พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 320.1 สั้นๆ ห้วนๆ (1)
องครักษ์คนอื่นๆ ของใต้เท้าเฝิงมัดคนทั้งห้าแล้วพาตัวไป อี้เฉิง[1]ก็เข้ามาต้อนรับใต้เท้าเฝิงที่เดินเข้ามาด้วยความกระตือรือร้นและเคารพนบนอบ
ขุนนางดีที่รักประชาชนเช่นนี้ทำเหล่าราษฎรต่างตื่นเต้นดีใจ
“ไป ไป เราไปเขียนหนังสือลงนามประชามติกัน” หนึ่งในพวกคนที่ทำงานกันจนช่ำชองก็ตะโกนเรียกทุกคนขึ้น
ทุกคนต่างกรูกันเข้าไป ความคึกคักหน้าประตูจึงมลายหายไป
ท่านชายหวังสิบเจ็ดหันไปเห็นเฉิงเจียวเหนียงนั่งอยู่ข้างกองไฟเรียบร้อยแล้วก็ทำเป็นว่าเรื่องเมื่อครู่นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเหมือนกับเมื่อสักครู่ที่ตัวเขาเข้าห้องไปโอ้อวดกับนาง…
“…คนพวกนี้ให้บ่าว…เรียกนายของพวกเขามาลงโทษดีกว่าขอรับ…”
ลมราตรีโบกพัดคำพูดของพ่อบ้านเฉาไป
ท่านชายหวังสิบเจ็ดได้สติขึ้นมา เห็นพ่อบ้านเฉากำลังพูดคุยกับบรรดาองครักษ์ องครักษ์พวกนั้นย่อมรีบรับคำเห็นด้วยเพราะมีงานน้อยย่อมดีกว่า
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้า เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่” เขาก้าวยาวๆ มาหาพลางตะคอกถาม
ความคึกคักเมื่อครู่กลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปั้นฉิน ขณะที่ทางนี้กำลังกร่นด่าตบตีและร้องขอชีวิตกันอยู่นั้น นางก็ทำอาหารเย็นเสร็จพอดี
ระหว่างทางนั้นทั้งเรียบง่ายและอบอุ่นอย่างมาก
ปั้นฉินกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะรองนั่งทรงกลมส่งอาหารที่ทำเสร็จแล้วให้เฉิงเจียวเหนียง
ดังนั้นเฉิงเจียวเหนียงจึงเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบว่า
“กินข้าวน่ะสิ”
กินข้าวหรือ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดโมโหโกรธาเป็นอย่างมาก
“ข้าไม่ให้เจ้ากินข้าว!” เขายกขาเตะโต๊ะยาวที่อยู่ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง
ปั้นฉินกรีดร้องขึ้นเสียงดัง
โชคดีที่หม้ออยู่ที่นาง โต๊ะยาวของเฉิงเจียวเหนียงมีเพียงชาม จาน และตะเกียบวางอยู่เท่านั้น และนางถือชามกับตะเกียบพวกนั้นไว้เสียก่อน โต๊ะที่ถูกเตะล้มจึงมีเพียงจานที่กลิ้งตกจึงเลี่ยงเหตุการณ์ที่น้ำแกงจะหกกระเด็นจนทำคนได้รับบาดเจ็บไปได้
“เด็กคนนี้เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ” พ่อบ้านเฉาเป็นคนแรกที่ดึงท่านชายหวังสิบเจ็ดเอาไว้แล้วตบเข้าบ้องหูอย่างไม่ลังเล
ท่านชายหวังสิบเจ็ดถูกตบจนมึนงงไปหมด
เขาโตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนตบเข้าบ้องหู ไม่สิ เป็นครั้งแรกที่ถูกคนตบ…
ซ้ำคนที่ตบเขายังเป็นแค่คนรับใช้อีกด้วย!
“ใครก็ได้ ใครก็ได้!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดได้สติขึ้นก็ตะโกนเรียกพลางกวักมือเรียกพ่อบ้านเฉา แต่เขาไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของพ่อบ้านเฉา ซ้ำยังมีคนมากอดแขนเขาเอาไว้แน่น
“ท่านชาย ท่านชาย มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จาขอรับ” บ่าวชราตะโกนบอก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดยิ่งโมโหจนแทบบ้า
ใครจะไปค่อยๆ พูด ค่อยๆ จาได้ไหว อีกฝ่ายลงมือกับเขาก่อน! จะให้ไปค่อยพูดค่อยจากับมารดามันหรือไร
เขากำลังจะตะโกนอีกรอบ บ่าวชราแย่งพูดขึ้น
“แม่นางเฉิง แม่นางเฉิง เรื่องคราวนี้เป็นพวกเราที่บุ่มบ่ามไป…” เขารีบเอ่ยบอก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดถลึงตามองบ่าวชราอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วหันไปมองผู้ติดตามคนอื่นๆ ที่กำลังมองผู้ติดตามของตระกูลโจวที่ห้อมอยู่ก็ต่างก้มหน้าก้มตากันเงียบๆ
ถูกคนตระกูลโจวตีไปครั้งเดียวปอดแหกกันเลยหรือ
“นั่งลง” เฉิงเจียวเหนียงบอก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดถูกพ่อบ้านเฉากดตัวให้นั่งลงตามคำบอกนั้น ตรงก้นกบเจ็บร้าวขึ้น ท่านชายหวังสิบเจ็ดร้องโหยหวนออกมา
บ่าวชราโผเข้าไปด้วยความรวดเร็วอย่างกับถอนหายใจ
“ขอบพระคุณนายหญิง ขอบพระคุณนายหญิง” เขาเอ่ยบอกเสียงระรัว
ท่านชายหวังสิบเจ็ดทั้งโกรธทั้งร้อนใจ
“เจ้าก็โง่ไปด้วยหรือ ข้าถูกตีแต่เจ้ายังไปขอบคุณนางเนี่ยนะ” เขาตะคอก
เอ จริงด้วย เหตุใดข้าจึงคิดว่าควรขอบคุณไปตามลางสังหรณ์ได้…
บ่าวชราตกใจ แต่เป็นถึงคนรับใช้ที่แก่เฒ่า บ่อยครั้งที่เขามักจะเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง
“คุณชาย เรื่องเมื่อครู่ เป็นพวกเราที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ” เขารีบกระซิบบอกกับท่านชายหวังสิบเจ็ด
“เรื่องอะไร ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่เท่าเรื่องที่ข้าถูกคนตีแล้ว เฉิงเจียวเหนียงข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ การแต่งงานครั้งนี้จบลงแล้ว…” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะคอก กำลังจะลุกขึ้นแต่ไหล่กลับโดนพ่อบ้านเฉากดเอาไว้
บ่าวชรายังไม่ทันจะได้เอ่ยคำก็มีคนเดินเข้ามาเสียก่อน
“นายหญิง เป็นใต้เท้าเฝิงท่านนั้นขอรับ” พ่อบ้านเฉาเอ่ยบอก
ทุกคนในที่นั้นต่างหันไปมอง เห็นบุรุษร่างซูบผอมเดินเข้ามามีเสื้อกันลมแบบมีหมวกคลุมพาดอยู่บนไหล่ เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ออาบน้ำพักผ่อน พอพูดคุยกับอี้เฉิงเสร็จก็ตรงมาที่นี่เลย
“มาจริงๆ ด้วย เจ้าทำงามหน้านัก ทำลายชื่อเสียงต่อหน้าฝูงชน” ท่านชายหวังสิบเจ็ดยิ้มเย็นชาพลางเอ่ยตะคอก
เฉิงเจียวเหนียงมองไปทางเขา
“นึกไม่ถึงว่าท่านจะดูออกว่าข้าทำลายชื่อเสียงต่อหน้าสารธณะชน” นางเอ่ย “ไม่ได้โง่นี่”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดถลึงตาใส่
“แล้วเจ้าดูออกหรือไม่ว่าเขามาเพื่อขอบคุณในบุญคุณของข้าที่ช่วยชีวิตเขาไว้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ
ช่วยชีวิตไว้หรือ
สตรีนางนี้ไม่เพียงแต่เป็นคนสติไม่สมประกอบเท่านั้น นางยังเป็นคนบ้าอีกด้วย!
ท่านชายหวังสิบเจ็ดจะหนีออกมา แต่ก็โดนพ่อบ้านเฉากดไหล่เอาไว้อย่างช่วยไม่ได้
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ใต้เท้าเฝิงก็เดินมาใกล้ เขามองเฉิงเจียวเหนียงแล้วประสานมือคำนับ
“ข้าเฝิงหลินขอบคุณแม่นางเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตข้าไว้” เขาเอ่ยบอก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดตกตะลึง
นึกไม่ถึงว่า…
“ใต้เท้าเฝิงกล่าวเกินไปแล้ว” เฉินเจียวเหนียงเอ่ยพลางลุกขึ้นรับคำนับ “เพราะคนของข้าไม่รู้ความไปก่อเรื่องเข้าจึงได้ออกหน้าสั่งสอนก็เท่านั้น”
สายตาของใต้เท้าเฝิงไปตกอยู่ที่บ่าวชรา
“ขอบคุณใต้เท้า” บ่าวชราตระกูลหวังรีบเข้าไปประสานมือ “บ่าวกระทำผิดอย่างกำเริบเสิบสานจนเกือบจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
เห้ย…
ท่านชายหวังสิบเจ็ดมองบ่าวชราอย่างโมโห…
คนพวกนี้กำลังพูดถึงอะไรกันอยู่
ใต้เท้าเฝิงถอดหมวกบังลมออก เผยให้เห็นใบหน้าซูบผอม
“คนรับใช้ของแม่นางหวังดี แต่บ่าวของข้าอาจจะไม่ได้หวังดี” เขาบอกพลางถอนใจออกมา
“ความหวังดีนั้น บางครั้งก็คือการทำสิ่งไม่ดี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “นี่ไม่นับว่าเกินไปสักนิด”
“นั่นต้องดูว่ามีใจหรือไม่มี” ใต้เท้าเฝิงเอ่ย มองเฉิงเจียวเหนียงด้วยดวงตาเป็นประกาย
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้กล่าวคำใดอีก
สถานการณ์พลันหยุดนิ่ง ลมราตรีพัดโชยหวีดหวิว
นึกไม่ถึงว่าจะไม่กล่าวคำใดตอบ ใต้เท้าเฝิงฉงนขึ้นมาเล็กน้อย
“หากครั้งนี้ไม่ได้แม่นางมาห้ามไว้ ข้าก็คงเดือดร้อนแน่แล้ว” ใต้เท้าเฝิงจึงเอ่ยต่อขึ้นเอง
“แค่สั่งสอนบ่าวไพร่เท่านั้น ใต้เท้าอย่าได้คิดมาก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เฝิงหลินมองเฉิงเจียวเหนียงอยู่ครู่หนึ่งอย่างพินิจพิเคราะห์
“แม่นางมาจากเมืองหลวงหรือ” เขาถาม
นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาเปลี่ยนบทสนทนา เห็นได้ชัดว่าอยากจะชวนคุยต่อ แต่แม่นางน้อยตรงหน้าก็ยังคงไม่เชิญนั่งเสียที
“เจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
การตอบเช่นนี้ช่างคล่องแคล่วว่องไว
“ไม่ทราบว่าตระกูลใดหรือ” เฝิงหลินถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ข้าก็มาจากเมืองหลวงเช่นกัน”
“เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ไม่พอจะให้กล่าวถึง” นางตอบ
เฝิงหลินก็ไม่ได้สนใจ ยิ้มออกมา
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ซ้ำยังเป็นสตรี อี้เฉิงเพิ่งจะเก็บกวาดห้องเสร็จ แม่นางไปพักผ่อนที่นั่นดีหรือไม่” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ
“ขอบพระคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ แต่ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เฝิงหลินกวาดสายตามองไปรอบๆ ที่มีกระโจมกางอยู่และหม้อร้อนๆ อันหอมฉุยใบใหญ่ จึงพยักหน้าไม่ได้บังคับอะไร
“เช่นนั้นก็ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนแม่นางแล้ว” เขาบอกพลางประสานมือคำนับ
เฉิงเจียวเหนียงคำนับคืน
เฝิงหลินก็เดินจากไป
ห้องหับภายในหอพักม้าได้เก็บกวาดเรียบร้อย เฝิงหลินชำระล้างลมฝุ่นออกจนทั่วร่างแล้ว แต่กลับขจัดความเหนื่อยล้าบนใบหน้าออกไปไม่ได้
“ใต้เท้า ชาขอรับ” บ่าวรับใช้คนสนิทเอ่ยพลางส่งถ้วยชามาให้ “อาหารตั้งโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เฝิงหลินมองอาหารบนโต๊ะแล้วส่ายหน้าอย่างไม่อยากอาหาร รับถ้วยชามาด้วยสีหน้าอึมครึม
“ไถ่ถามได้ความหรือไม่” เขาเอ่ยถาม
บ่าวรับใช้ส่ายหน้า
“พวกนั้นยืนกรานว่าทำเพื่อแสดงความเคารพใต้เท้า ไม่ได้มีเจตนาส่วนตัวอื่นใดอีก แล้วก็ไม่ได้มีใครบงการ” เขาเอ่ย
เฝิงหลินหัวเราะอย่างเย็นชา
“แสดงความเคารพหรือ” เขาเอ่ยพลางวางชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง “คิดว่าข้าโง่นักหรือ จึงมองไม่ออกถึงเจตนาของพวกมัน เจตนาของพวกมันแทบจะตะโกนบอกออกมาให้รู้อยู่แล้ว!”
ตะโกนจบ ความโกรธเกรี้ยวที่อยู่ในใจก็ยิ่งสะกดกลั้นไว้ไม่อยู่ เขาจึงลุกขึ้นเดิน
………………………………..
[1] อี้เฉิง ขุนนางที่มีหน้าที่ในการช่วยสนับสนุนการส่งสาร