พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 376 โทษตัวเอง
“เหว่ยหลัง เจ้าพูดอะไรน่ะ”
สุรเสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นภายในตำหนักอย่างช้าๆ
“ฝ่าบาทเพคะ!” กุ้ยเฟยร้องไห้ฟูมฟาย โน้มตัวคุกเข่าลงกับพื้น แทบจะสิ้นสติ “หม่อมฉันยอมตายเพคะ…”
เสียงร้องไห้นี้ทำลายบรรยากาศนิ่งอึ้งภายในตำหนักลง ทว่ากลับทำให้จิตใจของทุกคนเหมือนตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง
สุดท้ายก็เริ่มจนได้…ห้ามไว้ไม่ได้แล้ว…
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองพระองค์ เดินเข้าไปหาก้าวหนึ่ง กำลังจะเอ่ยปาก ขันทีที่อยู่ด้านนอกก็ตะโกนรายงานขึ้นมาเสียก่อน
“ฮองเฮาเสด็จ”
ประตูที่หนักราวกับทองพันชั่งถูกเหล่าขันทีเปิดออก ฮองเฮาที่ไม่ได้ลงจากเตียงและออกจากตำหนักมาเสียนานมีนางกำนัลสองนางคอยประคองให้เดินมาอย่างช้าๆ
ฮองเฮาสวมชุดพิธีการ สวมมงกุฎหงส์กับเสียเพ่ย[1]ยิ่งขับให้ดูผอมโซมากขึ้น ราวกับถูกลมพัดเข้าก็จะล้มลงได้
หลังจากเงียบกริบกันอยู่ครู่หนึ่ง กุ้ยเฟยร้องไห้คำนับฮองเฮา
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว”
เสียงนี้ดังขึ้นภายในตำหนัก
กุ้ยเฟยปิดปากตัวเองอย่างอดไม่ได้ ท่าทางตระหนกตกใจ นางพูดคำนี้ออกไปได้อย่างไร เหตุใดนางจึงบอกว่ามีความผิดเล่า
“จิ่งหรง เจ้ามาทำอันใดที่นี่ รีบลุกขึ้นเสีย” ไทเฮาตรัส
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว” ฮองเฮาตรัสขึ้นอีกครั้ง
กุ้ยเฟยถอนหายใจ ที่แท้เป็นฮองเฮาที่เอ่ยขึ้นต่างหาก แต่นางก็พลันตระหนกขึ้นมาอีก ฮองเฮามารับโทษด้วยตนเองเช่นนี้ หรือจะไม่ยอมให้เรื่องจบลง
ดูเหมือนไทเฮาจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเงียบไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก สีหน้าซับซ้อนอยู่เล็กน้อย
“ออกไปกันให้หมด” ฮ่องเต้ตรัสขึ้น
ทุกคนภายในตำหนักพากันแตกรังออกไปเหมือนถูกอภัยโทษโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดทั้งนั้น พอออกจากตำหนักมาได้สีหน้าก็ซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่กเหมือนกับเพิ่งออกมาจากประตูยมโลกก็มิปาน
ภายในตำหนักเหลือเพียงเหล่าราชวงศ์เท่านั้นที่ยังอยู่ ตำหนักยิ่งดูกว้างใหญ่ขึ้นมาก ประตูถูกปิดแน่นสนิท ราวกับแสงตะวันไม่อาจส่องเข้ามาถึงได้ มืดสลัวอย่างมาก
“จิ่งหรง เจ้ารีบลุกขึ้น ร่างกายยังอ่อนแออยู่ เรื่องลิ่วเกอร์นี้…”
ไทเฮาตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มองฮองเฮาด้วยสายตาโศกเศร้าทว่าก็แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
บรรยากาศที่ไร้ชีวิตชีวาได้ปกคลุมภายในตำหนักอีกครั้ง ราวกับว่าลมหายใจของทุกคนได้หยุดชะงักไป
“เป็นอุบัติเหตุ”
ใช้ห้าพยางค์สั้นๆ นี้ตัดสินเรื่องที่เกิดขึ้นในครานี้ ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของไทฮองด้วยเช่นกัน
ประโยคนี้จบลง กุ้ยเฟยก็ยังคงน้ำตานองหน้าดังเดิม ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใด
บรรยากาศภายในห้องหยุดนิ่งอีกครั้ง
รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ยืนอยู่ข้างเตียง เด็กหนุ่มหัวเราะไร้เสียงออกมา มองดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง
“นี่มิใช่อุบัติเหตุ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่อ้าปากยังไม่ทันจะเอ่ยออกมาก็ต้องตกตะลึง มองฮองเฮาที่ชิงพูดขึ้นตัดหน้า
ฮองเฮาที่นั่งคุกเข่าบนพื้นเอ่ยขึ้นพลางเงยหน้า ถอดมงกุฎบนศีรษะออก ผมที่เกล้าไว้พลันสยายลงมา เห็นผมหงอกขาวที่แซมอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน
กุ้ยเฟยยกมือขึ้นปิดปากไว้ก่อนจะหลุดเสียงตกใจออกมา
ฮองเฮาอ่อนวัยกว่าฮ่องเต้ แม้ว่าจะป่วยมานาน แต่ก็บำรุงร่างกายเป็นอย่างดี นึกไม่ถึงว่ายามนี้เกศาที่สวยงามจะหงอกขาวขึ้นมาอย่างมาก
หงอกขาวเมื่อไม่นานมานี้ หรือเพราะว่าได้ยินข่าวเข้าก็พลันเปลี่ยนเป็นสีขาวกัน
ฮองเฮายื่นมงกุฎไปเบื้องหน้า นางกำนัลข้างกายก็ยื่นตราประทับประจำตัวฮองเฮาออกมา
“จิ่งหรง ตระกูลฮั่ว ขอปลดตัวจากตำแหน่งฮองเฮาเพคะ” ฮองเฮาโน้มคำนับกล่าว
สีหน้าของนางเคร่งขรึมยิ่งขึ้น ส่วนฮ่องเต้ยังคงสีหน้าไม่ยินดียินร้ายดังเดิม
“จิ่งหรง เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ไทเฮาถามขึ้นช้าๆ
ฮองเฮาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเหลืองตอบแย้มยิ้มอย่างน่าเวทนา
“ไทเฮาเพคะ นี่เป็นความผิดของจิ่งหรงเอง” นางก็ทูลบอกอย่างช้าๆ เช่นกัน “นี่มิใช่อุบัติเหตุ นี่เป็นความผิดของจิ่งหรง หากจิ่งหรงไม่ชื่นชมลิ่วเกอร์ว่ากตัญญู เขาก็คงไม่ปีนเขาไปเด็ดกิ่งเหมยมาให้ในฤดูหนาวเช่นนี้เพื่อเอาใจข้า เขาก็คงไม่ลื่นล้มจนบาดเจ็บ เขาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ ไม่รู้ความอันใด เขาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ ซ้ำมารดาแท้ๆ ก็มาด่วนจากไปแล้วยังถูกข้าเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ไทเฮาเพคะ เขาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ แต่เขาไม่รู้ความอันใด เขาอยากจะเอาอกเอาใจข้า ให้ข้าดีใจ ไทเฮาเพคะ ฝ่าบาทเพคะ เขาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ ส่วนข้าเป็นผู้ใหญ่ ข้ากลับไม่อบรมสั่งสอนเขาให้ดี ส่งเสริมให้ท้ายเขา อันที่จริง อันที่จริงข้ามิได้ชอบดอกเหมยเลยเพคะ ไม่ชอบแม้แต่น้อย…”
ฮองเฮายกมือขึ้นลูบอก แล้วตบลูบหนักๆ น้ำเสียงของนางเร็วขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าก็ฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ แตกต่างกับสีหน้าของไทเฮายามนี้ที่ผ่อนคลายลง ความเด็ดเดี่ยวในแววตามลายหายไป แทนที่ด้วยความสงสาร
“จิ่งหรง จิ่งหรงเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว นี่ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับเจ้า นี่เป็นอุบัติเหตุ…” ไทเฮาร้องไห้ยกมือเอ่ยขึ้น
“มิใช่อุบัติเหตุ!” ฮองเฮาตะโกนเสียงแหลม นางกำเสื้อผ้าตัวเองแน่น ถลึงตาโต “เป็นข้า เป็นข้าที่ทำร้ายเขา! เป็นข้าที่ทำร้ายเขา! ข้าไม่ชอบดอกเหมยพวกนั้น แล้วก็ไม่ชอบโดนเขาป้อนยา ข้าไม่ชอบสิ่งเหล่านี้เลย แต่ข้ากลับแสร้งทำเป็นชอบ ข้าอยากให้ทุกคนเห็นว่าข้าชอบ เป็นข้าที่ทำร้ายเขา! หากข้าบอกเขา ตำหนิเขาให้เร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่ไปเด็ดดอกเหมย เขาจะไปเด็ดดอกเหมยอันใดได้อีก! เขายังเป็นเด็กน้อยอยู่แท้ๆ แต่ถูกข้าส่งเสริมให้เขาไปเด็ดดอกเหมย มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เห็นว่าเขากตัญญูรู้คุณได้ เขายังเป็นเด็กตัวน้อยๆ อยู่แท้ๆ ข้าทำร้ายเขา ข้าทำร้ายเขา…”
น้ำเสียงแหลมสูงของฮองเฮาก้องสะท้อนอยู่ภายในตำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ยกมือขยำเสื้อผ้า ดึงทึ้งผมตัวเอง
“รีบไปดึงนางไว้ เร็วเข้า!” ไทเฮาลุกแล้วตะโกนขึ้นในที่สุด
กุ้ยเฟยก็ร้องห่มร้องไห้โผเข้ากอดแขนฮองเฮาไว้ตะโกนเรียก
สีหน้าฮ่องเต้ไม่เรียบนิ่งอีกต่อไป มีสีหน้าหดหู่โศกเศร้าหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้นของฮองเฮา
“ไม่ เป็นความผิดของเราเอง…” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น “ดัดไม้งอให้ตรง[2] น้ำผึ้งก็คือสารหนู[3] เขายังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง จิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เป็นข้าที่ชมเขาว่ากตัญญูรู้คุณ เขาเคารพข้า เอาใจข้า เป็นข้าที่ทำร้ายเขา…”
ไทเฮาขยับกาย
“ฝ่าบาท อย่าทำให้วุ่นวายไปกว่านี้เลย! นี่เป็นอุบัติเหตุ! ชีวิตคนผู้หนึ่ง ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้นได้ แค่ดื่มน้ำก็สำลักตายยังมี! มีผู้ใดโทษคนที่เอาน้ำให้เขาดื่มบ้างเล่า เป็นความผิดของน้ำหรือ” นางตะคอก
ฮองเฮาที่อยู่อีกด้านทุกข์โศกเสียจนคลุ้มคลั่งจนกุ้ยเฟยดึงไว้ไม่อยู่แล้ว
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกร้องไห้ดังกันระงม
“หมอหลวง หมอหลวง!”
ไทเฮารีบตะโกนเรียก
ประตูตำหนักถูกเปิดออก แสงตะวันสาดส่องเข้ามาอีกครั้ง นางกำนัลขันทีและหมอหลวงต่างกรูกันเข้ามา เสียงเอะอะดังขรมภายในตำหนักอีกครั้ง ทว่าได้ไล่บรรยากาศเย็นเยียบและอึดอัดจนหายใจไม่ออกเมื่อครู่นี้ให้หายไป เต็มไปด้วยความสดชื่นมีชีวิตชีวาที่มนุษย์พึงมี
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน สีหน้าแข็งทื่อมองดูบรรยากาศที่เปลี่ยนแปรไปในชั่วพริบตา
เขามิได้หันหลังกลับ แต่ค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ จนชนเข้ากับเตียง จากนั้นก็นั่งลงอย่างช้าๆ เด็กน้อยด้านหลังนอนหลับอย่างสงบเงียบ
ท้องฟ้าแจ่มใสในยามกลางวัน แต่ตกค่ำมากลับมีลมราตรีโชยพัด ลมหนาวพัดผ่านภายในตำหนักอย่างแรง ส่งเสียงหวีดหวิวดั่งภูติผี
ประตูถูกเปิดออก ร่างอ้วนท้วมที่นั่งหลบมุมอยู่ด้านในสุดก็เริ่มสั่นเทา
จะมาฆ่าเขาแล้วหรือ
เป็นคนหรือเป็นผีกัน
“ซื่อเกอร์…” เสียงหญิงนางหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอก ม่านถูกเลิกขึ้น จากนั้นกุ้ยเฟยก็เดินเข้ามา
นางกำนัลก้มลงจุดไฟภายในตำหนักทั้งสองด้าน ภายในห้องพลันสว่างไสว สะท้อนให้เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของกุ้ยเฟย
นางเลิกผ้าม่านบนเตียงขึ้น มองคนตัวสั่นเทาที่อยู่ภายในผ้าห่ม แววตานางพลันประกายความร้อนรนปรากฏขึ้น นางกวาดตามองไปรอบๆ บรรดานางกำนัลก็รีบก้มหน้าเดินออกไป
กุ้ยเฟยนั่งลงบนเตียง ยื่นมือเลิกผ้าห่มขึ้น
องค์ชายใหญ่หลบเหมือนกับเห็นผี แต่ถูกกุ้ยเฟยยื่นมือไปจับเอาไว้
“เจ้าหวาดกลัวอันใด!” กุ้ยเฟยตะคอกเสียงดัง
การตะคอกครานี้ระงับความหวาดกลัวในใจขององค์ชายใหญ่เอาไว้ เขาไม่กล้าขยับอีก
กุ้ยเฟยสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นโอบองค์ชายใหญ่เอาไว้ อีกมือลูบหลังเขา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่เป็นอันใดแล้ว” นางเอ่ยปลอบ “ลิ่วเกอร์ยังไม่ตาย…”
ประโยคนี้จบลง องค์ชายใหญ่ที่ผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้วร่างกายก็พลันตึงเครียดขึ้น ทำท่าจะปีนหนีในพริบตา กุ้ยเฟยกดเขาเอาไว้แน่น สองแม่ลูกสบตากัน สีหน้าหวาดผวาด้วยกันทั้งคู่
เขายังไม่ตาย…เขายังไม่ตาย…คนอื่นรู้เข้าแล้วใช่หรือไม่ว่าเขาเป็นคนปล่อยมือ…
องค์ชายใหญ่หน้าซีดเผือดตัวสั่นงันงกเหมือนเจ้าเข้า
นึกไม่ถึงว่าจะหวาดกลัวถึงเพียงนี้ พอได้ยินว่ายังไม่ตาย เขาไม่ดีใจแต่กลับหวาดกลัว เช่นนั้นก็แสดงว่า…
ความหวาดผวาถามโถมเข้ามาในใจของกุ้ยเฟย
เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่…
“องค์ชายทั้งสองออกจากตำหนักฮ่องเต้มา เดินผ่านสวนหลวง จากนั้นจึงไปเด็ดดอกเหมย…”
ณ ตำหนักฮองเฮา ขันทีนายหนึ่งคุกเข่าบนพื้นเอ่ยทูลเสียงสั่น พูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าเสริมขึ้นว่า
“นี่เป็นความคิดขององค์ชายรอง ในคราแรกองค์ชายใหญ่ไม่ยอม แต่ต่อมาถูกขันทีข้างกายกล่อมสองสามคำจึงได้เดินตามไป…”
ฮองเฮาที่ถูกหามจากตำหนักองค์ชายรองนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับได้หลับไปแล้ว
ขันทีไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก เขาเล่าต่อว่า
“…ต่อมาก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน องค์ชายใหญ่ให้พวกขันทีไปเด็ดดอกไม้ ส่วนองค์ชายรองไปเด็ดด้วยตัวเอง จากนั้นองค์ชายรองกับองค์ชายใหญ่ก็พูดคุยกัน ซ้ำองค์ชายรองยังรบเร้าให้องค์ชายใหญ่ไปดูดอกเหมยอีกด้วย จากนั้น…จากนั้นดินตรงนั้นก็อ่อนยวบลง องค์ชายรองไม่ทันระวังจึงไปเหยียบมันเข้า…”
“ไม่ใช่ เขาถูกองค์ชายใหญ่ผลักตกลงไป”
เสียงหนึ่งขัดขึ้น
ขันทีก้มหน้านิ่งไม่หันไปมอง
เงาของจิ้นอันจวิ้นอ๋องทาบทับลงบนเตียง
ขันทีที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ในขณะนั้นถูกโบยจนตายหมดแล้ว ผู้ที่รู้เรื่องราวแน่ชัดเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนแล้ว ทว่านึกไม่ถึงว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะรู้ นี่หมายความว่าอย่างไร
ถ้าไม่เพราะว่าวังหลวงแห่งนี้หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ก็ต้องเพราะว่าเหยี่ยวข่าวของจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่มีตัวตนเป็นเหมือนของประดับผู้นี้มีอยู่ทั่วทั้งวังหลวงแล้ว
ไม่ว่าจะอย่างใด นี่ล้วนมิใช่เรื่องที่ดี
“เล่าต่อสิ”
เสียงฮองเฮาดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่หยุดนิ่งภายในห้อง
“…องค์ชายรองเหยียบพลาด องค์ชายใหญ่จับไว้ได้ แต่แรงไม่พอ พอพวกขันทีกรูกันเข้ามาก็สายไปเสียแล้ว…” ขันทีเอ่ยรวดเดียวจนจบ
ภายในห้องพลันเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงลมดังซู่ ซู่ อยู่ด้านนอกเท่านั้น
“เจ้าออกไปเถิด” ฮองเฮาเอ่ยบอก
ขันทีรีบโขกหัวรับคำแล้วจากไป ขณะที่เขากำลังปิดประตูนั้นแผ่นหลังที่เปียกชื้นได้ถูกลมหนาวพัดจนหนาวเสียดกระดูก แต่ในใจกลับผ่อนคลายลง เขามองไปรอบๆ ก้มหน้าก้มตาหายลับไปในรัตติกาล
ภายในห้องแสงริบหรี่ ฮองเฮานั่งลงบนเตียง แม้ว่าสีหน้าจะยังคงเหลืองตอบ ผมเผ้ายาวสยาย แต่บนใบหน้านั้นกลับไร้ซึ่งความคลุ้มคลั่งเหมือนตอนกลางวันอีก กระทั่งความโศกเศร้าก็มลายหายไป
“เจ้าอยู่ในวังมานานหลายปี ซ้ำยังมีชีวิตอย่างดี ข้าเคยคิดว่าไม่ว่าจะพบเจอเรื่องใด เจ้าก็จะไม่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น”
น้ำเสียงของฮองเฮากลับมาเรียบนิ่งดังเดิม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องคุกเข่าอยู่ข้างเตียง ก้มหัวลงปิดบังสีหน้าเอาไว้
“ข้าไม่นึกเลยจริงๆ ว่าวันนี้เจ้าจะรนหาที่ตาย” ฮองเฮาเอ่ยต่อ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่นั่งคุกเข่าอยู่กำมือที่ตกอยู่ข้างตัวไว้แน่น
“เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ นอกจากจะส่งชีวิตตัวเองไปตายน่ะ”
น้ำเสียงของฮองเฮาเบาลงเรื่อยๆ เพราะการป่วยอันยาวนาน น้ำเสียงของนางจึงไม่น่าฟัง โดยเฉพาะหลังจากร้องห่มร้องไห้ ตะโกนโวยวายเมื่อตอนกลางวันนั้นแล้ว ตอนนี้แหบหยาบไร้เรี่ยวแรงอย่างมาก
องค์ชายรองได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้ใครต่างก็รู้ ส่วนเหตุใดจึงบาดเจ็บได้นั้น ไม่มีใครไปสงสัยใคร่รู้สักคน โดยเฉพาะไทเฮาได้ประกาศว่านี่เป็นอุบัติเหตุแล้วด้วย
ในสถานการณ์เช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะยังซักไซ้ไล่ถาม อีกทั้งคำถามที่ใช้ยังน่าหวาดผวาเช่นนั้นอีกด้วย
องค์ชายใหญ่บอกว่าอย่างไร
คำถามที่เขากำลังสงสัย ในใจทุกคนต่างทราบคำตอบดี
ทำร้ายน้อง
ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่ประโยคนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายขึ้นมาได้ ทำให้องค์ชายใหญ่ตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงได้ อย่าว่าแต่กุ้ยเฟยและไทเฮาที่จะไม่ให้อภัยเขา แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ไม่ปล่อยเขาไว้แน่
เหตุใดเขาจะไม่รู้ แน่นอนว่าเขารู้ เขามีชีวิตอยู่อย่างระแวดระวังจนเติบใหญ่ขึ้นเพียงนี้ อ่านตำราประวัติศาสตร์พวกนั้นจนแตกฉาน สังเกตการแข่งขันแย่งชิงของเหล่าขุนนางในราชสำนักอย่างละเอียด ยังมีอันใดที่เขาไม่รู้อีก
เขารู้ว่าตัวเองพูดประโยคนั้นไปก็จะกลายเป็นคนที่ไม่น่าให้อภัยได้ ความคิดที่เคยตัดสินใจจะออกจากวังหลวงแห่งนี้อย่างมั่นคงปลอดภัย แต่นี้ต่อไปความปรารถนาในอิสระของเขาได้กลายเป็นฟองอากาศแล้ว
เขาเคยคิดว่าขอเพียงรู้เรื่องราวให้มากๆ เข้าใจในหลักการและเหตุผลเยอะๆ ก็จะสามารถมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งยังสามารถปล่อยวางได้ ทว่าที่แท้นั้นไม่ใช่ ไม่ใช่เลย
เรื่องบางเรื่องมันก็ช่าง…
“ไม่พอใจ…”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องโน้มตัวโขกหัว น้ำเสียงแหบแห้งสะอื้นออกมาเป็นสามคำนี้
ไม่พอใจ! ไม่พอใจเลย! ไม่พอใจสักนิด!
……………………….
[1] เสียเพ่ย เครื่องประดับชนิดนี้จะใช้คู่กับมงกุฎหงส์ คล้ายผ้าพาดไหล่
[2] ดัดไม้งอให้ตรง การแก้ไขข้อผิดพลาดจนเกินขีดจำกัด
[3] น้ำผึ้งก็คือสารหนู เดิมมาจากคนหนึ่งเห็นเป็นน้ำผึ้ง อีกคนเห็นเป็นสารหนู เปรียบเปรยว่าแม้เป็นสิ่งเดียวกันกลับมีค่าต่างกันสำหรับแต่ละคน