พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 345 ไม่ยอม (1)
“จินเกอร์ จินเกอร์ อย่าไป อย่าไป…” แม่ของจินเกอร์ตะโกนบอก มือดึงเขาเอาไว้
“ท่านแม่ ข้าต้องไปสิ นายหญิงจะตีกับคนเข้าแล้ว ข้าจะไม่ไปได้อย่างไร” จินเกอร์ตะโกนบอกพลางสะบัดมือแม่ออก
“แต่ว่า แต่ว่า เจ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวนายใหญ่ก็โกรธเอาหรอก…” แม่จินเกอร์เอ่ยด้วยสีหน้ากังวล
“นั่นก็สมน้ำหน้าที่เขาโชคร้าย นายหญิงของข้ามิใช่คนที่จะมารังแกเอาได้ง่ายๆ” จินเกอร์ส่งเสียงฮึออกมาแล้วเอ่ยขึ้น
“เอาเถอะ เจ้ารีบปล่อยเขาไปเถอะ” พ่อของจินเกอร์ที่นั่งยองบนพื้นมาโดยตลอดเอ่ยขึ้น
จินเกอร์กับแม่ต่างตกตะลึงกันไปครู่หนึ่ง
“นางเป็นหญิงที่ใกล้จะออกเรือนแล้ว ภายหน้าก็ช่วยอันใดมิได้แล้ว แต่จินเกอร์ทำนายใหญ่โมโหเข้า ชาตินี้จะทำอย่างไร” นางเอ่ยอย่างร้อนใจ “เพียงเพราะเงินพันก้วน เจ้าก็ยอมขายชีวิตลูกชายออกไปแล้วหรือ”
พ่อของจินเกอร์กลุ้มใจอยู่พักหนึ่งก็ลุกขึ้นจากพื้น
“ใช่ ข้าขายชีวิตนี้ทั้งชีวิตของเขาไปแล้ว!” เขาเอ่ย “เจ้า ไปเถอะ”
จินเกอร์แย้มยิ้ม
“ท่านพ่อ ท่านค้าขายครั้งนี้คุ้มค่านัก” เขายิ้มเอ่ย สลัดมือแม่ทิ้ง แล้ววิ่งตึงตังออกไป ไม่ลืมที่จะหยิบไม้ขัดกลอนประตูติดมือมาด้วย
แม่ของจินเกอร์เดินตามสองสามก้าวก็หยุดลงอย่างจนใจ
……
เฉิงเจียวเหนียงมองไปนอกประตู มีบ่าวยืนกันอยู่เนืองแน่นอย่างที่พ่อบ้านเฉาบอก มีบ่าวชายนำหน้า ทั้งยังมีสาวใช้ร่างบึกบึนอีกบางส่วน
“ไม่ต้องหรอก” นางเอ่ย “ลงไม้ลงมือกับบ่าวพวกนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่เจ็บปวดระแคะระคายผิวกันสักนิด เดี๋ยวล้มไปก็มีมาอีก”
นางพูดพลางลุกขึ้น
“เราไปกัน”
จะไปจริงๆ หรือ
พ่อบ้านเฉาตกตะลึงแต่ก็รีบเอ่ยรับคำ
“นางยอมไปจริงหรือ”
แม้ว่าภายในห้องโถงจะดูผ่อนคลายราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ทว่านายใหญ่เฉิงที่จิตใจว้าวุ่น พอได้ยินคำรายงานของแม่นมแล้ว ก็รีบเอ่ยถามขึ้นทันที
“เจ้าค่ะ ขนของใส่รถแล้วด้วย…” แม่นมเอ่ยด้วยความเบิกบานแล้วเอ่ยเสริมอีกว่า “ไม่เอาอะไรไปทั้งนั้น มีแต่ของที่พวกนางเอามา…”
นางจะมาไม้ไหนอีก!
นายใหญ่เฉิงส่งเสียงเย้ยหยัน โยนตำราในมือที่ถือมาค่อนวันแต่ไม่ได้อ่านสักตัวลงพื้น สะบัดเสื้อแล้วนั่งหลังตรง
“ใครจะไปสนข้าวของพวกนั้น ควรจะให้อะไรนางก็ให้อันนั้นไป พวกเรามิได้ปฏิบัติกับนางอย่างโหดร้ายเสียหน่อย” เขาเอ่ย
แม่นมรับคำแล้วออกไป
นายใหญ่เฉิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เอนลงบนโต๊ะพลางยกถ้วยทองที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ
จัดการเด็กบ้านี่ก่อน บ้านรองก็จะจัดการง่ายขึ้นแล้ว พอแต่งออกเรือนไปเดือนหน้าก็จะไม่มีข้ออ้างที่สองสามีภรรยานั่นจะใช้ก่อเรื่องได้อีก ต้องให้แต่งก่อนสิ้นปีให้ได้ มิฉะนั้นปีใหม่คงจะไม่สงบไปทั้งปีแน่
เขาวางถ้วยทองลง แล้วนึกย้อนไปถึงตอนที่เห็นท่าทางของหญิงนางนั้นที่ยิงธนูสิบนัดติดต่อกันอยู่หน้าประตู…
ท่าทางสง่างามเยี่ยงนั้น เป็นหญิงสาวที่ใช้ได้เลยที่เดียว
ดูท่าคงจะหายดีแล้วจริงๆ แต่ก็น่าเสียดาย…
นายใหญ่เฉิงสีหน้าเคร่งขรึม เสียดายที่ตระกูลโจวรักษาจนหายดี ต้องเป็นเพราะสนิทสนมกับตระกูลโจวเป็นแน่ และตระกูลโจวย่อมไม่ให้นางมาสนิทสนมกับพวกเขา
ที่เด็กคนนี้แปลกประหลาดเช่นนี้ ต้องเป็นตระกูลโจวที่เสี้ยมสอนมาแน่นอน
ช่างเถอะ ช่างเถอะ อย่างไรเสียตั้งแต่นางจะจมน้ำตายในตอนนั้น เด็กคนนี้ก็ไม่ใช่เด็กในตระกูลเฉิงของพวกเขาอีกแล้ว เลี้ยงดูนางจนจะแต่งงานแล้ว ก็นับว่ามีเมตตามากเกินพอแล้ว
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ รินชาลงถ้วยทองเพิ่มให้อีก นายใหญ่เฉิงยกขึ้นมาอีกครั้ง กำลังจะดื่มก็มีบ่าวสองนายรีบร้อนเดินเข้ามาจากด้านนอก
“นายใหญ่ขอรับ พวกนางไม่ไปกันอีกแล้ว” พวกเขารีบเอ่ยบอก
“ไม่ไปแล้วรึ” ถ้วยทองในมือนายใหญ่เฉิงกระฉอก น้ำกระเซ็นโดนตัวสองสามหยด เขายืดตัวขึ้น “นางคิดจะทำอะไรอีก”
“ไม่ทราบขอรับ พวกนางออกจากบ้านไป เดิมทีพวกเราจะคุ้มกันไปส่ง แต่พวกเขากลับไม่ไปวัดเต๋า แต่เปลี่ยนไปทางใต้แทน” บ่าวรับใช้เอ่ยพลางชี้มือไปทางใต้
ทางใต้หรือ
“ฝั่งเฉิงใต้หรือ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยถาม
บ่าวรับใช้พยักหน้า
ไปทำอะไรกันที่นั่น
ขณะที่เฉิงเจียวเหนียงและพรรคพวกเดินเข้าตรอกของฝั่งเฉิงใต้มา ข่าวก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ในฐานะผู้เฒ่าที่คุ้นเคยกับนางที่สุดจึงถูกคนผลักออกมา
“แม่นาง เรากำลังตามหาอยู่พอดี เฉิงผิงเขา…” เขาบอกด้วยความรีบร้อนและรู้สึกผิด
เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขัดขึ้นว่า
“ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อเฉิงผิง” นางบอก
แล้วเพื่ออันใดกัน
ผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ต่างชะงักไป พวกเขามองกลุ่มคนเหล่านี้ที่สวมชุดแต่งกายพร้อมออกเดินทางกันอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าอยากมาดูที่นี่สักหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางหันมองรอบด้าน
คราก่อนบอกจะนั่งที่นี่สักหน่อย ครานี้บอกจะดูที่นี่สักหน่อย เช่นนั้นคราต่อไปก็คงจะอยู่ที่นี่สักหน่อยแล้วกระมัง
ผู้เฒ่ารีบอมยิ้มพยักหน้าเดินเข้าไปหา
“ได้สิ ได้สิ เชิญแม่นางตามสบาย” เขาเอ่ยพลางนำทางด้วยตัวเอง “พื้นไม่เรียบ แม่นางโปรดระวัง”
เฉิงเจียวเหนียงเดินตามเขาไป ปั้นฉิน พ่อบ้านเฉาและพรรคพวกก็ติดตามไปด้วย
“พื้นที่ตรงนี้กว้างมาก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ผู้เฒ่าลูบเคราหัวเราะออกมา
“เดิมทีฝั่งเฉิงใต้กับเฉิงเหนือเป็นครอบครัวเดียวกัน เรือนบรรพบุรุษก็อยู่ที่นี่” เขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจพลางมองไปรอบๆ พวกเขาเดินมาถึงด้านในสุดแล้ว เพราะอยู่ห่างจากถนน ที่นี่จึงรกร้างอย่างเห็นได้ชัด มีหญ้าแห้งขึ้นเป็นหย่อมๆ ปกคลุมซากปรักหักพังเหล่านั้นเอาไว้ อีกทั้งห้องหับที่ก่อขึ้นอย่างง่ายๆ นั้นมีเด็กน้อยโผล่หัวมาครึ่งหนึ่งมองพวกเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้อยู่ภายใน
“ต่อมาขุดลอกคูคลองเพื่อเปลี่ยนเส้นทางน้ำสิ้นเปลืองไปมาก เชิญซินแสมาดู ก็บอกว่าที่นี่ปราณหยวนถูกทำร้าย ดังนั้นจึงพากันย้ายไปทางนั้นกันหมด”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า ไม่ได้กล่าวคำใด นางเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว เห็นอะไรเข้าจึงโน้มตัวลงหยิบขึ้นมาจากพุ่มไม้รกครึ้มนั่น
มันคือกระเบื้องมุงหลังคาที่แตกหักชิ้นหนึ่ง
“แม่นาง ท่านรู้หรือไม่ว่าตระกูลเฉิงของเรา…แค่ก ตระกูลของเราชอบตกแต่งด้วยอะไร” ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยอย่างอดไม่ได้
“ก้านบัว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย มองกระเบื้องในมือ
ผู้เฒ่าตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ยามนี้ฝั่งเฉิงเหนือมิได้ชื่นชอบตกแต่งอาคารบ้านเรือนเป็นพิเศษมานานแล้ว ก้านบัวเป็นเพียงสิ่งที่เคยเห็นในเรือนบรรพบุรุษตระกูลเฉิงเท่านั้น ต่อให้เป็นคนเฒ่าคนแก่อย่างเขาก็รู้อะไรไม่มากแล้ว
นึกไม่ถึงว่าแม่นางน้อยจะพูดออกมาได้ในทันที
ไม่พูดเรื่องที่อาจเพราะนางเป็นบ้า เอาแค่ว่านางมิได้เติบโตที่นี่ หากนำเรื่องนี้ไปถามนายใหญ่เฉิง เขาก็คงตอบมิได้ แต่นางกลับตอบออกมาอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางให้เขา แกว่งกระเบื้องในมือไปมา ผู้เฒ่ามองดูมัน แม้ว่าจะชำรุดไปตามกาลเวลาแล้ว แต่ยังคงมองเห็นภาพอันงดงามบนนั้นได้อยู่
ก้านบัว
เป็นอย่างนี้นี่เอง ผู้เฒ่าหัวเราะออกมา
แม่นางน้อยช่างฉลาดนัก
เฉิงเจียวเหนียงโยนกระเบื้องนั้นกลับไป ย่างเท้าเดินหน้าต่อ ผู้เฒ่าอมยิ้มเดินตาม ไม่นานก็มาถึงบ้านที่นับว่ายังคงสะอาดสะอ้านอยู่ แม้ว่าจะสู้ฝั่งเฉิงเหนือไม่ได้ แต่ก็มีรั้วรอบขอบชิด มีเรือนตั้งอยู่
“บ้านของข้าอยู่ที่นี่ หากแม่นางไม่รังเกียจล่ะก็ เข้าไปนั่งดื่มชาสักหน่อยเถิด” ผู้เฒ่าเอ่ยพลางชี้ไปยังบ้านหนึ่งในนั้น
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ
คนข้างในได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็มามุงดูกันมากมาย เห็นพวกนางเดินเข้ามา บรรดาเด็กน้อยที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ก็รีบสลายตัวไปทันที เหล่าชายหญิงก็รีบหลีกทางให้
………………………