฮูหยินฉินยิ้มและพึมพำอย่างจนปัญญา
ท่านชายฉินสิบสามมองนางและยิ้มอย่างจนปัญญาเช่นกัน
“ท่านแม่ คราวนี้ลูกแพ้แล้ว ลูกอุตส่าห์แอบท่านอาจารย์ออกมา ท่านแม่โปรดเห็นใจ” เขาโค้งตัวทำความเคารพ พลางเอ่ย
“จริงๆ เลย เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ กล้าไล่แม่ได้อย่างไร” ฮูหยินฉินเอ่ยกับสาวใช้ข้างกายอย่างเสียใจ
ทว่าเหล่าสาวใช้ไม่ได้มีสีหน้าวิตกกังวล กลับเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า
“ฮูหยิน นี่ต้องโทษที่ท่านพูดเก่ง พูดตลก แม่นางสกุลเฉิงผู้นั้นไม่ชอบพูด ตายด้าน หากท่านอยู่ด้วย เกรงว่าคงจะไม่พูดอะไรสักคำ ท่านชายสิบสามก็มาเสียเปล่าแล้วน่ะสิ” พวกนางเอ่ยพลางยิ้ม
ฮูหยินฉินยิ้มพลางสะบัดพัด
“นั่นเป็นเพราะตัวนางเอง จะมาโทษข้าไม่ได้” นางยิ้มพลางเอ่ย พร้อมกับใช้พัดตีฉินสิบสาม “รีบไปเถิด”
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม ก่อนจะทำความเคารพ และก้าวไปประตูไป
เฉิงเจียวเหนียงเดินออกมาแล้ว และยืนมองอยู่ที่ระเบียง
ท่านชายฉินสิบสามเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเพ่งพินิจมองนาง
ยังคงเป็นดังในอดีต เป็นดังเดิมไม่เปลี่ยน สามารถเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากแล้ว
“ข้าเป็นคน” เขาชี้ไปทางตัวเองก่อนจะเอ่ยขึ้นโดยพลัน
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง ก่อนจะส่ายหัว
“จำไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ” ท่านชายฉินสิบสามถามอย่างตกใจ
“ไม่ทราบว่าท่านชายสกุลใด และนามอะไรหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“ข้า สกุลฉิน นามหู นามรองจือเล่อ ทายาทคนที่สิบสามในตระกูล” ท่านชายฉินสิบสามปรับสีหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า ก่อนจะโค้งตัวทำความเคารพ
“ท่านชายฉิน” นางเอ่ย
ฉินหูหรือ จือเล่อ ท่านชายสิบสามหรือ
“เช่นนั้น เหตุใดท่านชายหกถึงเรียกท่านว่าซังจื่อ” ปั้นฉินที่อยู่ด้านข้างถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เมื่อชายคนหนึ่งเกิดมา ขุนนางทางพิธีกรรมต้องทำธนูจากไม้หม่อนและลูกศรหกดอกที่ทำจากไม้เผิงเพื่อยิงลงดิน และสี่ทิศทางเพื่อแสดงความทะเยอทะยานอันสูงส่งของเขา” เฉิงเจียวเหนียงมองฉินสิบสาม พลางเอ่ยอย่างช้าๆ
ท่านชายฉินสิบสามมองนางพลางฉีกยิ้ม
“หายดีแล้วจริงๆ ด้วย” เขาเอ่ย “อีกทั้งยังหายดีเสียจนเกินความคาดหมาย”
เขามองผ่านหญิงสาวไปยังหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ เป็นเกร็ดพงศาวดารที่ธรรมดาที่สุด ง่ายดายที่สุดและไม่อยู่ในกระแสนิยม ก่อนที่ยังไม่มาเมืองหลวง สามารถรู้ได้จากคำพูดของปั้นฉิน ว่านางเป็นคนที่พอผ่านตาไปแล้วก็จะลืมเลือน แน่นอนว่านางจะอ่านหนังสือไม่มากนัก หลังจากมาที่เมืองหลวง เท่าที่เขารู้ บนโต๊ะทำงานมักจะมีหนังสือเล่มนี้วางไว้เสมอ
ในตอนนี้ นางสามารถโพล่งที่มาของชื่อของตนเองออกมาได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก
เจ้าของของจดหมาย เป็นอาจารย์ของนางจริงๆ หรือ
อาจารย์ที่รักษาโรคโง่เขลาของนาง และสอนทักษะเวทมนตร์และการวางแผนที่ยอดเยี่ยมให้นาง…
จดหมายฉบับนี้ปลุกนางขึ้นมาจริงๆ ราวกับตอนนั้นที่นางโมโหตัวเองแล้วรักษาขาให้หายขาด โดยไม่มีสิ่งใดแตกหักน่ะหรือ
ท่านชายฉินสิบสามพินิจเฉิงเจียวเหนียงอย่างตั้งใจอีกครั้ง
“เช่นนั้น ไม่ทราบว่าแม่นางคือใครหรือ” เขาถาม
แม่นางคือใคร
คำถามนี้โจมตีนายหญิงเข้าอย่างจัง!
เกือบเดือนที่ผ่านมา ราวกับพวกนางได้ผ่านชีวิตที่ยากลำบากของทั้งชีวิตมาแล้ว
พวกนางไม่อยากได้ยินคำสามคำนี้ในชีวิตอีกต่อไป!
สีหน้าของปั้นฉินและสาวใช้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้วยความเคารพบริเวณระเบียงทางเดินไม่มีทีท่าที่เกรงกลัวแต่อย่างใด แต่หากยิ้มบางๆ
“ข้าเป็นธิดาของเฉิงซื่อในเจียงโจว นามฝั่ง” นางเอ่ย
กำเนิดจากดวงอาทิตย์ ก็จบลงดั่งดวงอาทิตย์
เจ้าเป็นธิดาที่สว่างไสวที่สุดของตระกูลเฉิง
ภายใต้ดวงอาทิตย์ ราวกับมีเงาของชายร่างสูงและสง่างามปรากฏอยู่ เสมือนส่งยิ้มให้และหายตัวไปในอากาศ