พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 371 วุ่นวาย
จะไปเฉิงเหนืออย่างนั้นหรือ
ผู้ดูแลร้านยิ้มขึ้นมาในทันใด ก่อนจะผายมือไปทางพ่อบ้านตระกูลเฉิง
“เช่นนั้นเจ้าก็ถามถูกคนแล้วล่ะ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พ่อบ้านขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปทางบ่าวหนุ่ม มาจากเมืองหลวงหรือนี่
“เจ้ามาหาผู้ใดหรือ ผู้ใดส่งเจ้ามากัน” เขาถาม
คนจากเมืองหลวงที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิงก็มีเพียงแค่ตระกูลโจว อ๋อ แล้วยังมีท่านชายสี่อีกคน หรือว่าท่านชายสี่จะส่งคนมาบอกข่าวกันนะ
บ่าวหนุ่มในชุดสีครามมองเขาด้วยความสงสัย
“ท่านคือ…” เขาเอ่ยถาม
“เขาเป็นพ่อบ้านประจำตระกูลเฉิง” ผู้ดูแลร้านยิ้มเอ่ย
บ่าวหนุ่มในสีชุดสีครามร้องอ๋อ ทว่าสีหน้ากลับไม่ปรากฏความเกรงกลัวหรือว่าความนอบน้อมแต่อย่างใด ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าดีใจอีกด้วย
“เช่นนั้นก็พอดีเลย ข้ามีเรื่องจะถามท่าน ตอนนี้แม่นางเจียวเหนียงแห่งตระกูลเฉิงพักอยู่ที่เรือนของท่านหรือว่าอยู่ข้างนอก” เขาถาม
พ่อบ้านที่ถูกถามเบิกตาโพลง
ว่าอย่างไรนะ
“เจ้า เจ้ามาหาเฉิงเจียวเหนียงรึ” เขาถามอย่างประหลาดใจ
“ก็ใช่น่ะสิ” บ่าวหนุ่มตอบ
“เจ้ามาจากตระกูลโจวหรือ”
บ่าวชุดครามหัวเราะ
“ท่านพ่อบ้าน หากข้ามาจากตระกูลโจวยังต้องถามทางอีกหรือ” เขายิ้มเอ่ย น้ำเสียงเย้ยหยันอย่างไม่ปกปิด
แววตาของพ่อบ้านเริ่มขุ่นเคืองขึ้นมาไม่น้อย ขณะที่กำลังลังเลจะถามออกไป ก็มีเสียงของหญิงนางหนึ่งดังขึ้นมาจากภายในร้าน
“ท่านชายหกตระกูลเฉินหรือ”
เสียงนั้นพาให้ทุกคนเหลียวไปมอง พ่อบ้านตระกูลเฉิงตกตะลึงเสียยิ่งกว่าเดิม นั่นเหล่าแม่นมตระกูลฉินนี่ พวกเขารู้จักกันหรือ
บ่าวชุดครามยิ้มแป้นในทันใด
“เอ้า พวกท่านแม่นมก็อยู่ที่นี่หรือ! โชคดียิ่งนัก!” เขารีบก้าวไปข้างหน้าพลางคำนับให้
“พวกเจ้ามาทำอะไรกันหรือ”
“นายท่าน นายใหญ่ แล้วก็ฮูหยินให้ข้ามาส่งของขวัญขอรับ”
“ไม่บอกข้าก่อนเล่า จะได้มาพร้อมกับข้า”
“แยกกันมาก็ครื้นเครงดีออกนะขอรับ”
“ไปกัน ข้าจะพาพวกเจ้าไปพบแม่นางเอง”
พวกเขาพากันพูดคุยหัวเราะเดินออกไป เหลือเพียงพ่อบ้านและผู้ดูแลร้านที่ยืนอ้าปากค้างอยู่กับที่ในโรงน้ำชา
“พวกเขาพูดถึง… คือคนของตระกูลเจ้า ลูกสาวคนโตที่เป็นบ้าของนายรองหรือ” ผู้ดูแลร้านเอ่ยถาม
พ่อบ้านเฉาราวกับกรามค้างไปชั่วขณะ ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดี
ตระกูลฉินมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่กลับไป ยามนี้ก็มีตระกูลเฉินมาอีก แถมดูเหมือนว่าล้วนแต่มาเพราะแม่นางผู้นั้น
ผู้ใดจากตระกูลเฉินกัน
“ท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมือง!”
ภายในศาลาว่าการเมืองเจียงโจว ชิงเค่อผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เจ้าเมืองและพรรคพวกสามคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็ตกใจกันยกใหญ่
พอเห็นชิงเค่อของตนเสียกิริยาเช่นนี้ เจ้าเมืองเองก็ขุ่นเคืองไม่น้อย
“ท่านเจ้าเมือง คนจากตระกูลเฉินมาขอรับ” ชิงเค่อเอ่ย
“ตระกูลเฉินจากที่ใด” เจ้าเมืองถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เมืองหลวง เฉินเซ่า มาจากตระกูลของอำมาตย์เฉินขอรับ” ชิงเค่อตอบ
คราวนี้ไม่ใช่เพียงแต่เจ้าเมือง แต่ขุนนางประจำท้องที่อีกสองคนที่นั่งอยู่ก็พรวดพราดลุกยืนขึ้นในทันใด
“เหตุใด เหตุใดถึงไม่มีคราวข่าวอะไรมาก่อนเลย” เจ้าเมืองซ่งเอ่ยอย่างร้อนรน พลางเร่งให้คนไปหยิบชุดคลุมประจำตำแหน่งมาให้
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ท่านใต้เท้ามา แต่เป็นบ่าวตระกูลเฉินขอรับ” ชิงเค่อรีบร้อนตอบ “คนจากศาลาพักม้าเพิ่งส่งข่าวมาขอรับ”
ส่งบ่าวมาอีกแล้วหรือ
เจ้าเมืองซ่งขมวดคิ้วพลางมองชิงเค่อ
หลังจากวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง ทงพั่นและผู้ช่วยเจ้าเมืองก็ถูกเรียกตัวมา ข่าวที่สั่งให้ไปสืบเพิ่มเติมก็มาถึงแล้วเช่นกัน
“ไม่ได้มุ่งหน้าไปที่เรือนตระกูลเฉิง แต่ไปฝั่งเฉิงใต้อย่างนั้นหรือ…”
“คนส่งข่าวบอกว่าแม่นางเฉิงผู้นั่นพักอยู่ที่ฝั่งเฉิงใต้ขอรับ”
“ไม่ผิดแน่ แม่นมตระกูลฉินเป็นคนพาไปด้วยตัวเองขนาดนั้น ต้องไปพบแม่นางเฉิงผู้นั้นเป็นแน่!”
พูดถึงเพียงเท่านั้นเจ้าเมืองซ่งก็ตบโต๊ะดังปัง
“ถึงว่าละเหตุใดนางถึงได้กล้าก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็มีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังนี่เอง” เขาเอ่ย
ทงพั่นและผู้ช่วยเจ้าเมืองหันมาสบตากันเมื่อได้ยินคำว่าคอยหนุนหลัง หากมีคนคอยหนุนหลังเช่นนี้ย่อมมีผลดีและผลร้านแก่พวกเขา ดีที่พวกเขาไม่ต้องเกรงกลัวนายใหญ่เฉิง แต่ผลร้ายที่ตามมาก็ไม่น้อยเช่นกัน…
“เช่นนั้นคดีนี้ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี” ทงพั่นเอ่ยถามเสียงต่ำ
เช่นนั้นแล้วเรื่องแบ่งทรัพย์สินตระกูลเฉิงก็ต้องระงับไว้ก่อนอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็หมดสนุกเสียแล้วสิ
เจ้าเมืองซ่งลูบเคราครุ่นคิดไม่เอ่ยคำใด ทว่าผู้ช่วยเจ้าเมืองกลับหัวเราะออกมา
“ข้าว่าไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก” เขาเอ่ย “แม่นางผู้นั้นบอกแล้วไม่ใช่หรือ นางไม่ได้ต้องการสินเดิม ทว่าต้องการเพียงแค่ศักดิ์ศรี”
เจ้าเมืองซ่งส่ายหน้า
“เรื่องผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร ผู้ใดบ้างจะไม่หวังผลประโยชน์ ทั้งยังเป็นเงินของตัวเองอีกต่างหาก” เขาเอ่ย
ทงพั่นตบมือแปะๆ
“เช่นนั้นก็ง่ายเลย” เขาเอ่ย “คดีที่พวกเราคำคือคดีของตระกูลเฉิง ไม่ใช่เรื่องของแม่นางเฉิงเสียหน่อย”
นั่นหมายความว่า เพียงแค่ไม่แตะต้องสินเดิม เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
แต่ก่อนมีเหตุให้กังวล แต่ยามนี้กลับมีเหตุมาคลายกังวลให้แล้ว ก็อย่างที่ว่านั่นแล แม่นางผู้นั้นพูดอย่างชัดเจนแล้วว่านางไม่ต้องการเงิน แต่นางต้องการใช้ตระกูลเฉิงชดใช้
พอได้ยินคำพูดของทงพั่น เจ้าเมืองและผู้ช่วยเจ้าเมืองก็เข้าใจทันที ก่อนจะยกถ้วยชาดื่มให้ทงพั่น
“หลักแหลมยิ่งนัก หลักแหลมยิ่งนัก” ทุกคนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามใช้ชาแทนเหล้าก่อนจะชนแก้วแล้วยกดื่มรวดเดียวหมด
“ฮูหยิน ฮูหยิน ดูสิเจ้าคะ ดูสิเจ้าคะ”
สองแม่นมประคองฮูหยินรองเฉิงเดินมาอย่างรีบเร่ง ก่อนจะหยุดอยู่กลางตรอกแล้วชี้เข้าไปข้างใน
“มีคนมาพบแม่นางอีกแล้วเจ้าค่ะ เป็นคนจากเมืองหลวงเหมือนกัน”
คนจากเมืองหลวงอีกแล้วหรือ
ฮูหยินรองเฉิงเดินเข้าไปใกล้อย่างอดไม่ได้ พลางหรี่ตาเพ่งมอง
รถม้าดูดีไม่แพ้ตระกูลฉินเลยทีเดียว แม่นมที่เดินลงมาก็สวมเสื้อผ้าสีสันสดใส ของขวัญที่ยกลงมาก็มีทั้งห่อเล็กห่อใหญ่
“ตอนนั้นข้าไม่น่าออกไม่เลย แต่เพราะถูกไล่ออกมาเนี่ยสิ หากอ้อนวอนขอโทษขอโพยอีกสักหน่อยก็คงได้อยู่ต่อ” ฮูหยินรองเฉิงบ่นพึมพำอย่างนึกเสียดายพลางเอ่ยถามขึ้น “มาจากตระกูลใดกัน”
“ได้ยินว่าแซ่เฉินเจ้าค่ะ” แม่นมตอบ
ตระกูลเฉินจากเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ คนแซ่เฉินมีถมเถไป เท่าที่นางรู้จักก็มีแค่ไม่กี่ตระกูล อย่างเช่นเฉินเซ่าอำมาตย์เฉิน นางเหนือจากนี้นางก็ไม่รู้จักแล้ว
“ท่าทางดูสนิทสนมกับตระกูลฉินไม่น้อยเลย คงเป็นคนใหญ่คนโตเหมือนกันกระมัง” ฮูหยินรองเฉิงพูดกับตัวเอง
ส่วนฝั่งนายใหญ่เฉิงก็กำลังฟังรายงานจากพ่อบ้าน
“แซ่เฉินอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้วถาม “มาจากเมืองหลวงอย่างนั้นรึ”
พ่อบ้านพยักหน้า
นายใหญ่เฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ใดกันนะ เกิดอะไรขึ้นกับหญิงผู้นี้ที่เมืองหลวงกันแน่
“ฮูหยินใหญ่กลับมาหรือยัง” เขาถาม
ฮูหยินใหญ่เฉิงไปที่เรือนตระกูลหวัง ตั้งใจจะไปถามเรื่องนี้ให้รู้กันชัดแจ้งเสียที นับดูแล้ววันนี้คงกลับมาแล้วกระมัง
“นายใหญ่ขอรับ เรื่องนางฟ้าผ่านทางสืบได้ความแล้วขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“รีบพูดมาสิ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยขึ้นมาในทันใด
“เรื่องมีอยู่ว่าคนแซ่โต้วเป็นคนทำขึ้นมา ขายดิบขายดี ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ต่อมาก็มีสิ่งที่เรียกว่าสุขใจไร้กังวลโผล่ขึ้นมาในเมืองหลวง คล้ายกับนางฟ้าผ่านทางแต่ราคาถูกกว่า ทำให้นางฟ้าผ่านทางขายไม่ได้ คนแซ่โต้วผู้นั้นจึงไปหาเรื่อง พอก่อเรื่องยกใหญ่กิจการก็ยิ่งแย่กว่าเดิม จนสุดท้ายต้องขายร้านแล้วกลับบ้านเกิดไป” พ่อบ้านเอ่ย “ยามนี้นางฟ้าผ่านทางกลับมาขายดีอีกครั้ง ทั้งยังราคาแพงหูฉี่ กลายเป็นร้านอาหารชื่อดังในเมืองหลวง ใช่ว่าใครที่ไหนก็จะได้กิน แขกที่มาส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นขุนนางหรือพวกผู้ดี ยิ่งยามฤดูเช่นนี้ แทบจะหาที่นั่งไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
พูดจบก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยเสริมต่อ
“ต่างจากที่สาวใช้ผู้นั้นเล่าลิบลับ”
นายใหญ่เฉิงลูบเคราพลางครุ่นคิด
แซ่โต้วอย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นที่นิยมอย่างมาก ต่อมาก็มีสุขใจไร้กังวลโผล่ขึ้นมาก กิจการจึงถดถอย ท้ายที่สุดก็ต้องขายต่อ…
ไม่เหมือนกันอย่างไร
แต่ก่อนมีคนผู้หนึ่งแซ่โต้ว เขาไปพบเจอคนผู้หนึ่งกินนางฟ้าผ่านทาง เขาจึงเลียนแบบแล้วทึกทักเอาว่าเองว่าตนเป็นเจ้าของ จากนั้นขายดีจนร่ำรวย กิจการเองก็รุ่งเรือง
เพราะคิดว่านางฟ้าผ่านทางเป็นสูตรของตนเอง พอเขาได้เจอกับผู้ที่กินนางฟ้าผ่านทางเป็นคนแรก เขากลับไม่เอ่ยขอบคุณแต่อย่างใด ทั้งยังวางอำนาจข่มขู่ผู้นั้นอีกต่างหาก
แต่สุดท้ายคนผู้นั้นบอกว่านางฟ้าผ่านทางมิใช่ของนาง แม้จะให้เงินนาง นางก็ไม่อาจรับไว้ ต่อมาในเมืองหลวงก็มีสิ่งที่เรียกว่าสุขใจไร้กังวลโผล่ขึ้นมา น่าหน้าตาคล้ายกับนางฟ้า ทว่าราคาถูกกว่า
สุดท้ายนางฟ้าผ่านที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อจากนางก็มีขายให้ทั่วเมือง จนนางฟ้าผ่านทางขายไม่ออกอีกต่อไป จนท้ายที่สุดก็ต้องขายร้านแล้วกลับบ้านเกิดไป…
นายใหญ่เฉิงลูบเคราด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนลมหายใจจะหอบกระชั้นขึ้นมา
ไม่ใช่ไม่เหมือน แต่คือเรื่องเดียวกันเลยต่างหาก! เรื่องเดียวกัน!
“แล้วตอนนี้นางฟ้าผ่าทางนั่นเป็นร้านของผู้ใด” เขาถามเสียงสั่น
“เรื่องนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ได้ยินมาว่าเถ้าแก่เป็นคนเก่งกาจนัก เหมือนจะมีความสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่โตเสียด้วย” พ่อบ้านเอ่ย
“อย่างเช่น” นายใหญ่เฉิงถาม
“อย่างเช่น ตระกูลเฉิน…” พ่อบ้านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง นายใหญ่เฉิงก็ผุดตัวลุกขึ้นนั่งในทันใด
“ตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือ” เขาตะโกนลั่นพลางชี้นิ้วไปด้านนอก “ตระกูลเฉินนั่นน่ะหรือ”
พ่อบ้านตกใจตัวโยน
“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่ขอรับ ตระกูลของเฉินเซ่า อำมาตย์เฉินน่ะขอรับ” เขาตอบ
นายใหญ่ยังคงสีหน้าดังเดิม นิ้วมือที่ชี้อยู่สั่นเครือ
“เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไร ว่าตระกูลเฉินที่อยู่ด้านนอก ไม่ใช่ตระกูลของเฉินเซ่า อำมาตย์เฉิน” เขาเอ่ยเสียงสั่น
พ่อบ้านสีหน้าตกตะลึง
ว่าอย่างไรนะ
ตระกูลเฉินที่มาส่งของขวัญปีใหม่ให้แม่นางเฉิง คือตระกูลของเฉินเซ่า อำมาตย์เฉินอย่างนั้นหรือ
“ได้ถามให้แน่ชัดก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ เอาแต่คิดเองเออเอง คิดออกแล้วจะได้อะไรขึ้นมา! หลอกตัวเองอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงตวาดลั่น
พ่อบ้านตกใจลนลานลุกยืนขึ้น ก่อนจะขานรับแล้ววิ่งออกไปในทันที
ฝั่งเฉิงใต้ยังคงคึกครื้นเหมือนเคย ทั้งรถทั้งม้าจอดเรียงราย เหล่าเด็กเล็กและหญิงสาวมองดูเหล่าชายหญิงสำเนียงแปล่งด้วยความประหลาดชายหญิงเหล่านั้นไม่ได้ดูเอื้อมไม่ถึง เหมือนดั่งรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขา แถมบางคนยังให้ลูกอมหยอกล้อกับเด็กๆ บรรยากาศช่างดูสนุกสนาน
พ่อบ้านสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินหน้าไป ก็ได้ยินเสียงรถม้าดังขึ้นอีกครั้ง
มีผู้ใดมากันอีก
พ่อบ้านเหลียวไปมองอย่างตกใจ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ขอบคุณฟ้าดิน คราวนี้ผู้มาเยือนเป็นคนที่เขารู้จัก บ่าวชราที่ยืนอยู่หน้ารถมาจากตระกูลจาง… ตระกูลจางอย่างนั้นหรือ
พ่อบ้านเฉาตาเบิกโพลงแทบจะหยุดหายใจในทันใด
ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้หรอก!
“คนเยอะจริงเชียว” บ่าวเฒ่าจากตระกูลจางเอ่ยขึ้น
คนจากตระกูลฉินและตระกูลเฉินไม่รู้จักบ่าวเฒ่าผู้นี้
“ท่านก็มาส่งของขวัญปีใหม่เหมือนกันหรือ” บ่าวจากตระกูลเฉินคนหนึ่งเอ่ยถาม ยังจะมีตระกูลใดมาอีก ได้ข่าวว่าตระกูลบัณฑิตถงเองก็จะมาส่งของขวัญเหมือนกัน….
แต่ฟังจากสำเนียงคนผู้นี้น่าจะเป็นคนในท้องที่
“ข้าไม่ได้มาส่งของขวัญปีใหม่หรอก” บ่าวชราเอ่ยอย่างเชื่องช้า “มีคนวานให้เอาของมาฝากน่ะ”
พูดจบก็มองไปที่ผู้คนที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ผู้ใดเป็นคนของแม่นางเฉิงบ้าง” เขาถาม
ทันในนั้นผู้ติดตามจากตระกูลโจวคนหนึ่งก็รีบเดินเข้ามา
“ข้ามาจากตระกูลจาง” บ่าวชราเอ่ยจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว
ตระกูลจางอย่างนั้นหรือ…
สำเนียงท้องถิ่น ตระกูลจาง
แม่นมจากตระกูลฉินที่อยู่ด้านข้างเหม่อลอย ส่วนชายจากตระกูลเฉิงนั้นนึกออกในทันใด เพราะนายใหญ่ของเขาเอาแต่ด่าทอจางฉุนเอย เจียงโจวอย่างนั้นอย่างนี้ไม่หยุดปาก
“ท่านมาจากตระกูลท่านอาจารย์เจียงโจวอย่างนั้นหรือ” ชายจากตระกูลเฉินถามขึ้น
พอได้ยินดังนั้นแม่นมตระกูลฉินก็ตกใจในทันที
แม้แต่ท่านอาจารย์เจียงโจวก็มาส่งของให้แม่นางเฉิงด้วยหรือนี่…
บ่าวชราไม่ตอบเขา ก่อนจะพูดกับผู้ติดตามจากตระกูลโจว
“นายท่านของตระกูลข้า…” เขาเอ่ย
คำพูดนั้นทำเอาทุกคนที่อยู่ในที่นั้นรวมถึงพ่อบ้านตระกูลเฉิงหูผึ่งจนแทบลืมหายใจ
การอ้างตัวแทนนายท่านตระกูลจางเช่นนี้ แตกต่างจากตระกูลฉินและตระกูนเฉินที่มาในนามของฮูหยินหรือนายใหญ่ลิบลับ เพราะว่านายท่านนั้นอาวุโสกว่า…
“สาวใช้ที่ชื่อว่าปั้นฉินของนายใหญ่…” บ่าวเฒ่าจากตระกูลจางเอ่ยเสียงเนิบนาบ
ทุกคนพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่ากลับต้องสูดหายใจลึกอีกครั้ง สาวใช้ของนายท่าน ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของนายท่านน่ะสิ
พ่อบ้านตระกูลเฉิงเหมือนจะนึกอะไรออกบางอย่าง คับคล้ายคับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหน เขามองไปยังรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตู ความคึกครื้นจากทางนั้นยิ่งทำให้เขาร้อนรนใจ
แม้หน้าประตูจะคึกคักเพียงใด ทว่าภายในเรือนของเฉิงเจียวเหนียงกลับเงียบสงบ
“นี่เป็นของที่ตันเหนียงตั้งใจมอบให้ท่าน…”
แม่นมตระกูลเฉินยิ้มพลางดันกล่องใบน้อยไปข้างหน้า
“กำชับข้าเสียหลายหนว่าต้องมอบให้แม่นางเป็นอย่างแรก”
ปั้นฉินยิ้มพลางรับมาแล้วเปิดออก ก็เห็นเป็นตุ๊กตาดินเผา นางยิ้มแล้วส่งให้กับเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงที่โน้มตัวค้ำกับโต๊ะยื่นมือออกไปรับ
“บอกว่าเหมือนแม่นางนัก” แม่นมป้องปากหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มพลางมองดูตุ๊กตาดินเผารูปหญิงงามที่สวมเสื้อสีขาวกระโปรงสีแดง ทำท่ายกมือป้องปาก
เฉินตันเหนียง…
น้องสาวของนางหลายคนก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตันเหนียง…
“เช่นนั้นก็ขอบใจยิ่งนัก” นางเอ่ย
แม่นมตระกูลเฉินสบตานาง แววตาดูสงสัย ทว่ากลับรีบหลบสายตาก่อนจะคำนับลา
ปั้นฉินออกมาส่งพวกนางด้วยตัวเอง พอใกล้จะถึงหน้าประตูก็เหลียวหลังกับมามอง จึงได้เห็นว่าภายในประตูเปิดออกเพียงครึ่งหนึ่ง เฉิงเจียวเหนียงยังคงนั่งโน้มตัวค้ำกับโต๊ะไม่ไหวติง ราวกับตุ๊กตาดินเผาที่อยู่ข้างกายนางมิปาน
เสียงหัวเราะของเด็กน้อยนอกเรือน เสียงพูดคุยของชายหญิงมากมาย เสียงปลูกเรือนตึงตังที่อยู่ไกลออกไป ท่ามกลางเสียงวุ่นวายนั้น เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ทว่าเพียงแค่ประตูบานหนึ่งที่ขวางกั้นก็เหมือนกับอยู่กันคนละโลก
ปั้นฉินหลบตาลงก่อนจะทอดถอนใจ ก่อนจะคำนับลากับเหล่าแม่นมตระกูลเฉิน