พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 370 ถามตามตรง
“ต้องการเพียงแค่ศักดิ์ศรี ไม่ต้องการเงินอย่างนั้นหรือ!”
ถ้วยชาในมือของนายใหญ่เฉิงถูกปาแตกจนเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งห้องหนังสือ ตามมาด้วยเสียงตะโกนอย่างเดือดดาล ถ้วยชาใบนั้นกระเด็นกระดอนออกนอกประตูไปตกอยู่กลางลานบ้าน
เหล่าบ่าวและสาวใช้ที่ทำงานอยู่กลางลานบ้านก็รีบถอยออกไปในทันที
พ่อบ้านที่อยู่ในห้องก้มหน้านิ่งเงียบราวกับแมลงจำศีลในฤดูหนาว
“นางต้องการอะไรอีก จะให้พวกเราไปคุกเข่าประเคนให้นางหรืออย่างไร” นายใหญ่เฉิงตวาดลั่น “สามหาวยิ่งนัก!”
พอสิ้นเสียง นายใหญ่ก็กุมอกไอโขลกขึ้นมาอย่างรุนแรง ก่อนหายใจกระหืดกระหอบ
พ่อบ้านและเหล่าสาวใช้ตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบรินน้ำตบหลังให้ ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าจะดีขึ้น
“นางบอกว่าอย่างไรอีก” นายใหญ่เฉิงโน้มตัวลงค้ำโต๊ะ เอ่ยถามเสียงขุ่นเคือง
พ่อบ้านนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ไม่ได้พูดอะไรอีกขอรับ…” เขาตอบ “เพียงแต่สาวใช้ผู้นั้น เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง”
เล่าเรื่องอย่างนั้นหรือ
นายใหญ่เฉิงแค่นหัวเราะ
“เล่ามา” เขาเอ่ย
พ่อบ้านค่อยๆ เล่าเรื่องที่ปั้นฉินเล่าให้ตนฟัง
นายใหญ่เฉิงหัวเราะเย้ยหยัน
“เรื่องบ้าบออะไรกัน” เขาเอ่ยพลางเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชา ทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า ก่อนจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างยกชาเข้ามาให้อย่างรีบร้อน
“นางฟ้าผ่านทางอย่างนั้นหรือ…” นายใหญ่เฉิงยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา แม้ปากจะบอกว่าไม่สน แต่ใจใสกลับเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ได้ยินมา
หลังจากนั้นนางฟ้าผ่านทางที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อจากนาง ก็มีขายไปทั่วทั้งเมือง
หลังจากนั้นนางฟ้าผ่านทางที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อจากนาง ก็มีขายไปทั่วทั้งเมือง เช่นนั้นแล้วหากข้าไม่ได้เงิน เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้เงินเช่นกัน…
นายใหญ่เฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเขวี้ยงถ้วยชาในมืออีกครั้ง
“นางกล้าดีอย่างไร!” เขาตะโกนลั่น ใบหน้าคล้ำเขียวตัวสั่นไปทั้งร่าง พอคำพูดนั้นถูกตะโกนออกไป นายใหญ่เฉิงก็หอบหายใจกระชั้นขึ้นมาราวกับจะสิ้นลม ก่อนจะยกมือขึ้นกำลำคอแล้วหงายหลังล้มลงไป
ภายในห้องอลหม่านขึ้นมาในทันใด
“รีบไปตามหมอมา!”
“รีบไปตามฮูหยินมา!”
ขณะเดียวกันฮูหยินใหญ่เฉิงที่นั่งอยู่ในห้องก็สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” นางมองฮูหยินหวังที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม “ยกเลิกการหมั้นหมายอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่ ท่านลองคิดดู ชายสิบเจ็ดเองก็ไม่เต็มใจ ผลไม้ที่เด็ดก่อนสุกงอมย่อมไม่หอมหวานฉันใด บังคับใจกันก็มีแต่ทรมานฉันนั้น เช่นนั้นแล้วก็ยกเลิกเถิดเจ้าค่ะ” ฮูหยินหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นางดีใจยิ่งนัก เมื่อครู่ยามที่ได้เจอกับแม่นางเฉิงเองก็ราบรื่น ไม่มีอะไรติดขัด แถมตอนที่นางเล่าเรื่องค้าขายบนเรือกลางมหาสมุทรตามที่สามีกำชับไว้ แม่นางเฉิงเองก็ท่าทางสนใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวละ
‘หากมีโอกาส ข้าก็อยากไปเปิดหูเปิดตาเช่นกัน’ เฉิงเจียวเหนียงตอบ
แม้จะไม่ได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำมาค้าขายด้วยกันไม่ได้ นอกจากแต่งงานแล้ว ยังมีหนทางมากมายที่จะเกี่ยวดองกัน
พวกเขามาแสดงเจตนารมณ์ให้ได้รับรู้ แม่นางเฉิงเองก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะปฏิเสธ ช่างดีอะไรเช่นนี้
แม่นางผู้นี้มีทั้งฝีมือ มีทั้งความมุ่งมั่น ทั้งยังมีเส้นสายมากมาย ช่างเป็นคู่ค้าชั้นยอด
“แม่นางคุน!”
ฮูหยินใหญ่เฉิงขมวดคิ้วตะโกนลั่น
ฮูหยินหวังเพิ่งได้สติกลับมาจึงส่งยิ้มให้
“เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน” นางเอ่ย
“ช้าก่อน เรายังคุยกันไม่จบ!” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยขึ้นในทันใด “บอกว่าจะยกเลิกก็ยกเลิกเสียอย่างนั้นหรือ เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร”
“ไม่มีอะไรต้องอธิบายเจ้าค่ะ แม่นางเฉิงเองก็ยินยอมแล้ว” ฮูหยินหวังโบกมือพลางยิ้มเอ่ย
“แม่นางเฉิงอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม
ฮูหยินหวังที่เผลอหลุดปากก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา
“ข้าหมายความว่า ผลไม้ที่เด็ดก่อนสุกงอมย่อมไม่หอมหวาน แม่นางเฉิงก็คงยินยอมหากให้เหตุผลเช่นนี้” นางเอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่ใช่คนโง่ นางจ้องมองฮูหยินหวัง
“เหตุใดเจ้าถึงไปพบนางก่อน” นางถาม “เจ้าไปพบนาง แล้วพูดเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”
ฮูหยินหวังยิ้มเจื่อน
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าก็แค่ไปเดินดูเรื่อยเปื่อย” นางเอ่ยพลางลุกยืนขึ้น “ข้าขอตัวกลับก่อน ที่บ้านยังมีธุระให้จัดการอีกเยอะ”
ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่มีทางปล่อยให้นางกลับไปเป็นแน่ นางคว้าแขนฮูหยินหวังไว้
“แม่นางคุน เจ้าบอกมาให้ชัดเจน เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ก่อนรีบร้อนอยากจะหมั้นหมายนัก พริบตาเดียวก็กลับคำเช่นนี้ อย่ามาหลอกข้าให้ยากเลย คิดว่าข้าไม่รู้จักพวกเจ้าหรืออย่างไร หากไม่มีผลประโยชน์ พวกเจ้าจะทำเช่นนี้หรือ” นางขมวดคิ้วถาม “หากเจ้ายังปิดบังข้าเช่นนี้ ข้าจะกลับบ้านไปถามชายโฮ่ว ข้าจะไปถามเขา ว่าพวกเจ้ามีลับลมคมในกับพี่สาวแท้ๆ ของตนเช่นนี้หรือ”
นางเอ่ยพลางนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ก็รู้สึกปวดใจอย่างอดไม่ได้
“ข้ามาอยู่ตระกูลเฉิง ต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ เวรกรรมนี้ข้ายอมรับ ข้าจะยอมทน แต่แม้แต่ตระกูลของตนเอง เหตุใดถึงทำกับข้าเช่นนี้”
นางเอ่ยน้ำตาไหลพราก ก่อนจะยกมือขึ้นมากุมหน้าร่ำไห้
ฮูหยินหวังที่รู้สึกผิดอยู่ในใจก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก
“ท่านพี่ พวกข้าจะมีลับลมคมในกับท่านได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นเพราะชายสิบเจ็ดไม่เต็มใจจริงๆ ข้าเองก็จนใจ” นางเอ่ยอย่างรีบร้อนก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง “อันที่จริง อาจะเป็นเพราะพวกท่านพี่รู้จักแม่นางเฉิงผู้นี้น้อยเกินไป ท่านไปสืบเรื่องของนางให้ชัดแจ้งกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือ”
รู้จักน้อยเกินไปอย่างนั้นหรือ ไม่สืบเรื่องของนางอย่างนั้นหรือ เด็กบ้านั่นมีเรื่องอันใดให้ต้องรู้จักต้องสืบถามอีกหรือ
ฮูหยินใหญ่เฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง นางกำลังจะเอ่ยปากถาม แม่นมจากข้างนอกก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนก่อนจะตะโกนโหวกเหวก
“นายใหญ่หมดสติไปอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินใหญ่เฉิงตกใจ ฮูหยินหวังใช้จังหวะนี้สะบัดมือนางออก
“ท่านพี่ ท่านรีบไปดูสามีของท่านเถิด” นางเอ่ย “ไม่ต้องไปส่งข้า ข้าขอตัวก่อน”
นางเอ่ยจบก็รีบร้อนหนีออกไป ฮูหยินใหญ่เฉิงทั้งโมโหทั้งร้อนใจ แต่ก็ไม่มีเวลาจะพะวงเรื่องของนาง จากนั้นจึงรีบไปดูอาการนายใหญ่เฉิง
หมอที่เชิญมาทั้งฝังเข็มทั้งสั่งยาให้ หลังจากโกลาหลกันอยู่พักใหญ่ อาการของนายใหญ่เฉิงก็ดีขึ้น ทว่าหมอยังคงสั่งห้ามไม่ให้ลงจากเตียงอีกสองสามวัน ทั้งยังกำชับว่าอย่าได้โมโหให้เลือดลมพุ่งพล่านนัก ให้ทำใจให้สบาย
ได้ยินเช่นนั้นนายใหญ่เฉิงก็ยิ่งโมโห
“จะให้ข้าทำใจให้สบายได้อย่างไร! จะให้ข้าทำใจให้สบายได้อย่างไร!” นายใหญ่เฉิงตะโกนลั่นอยู่บนเตียง
หมอผู้นี้เป็นถึงหมอชื่อดังของเมืองเจียงโจว ทั้งยังเป็นคนอารมณ์ร้อนไม่น้อยเช่นกัน
“นั่นก็เป็นเรื่องของนายท่านเอง ข้าน้อยเองก็ไม่รู้เช่นกัน” เขาเอ่ย “ข้าน้อยทำเป็นแค่รักษาโรค แต่รักษาชีวิตคนไม่ได้หรอก”
นายใหญ่เฉิงเดือดดาลจนล้มหงายหลังไปอีกครั้ง ฮูหยินใหญ่เฉิงเองก็โมโหไม่แพ้กัน แต่ก็ไม่กล้าผิดใจกับหมอผู้นี้ ทำได้เพียงเรียกคนให้ออกไปส่งเขา ส่วนตนก็เฝ้านายใหญ่เฉิงทั้งน้ำตา
“ข้ารู้ว่าท่านโมโหนัก แต่ถึงจะโมโหเพียงใดก็ต้องอดทนไว้ นายท่าน ยามนี้ในเรือนก็วุ่นวายมากพอแล้ว ท่านแม่เองก็แก่ชรา ชายรองเองก็ตีตัวออกห่าง หากท่านเป็นอะไรไปอีก ตระกูลเฉิงจะอยู่อย่างไร!” นางเอ่ยปลอบ “คนเราเกิดมาบนโลกนี้ ก็เพื่ออดทน หากทนได้ ก็ย่อมต้องทนต่อไป”
ขณะที่นางเอ่ยปลอบก็ในใจนึกถึงเรื่องราวมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่ฮูหยินหวังจู่ๆ ก็พูดขึ้นเมื่อครู่ หัวใจก็พาลปวดร้าวชาวาบเสียยิ่งกว่าเดิม เสียงร่ำไห้ก็ยิ่งฟังดูเจ็บปวดมากขึ้น
นายใหญ่เฉิงเห็นนางฟูมฟายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“เจ้าเองก็ทำใจให้สบายเถิด ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงตั้งสติตั้งรับ” เขากลับกลายเป็นฝ่ายปลอบนางเสียเอง
ฮูหยินใหญ่เฉิงฟุบหน้ากับเตียง ร้องไห้หนักเสียยิ่งกว่าเดิม
“เด็กคนนั้นไม่ได้อำมหิตธรรมดา” นายใหญ่เฉิงเอ่ยต่ออย่างเชื่องช้า “แม้แต่สินเดิมนางก็ไม่ต้องการแล้ว…”
ฮูหยินหวังตกใจจนเงยหน้าขึ้น
“แล้วนางต้องการจะทำอะไร” นางเอ่ยถามน้ำตานอง
นายใหญ่เฉิงกวาดสายตามองไปทั่วห้อง ใบหน้าซีดเซียวนั้นช่างดูเศร้ามอง
“นางคงต้องการทำลายตระกูลเฉิงของเราให้สูญสิ้น…” เขาเอื้อนเอ่ย
นางต้องการทำลายตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ ฮูหยินใหญ่เฉิงตื่นตระหนก
ยังไม่ต้องพูดถึงว่านางจะสำเร็จหรือไม่ แต่ทำเช่นนี้แล้วมีประโยชน์อันใดกับนางกัน
“มีประโยชน์อันใดอย่างนั้นหรือ ผู้ใดจะไปรู้กัน” นายใหญ่เฉิงเอ่ยพึมพำ “พอนางฟ้าผ่านทางมีขายกันทั่วเมือง แล้วคนผู้นั้นได้ประโยชน์อันใดกัน”
ว่าอย่างไรนะ นางฟ้าผ่านทางอย่างนั้นหรือ นี่เขาพูดถึงเรื่องอะไรอยู่
“นางฟ้าผ่านทางคืออะไรหรือเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามอย่างสงสัย ก่อนจะเอื้อมมือไปอังหน้าผากนายใหญ่เฉิงอย่างห้ามไม่อยู่
นายใหญ่เฉิงส่ายหัวเบือนหน้าหนี ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ใครก็ได้เข้ามาที” เขาตะโกนออกไปข้างนอก “ไปตามพ่อบ้านมาที”
ไม่นานพ่อบ้านก็มาถึง
“เจ้าลองไปถามคนในเมืองดู ไปดูสิว่ามีผู้ใดรู้เรื่องนางฟ้าผ่านทางที่เมืองหลวงบ้าง” นายใหญ่เฉิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
จะให้ไปถามจริงๆ หรือ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าเหลวไหลจากปากของสาวใช้หรอกหรือ
พ่อบ้านเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้นายใหญ่รับเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจไม่ได้ เขาจึงจำใจขานรับแล้วออกไป
“นางฟ้าผ่านทางคือสิ่งใด เหตุใดถึงต้องไปสืบถามเรื่องนี้ด้วย” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามอีกครั้ง
นายใหญ่เฉิงเองก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ข้าเองก็ไม่รู้ สืบความได้อย่างไรค่อยว่ากัน” เขาเอ่ยเสียงคลุมเครือ
พอพูดถึงเรื่องสืบถาม ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“บ้านแม่ข้าขอยกเลิกการหมั้นหมายเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
นายใหญ่เฉิงชะงักไป แต่ไม่นานก็ได้สติกลับมา ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“นางคงไม่ได้ไปพบเจียวเหนียงก่อนเพื่อพูดเรื่องนี้หรอกกระมัง” เขาถาม
“ปากนางไม่ยอมรับ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนั้น” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย ในใจก็รู้สึกชาวาบขึ้นมา “นางถึงกับไปพูดเรื่องนี้กับเด็กบ้านั่นก่อน พอเด็กบ้านั่นตกลงแล้ว นางถึงได้มาบอกกับข้า… หรือว่าในสายตาฝั่งบ้านแม่ข้า ข้ายังสู้เด็กบ้านั่นไม่ได้หรือ”
พูดไปก็นึกอยากจะร้องไห้
นายใหญ่เฉิงเองก็เหม่อลอย
“ทั้งยังบอกให้ข้าไปสืบถามเรื่องของเด็กบ้านั่นเพิ่มเติมอีก…” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยเสียงสะอื้น
“สืบถามอย่างนั้นหรือ!” นายใหญ่เฉิงตะโกนแทรกนาง แต่เพราะหมดแรงเขาจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
ฮูหยินใหญ่เฉิงตกใจจนไม่กล้าพูดต่อ ก่อนเอ่ยปลอบประโลมไม่หยุดปาก ทว่านายใหญ่เฉิงกลับกุมมือนางเอาไว้
“เรื่องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเป็นแน่” เขาเอ่ยเสียงหอบ “ชายสิบเจ็ดไปอยู่เมืองหลวงตั้งนาน แถมยังกลับมากับเด็กบ้านั่นอีก พวกเขาต้องรู้เรื่องอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้เกี่ยวกับเด็กบ้านั่นเป็นแน่! เรื่องนั้นต้องทำให้พวกเรารีบร้อนอยากจะหมั้นหมาย ทั้งยังทำให้พวกเขายกเลิกอย่างกะทันหันเช่นนี้อย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นเรื่องที่ปิดบังพวกเราอยู่อีกด้วย!”
เรื่องนี้ฮูหยินใหญ่เฉิงเดาออกตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ มือของนางที่ถูกนายใหญ่เฉิงกุมไว้นั้นสั่นเทา ไม่รู้ว่าเป็นตัวเองที่สั่นหรือว่าเป็นนายใหญ่เฉิงกันแน่
“รีบไปสืบ รีบไปสืบ” นายใหญ่เฉิงกัดฟันเอ่ยออกมาทีละคำอย่างยากลำบาก
ให้ไปสืบเรื่องนางฟ้าผ่านทางจากเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน!
พ่อบ้านทอดถอนใจอยู่ริมถนน ฟ้าเพิ่งจะสว่าง ทว่าเขานั้นเตรียมพร้อมที่จะเดินไปทั่วเมืองแล้ว
สองวันที่ผ่านมา เขาได้แต่ทำเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา
เดิมทีหากต้องไปสืบเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสียด้วยซ้ำ ทว่ายามนี้นายใหญ่อารมณ์ไม่ดีนัก แถมในเรือนก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นไม่น้อย หากพวกบ่าวเผลอหลุดปากออกไป การสืบข่าวเรื่องเล็กๆ อาจจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาได้
“ท่านอวี๋มาดื่มชาในเมืองอีกแล้วหรือ” เหล่าคนที่เพิ่งมาเปิดร้านถามไถ่ทักทาย
หากเทียบกับแต่ก่อนที่ผู้คนมักจะทักทายเขาด้วยความนอบน้อม ตอนนี้ความยำเกรงนั้นก็ดูเหมือนว่าจะลดน้อย ทั้งยังแฝงไปด้วยความอย่างรู้อยากเห็นอีกต่างหาก
พ่อบ้านตระกูลเฉิงส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะยิ้มเย็นชาไม่สนใจ เขาควบม้าออกไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะมาถึงถนนที่คึกคักที่สุดของเมือง ฝ่าฝูงชนไปยังโรงน้ำชาที่คึกคักที่สุด
“ท่านอวี๋ ท่านอวี๋ อาหารเลื่องชื่อจากเมืองหลวงที่ท่านเอ่ยถึงวันนั้น มีอยู่จริงเสียด้วย”
คราวนี้พอก้าวเข้ามา ผู้ดูแลร้านก็เข้ามาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง พลางเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เป็นอย่างไร รีบเล่ามาเร็ว” เขาเอ่ยขึ้นในทันใด
พอสิ้นเสียง ก็มีเสียงคนเดินตึงตังเข้ามาจากนอกประตู
“ท่านลุง ข้าขอถามทางสักหน่อย” เสียงของคนผู้นั้นดังกังวาน สำเนียงเมืองหลวงเด่นชัด
พ่อบ้านตระกูลเฉิงและผู้ดูแลร้านเหลียวไปมองตามสัญชาตญาณ ก็เห็นบ่าวหนุ่มในชุดสีคราม ใบหน้ามอมแมม เห็นได้ชัดว่าเดินทางมาอย่างรีบเร่ง
“จะไปที่ใดหรือ” ผู้ดูแลร้านถามต่อ
“ไปตระกูลเฉิง เฉิงเหนือน่ะ” บ่าวหนุ่มในชุดสีครามตอบ