พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 389 จากลาอีกหน
คนเราบนโลกนี้มักจะเอาตนเองไปเปรียบกับคนที่สูงกว่า เทียบกันว่าผู้ใดสู่หรือกว่าผู้ใด ทุกคนล้วนแต่หมายจะสูงส่งเหนือผู้อื่น แต่แข่งกันว่าผู้ใดโชคร้ายหรือน่าสมเพชกว่ากันเช่นนี้ก็แปลกพิลึกอยู่เหมือนกัน
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ
“ฟางป๋อฉง” นางเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าจงรู้ไว้ ว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงเจ้าคนเดียวที่น่าสมเพช คนที่ต้องทุกข์ยากลำบากโลกนี้ไม่ได้มีแค่เจ้าเพียงผู้เดียว ก็เป็นเช่นนี้แล หากเป็นคน ก็ล้วนต้องมีทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“เช่นนั้นแล้วเฉิงฝั่ง เจ้าก็อย่าได้ทุกข์ใจไป” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนางแล้วยิ้มบางให้
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้ทุกข์ใจ ทุกข์ใจนั้นไม่น่ากลัว หากทุกข์ใจนั่นก็แปลว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่” นางเอ่ย “ทุกข์นั้นไม่กลัว กลัวเพียงแต่ จะผ่านพ้นมันไปมิได้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ เขายื่นมือออกมาก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งแล้วตบลงบนบ่านางอย่างแผ่วเบา ทว่าพริบตาเดียวก็ชักมือกลับแล้วเดินนำหน้าไป
เฉิงเจียวเหนียงเดินตาม
ยามปั้นฉินสวมเสื้อคลุมเดินตามออกมา ก็เห็นว่าทั้งสองเดินตามกันออกไปไกลบนถนนในหุบเขาแล้ว
“ท่านลุงเฉา ท่านลุง” นางรีบเอ่ยเรียก
พ่อบ้านเฉาที่อยู่อีกฟากหนึ่งขานตอบรับ
“มีคนตามไปหรือยัง คนพวกนั้น… ยังล้อมอยู่หรือไม่” ปั้นฉินกดเสียงให้ต่ำลง เอ่ยขึ้นก่อนจะเหลียวมองไปรอบกายอย่างหวาดหวั่น
พ่อบ้านเฉาพยักหน้า
“มีคนตามไปแล้ว วางใจเถิด” เขาตอบ “นายหญิงพูดถูก อย่าได้กังวลไป หากคนพวกนั้นคิดจะลงมือก็คงทำไปตั้งนานแล้ว”
ปั้นฉินพยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งตามไป
ยามใกล้เที่ยง รถม้าวิ่งเบียดเสียดกันออกไปตามเส้นทางบนภูเขา เจ้าอาวาสซุนพาคนทั้งวัดมายืนอยู่ริมถนน สีหน้าเศร้าโศกนัก
ปั้นฉินยื่นใบสั่งยาออกไป
“นี่คือชาสงบใจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “แม้ข้าไม่อาจรักษาโรคของเขาได้ แต่ชานี้ให้เขาดื่มเป็นประจำ จะได้บรรเทาความว้าวุ่นของเขา”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้าพลางยื่นมือออกไปรับไว้
“เจ้าจะไปเหลียงโจวนานเพียงใด” เขาถาม
“ยังไม่รู้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ข้าเขียนจดหมายถึงเจ้าได้หรือไม่… แต่ท่าทางนางเองก็คงไม่รู้ว่าจะพักอยู่ที่ใด เช่นนั้นเจ้าเขียนจดหมายหาข้าได้หรือไม่… แต่จะส่งมาถึงในวังได้อย่างไร
สุดท้ายจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ
“เดินทางปลอดภัย” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงย่อเข่าคำนับ
“เดินทางปลอดภัย” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันหลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชะงักไปก่อนจะเหลียวกลับมา
“เฉิงฝั่ง” เขาเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มออกมา “อันที่จริง ข้าแค่อยากเจอเจ้าถึงได้มา”
เมื่อพูดจบเขาไม่รอให้เฉิงเจียวเหนียงตอบก่อนจะสาวเท้ายาวเดินจากไป
แค่อยากเจอเจ้า…
ยามเศร้าใจทุกข์ใจก็อยากจะมีใครสักคนให้ไปหากระมัง
ปั้นฉินเม้มปากยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แม้จะฟังดูเศร้าไม่น้อยแต่ก็ยังยิ้มออกมา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังจะขึ้นรถ แต่องค์ชายรองกลับกระโดดลงรถมา ก่อนจะวิ่งโซซัดโซเซไปตามทาง เหล่าผู้ติดตามก็พากันรีบวิ่งตามไปคว้าตัวไว้
“ให้เขาวิ่งไปเถิด ข้าตามไปเอง” เขาเอ่ยทั้งยังไม่ขึ้นรถม้าก่อนจะวิ่งตามไปอย่างที่ว่าจริงๆ
“ลิ่วเกอร์ ช้าหน่อย อย่าวิ่งเร็วนัก”
คนหนึ่งวิ่งคนหนึ่งเดินตามกันไปบนเส้นทาง เหล่าผู้ติดตามที่อยู่บนรถม้าก็ร้องเรียกกันแล้วตามออกไป เฉิงเจียวเหนียงเองก็หันหลังกลับ
“นายหญิง”
เจ้าอาวาสซุนรีบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์
“ไม่ว่าท่านจะกลับมาเมื่อใด วัดไท่ผิงจัดเตรียมห้องไว้ให้ท่านเสมอ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณ ปั้นฉินพยุงนางขึ้นรถม้าไป
รถม้าแล่นออกไปทางตะวันตก เจ้าอาวาสซุนยืนอยู่ริมทางมองดูรถม้าจนลับตาไป
ยามออกจากเมืองมาได้ประมาณสิบลี้ ปั้นฉินก็แหวกม่านรถให้เปิดออก พ่อบ้านเฉารีบควบม้าเข้ามาประกบ
“เฉากุ้ย เจ้ากลับไปเถิด แม้เจ้าจะมาส่งข้าไกลเพียงใดสักวันก็ต้องกลับไปอยู่ดี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
พ่อบ้านเฉาสีหน้าลังเล
“นายหญิง คนพวกนั้นยังตามอยู่นะขอรับ” เขากดเสียงต่ำ
“ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “หากพวกเขาคิดจะลงมือก็คงทำตั้งนานแล้ว ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่คิดหาเรื่องใส่ตัวเช่นนั้นหรอก”
พ่อบ้านเฉาพยักหน้าขานรับ มองดูเส้นทางเวิ้งว้างของป่าเขาในวันแรกของปี ทั้งถนนมีเพียงพวกเขาที่กำลังเดินทางไกล ยิ่งดูยิ่งเปล่าเปลี่ยวนัก
“นายหญิง ให้ข้าตามไปเถิด ท่านไปเช่นนี้ข้าไม่อาจวางใจได้เลย” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงได้สินเดิมคืนมาแล้ว แต่เพราะเดินทางออกจากเรือนมาไกลไม่มีผู้ใดดูแล หากปล่อยทิ้งไว้เช่นนั้นก็คงไม่ได้ จึงมอบอำนาจให้พ่อบ้านเฉาดูแลกิจการค้าขายทั้งหมด พอได้ยินดังนั้น พ่อบ้านเฉาเองก็ทั้งดีใจ ทั้งยังกังวลใจไม่น้อย
เขาดีใจที่ตนเองได้รับมอบหมายหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้จากนายหญิง ร้านสองร้านและที่นาอีกสองผืนเขาเป็นคนรับมอบเองกับมือ มูลค่าราคาเท่าใดนั้นย่อมรู้ชัดแจ้งยิ่งกว่าผู้ใด และที่กังวลใจก็เพราะจู่ๆ ตนเองก็กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินมหาศาลทั้งสี่ชิ้น แม้เมื่อตอนอยู่กับตระกูลโจวนี่ก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แค่คิดก็ยังไม่อยากจะคิดเลยเสียด้วยซ้ำ พอมานึกถึงปั้นฉินที่ต้องดูแลกิจการของทั้งสามร้านในเมืองหลวง เขาเองก็เริ่มมั่นใจขึ้นบ้าง
สาวใช้ผู้นั้นอายุน้อยกว่าเขาตั้งเยอะ เขาจะสู้นางไม่ได้เชียวหรือ
เพียงแต่หากตนเองไม่ได้คุ้มกันนายหญิงจนถึงที่หมาย ก็รู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย
กิจการเหล่านั้นได้มาจากแผนการของนายหญิง มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของนาง แต่พวกเขากลับเสวยสุขจากกิจการเหล่านั้น จะมองอย่างไรก็ไม่เหมาะไม่ควรทั้งนั้น
“ไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เจ้าพูดเองมิใช่หรือว่าทั้งหมดเป็นแผนการของข้า ไม่ได้พึ่งพาพวกเจ้าแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วหากไม่มีพวกเจ้า ข้าก็ยังคงทำตามแผนการได้สำเร็จดังเดิม เจ้าจะกังวลใจไปทำไม”
พ่อบ้านเฉายิ้มเจื่อน
“แม้เจ้าจะติดตามข้าไป แต่สิ่งที่เจ้าทำล้วนแต่เป็นคำสั่งของข้า เจ้าเป็นคนทำหรือผู้อื่นเป็นคนทำก็ไม่ต่าง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วยื่นมือชี้นิ้วไปที่เหล่าผู้ติดตามข้างกาย
พอเห็นนางชี้ เหล่าผู้ติดตามก็ควบม้าเข้ามาประชิดตามสัญชาตญาณในทันที ท่าทางของพวกเขาแสนกระตือรือร้น ขาดก็เพียงเสียงตะโกนขานรับว่าขอรับ ขอรับเท่านั้น
พ่อบ้านเฉาเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“พวกเขาใช้ได้กันทั้งนั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วหันไปมองพ่อบ้านเฉา “เพียงแต่ข้าไม่อยู่ ที่นั่นยังต้องการคน ต้องการคนที่ดูแลร้านได้ คนที่ตัดสินใจเองเป็นและกล้าตัดสินใจ แล้วก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามอำเภอใจ”
พ่อบ้านเฉายืดอกเชิดคางขึ้นอย่างอดไม่ได้
ข้า ข้า หมายถึงข้านี่ นายหญิงกำลังชมเขาอยู่!
“เช่นนั้นแล้วหากเจ้าติดตามข้าไป ข้าเองก็กังวลใจเช่นกัน หากเจ้าอยู่ เจ้าวางใจ ข้าก็วางใจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
พ่อบ้านเฉาสีหน้าตื่นเต้นก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมแล้วพยักหน้ารับ
“นายหญิงโปรดวางใจ ข้าน้อยจะดูแลด้วยชีวิต” เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น
ต้องทำให้ดีกว่าสาวใช้ที่เมืองหลวงให้ได้
ปั้นฉินอมยิ้มก่อนจะปิดม่านลง พ่อบ้านเฉาหันหลังแล้วกำชับกับเหล่าผู้ติดตามอีกครั้ง
เหล่าผู้ติดตามล้อมรอบเขาด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่เฉา ท่านนี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ ได้รับมอบหมายงานแล้ว ยังจะตามพวกข้าไปอีกหรือ พี่น้องก็รอทำผลงานอยู่เหมือนกันนะ”
“นั่นสิ ท่านตั้งใจทำหน้าที่ผู้ดูแลร้านใหญ่ไปเถิด อย่าแย่งงานพวกข้าทำเลย”
“ท่านตั้งใจทำงานให้ดีละ หากสู้พี่สาวที่เมืองหลวงไม่ได้ ขายหน้าลูกผู้ชายแย่”
พ่อบ้านเฉาหัวเราะแต่ก็ไม่วายเอ็ดพวกเขาอยู่นาน
“พวกเจ้าเองก็ตั้งใจทำงานล่ะ เชื่อฟังนายหญิง ทำอะไรให้มันเรียบร้อย” เขาเอ่ย “เรื่องเงินข้าจะดูแลเอง ส่วนคนก็ฝากพวกเจ้าด้วย เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว วันดีดีกำลังรอเราอยู่”
แน่นอนสิ ตั้งแต่ติดตามนายหญิงมา ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขกายสบายใจ ไม่ต้องคิดพะวงหน้าหลังเดาใจเจ้านาย เจ้านายที่สั่งการเด็ดขาดเช่นนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ใช่ว่ามีเงินแล้วจะแลกมาได้ ทุกคนต่างหัวเราะชอบใจก่อนจะยกมือขึ้นคำนับกัน
เส้นทางอันยาวไกล ท้องฟ้าสว่างไสว
เจ้ากรมกิจการเกาชูมือขึ้น เหยี่ยวตัวหนึ่งบนท้องฟ้าก็บินโฉบลงมา
“รักษาไม่ได้อย่างนั้นหรือ” เขาเหลียวกลับไปมองผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลัง
“ขอรับ แม่นางผู้นั้นบอกว่าชิ่งอ๋องไม่ได้เป็นโรคถึงตาย ทั้งยังแข็งแรงดี ถึงจะเป็นบ้าแต่ก็มิใช่โรคที่นางจะรักษาให้ตามกฎได้ จึงไม่ได้รักษาขอรับ” ผู้ติดตามเอ่ย
“แหม รักษากฎดีจริงเชียว” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะส่งเหยี่ยวในมือให้แก่บ่าว เขาเช็ดมือพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
“พอบอกว่ารักษาไม่ได้เพราะกฎ จวิ้นอ๋องก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ เกือบจะลงไม้ลงมือกับแม่นางผู้นั้นแล้ว เขาถามนางว่าที่ไม่รักษาเพราะเป็นกฎ หรือว่านางรักษาไม่ได้กันแน่ แม่นางผู้นั้นไม่เกรงกลัวเลยสักนิด แล้วก็บอกว่าที่ไม่รักษาเพราะกฎ และที่ตั้งกฎเช่นนั้นก็เพราะนางรักษาไม่ได้” ผู้ติดตามเล่าใส่สีตีไข่
เจ้ากรมกิจการเกาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะยกใหญ่แล้วพยักหน้า
“ก็อย่างว่าแหละหนาหมอเทวดาพวกนั้น พอถูกต้อนจนมุม สุดท้ายแล้วก็หาเหตุผลเข้าข้างตนเองจนได้” เขาเอ่ย “รักษากฎเช่นนี้ก็ดี รักษากฎเช่นนั้นก็ดี ว่าแต่นางเดินทางไปที่ใดหรือ”
“ไปเหลียงโจวขอรับ เหมือนว่าจะไปตามหาคน” ผู้ติดตามเอ่ย
เจ้ากรมกิจการเกาส่ายหัว สีหน้าดูไม่สบอารมณ์นัก
“ดื้อด้านนัก คิดว่าตนเป็นเด็กน้อยหรืออย่างไร ปีใหม่ก็อออกไปเถลไถล เอาแต่ว่าตระกูลไม่เหลียวแล แต่ตนเองกลับก่อเรื่องใหญ่โตราวกับไม่รู้จักญาติพี่น้อง” เขาเอ่ย “มีลูกหลานเช่นนี้ คนในบ้านคงปวดหัวไม่น้อย”
ผู้ติดตามขานรับ
“เช่นนั้นคนของเรา…” เขาเอ่ยถามหยั่งเชิง
“กลับมาเถิด เราไม่ใช่คนตระกูลเฉิงเสียหน่อย จะไปคอยตามลูกหลานตระกูลอื่นทำไม” เจ้ากรมกิจการเกายิ้มเอ่ย
ผู้ติดตามรับคำ
“ส่งคนไปตามจวิ้นอ๋องแทน คุ้มกันให้ดี” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ไม่คิดเลยหรือว่าหากเกิดเรื่องข้างนอกจริงจะเป็นอย่างไร ฝ่าบาทกับไทเฮาคงทรมานใจไม่น้อย เดิมทีก็ร้อนใจอยู่แล้ว พวกเจ้าจับตาดูให้ดีละ ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แม้ขนเส้นเดียวก็ห้ามร่วง”
เด็กน้อยอ่อนแอเช่นนั้น ก็เหมือนกับสัตว์เลี้ยงที่บอบช้ำมิปาน เขาย่อมเอ็นดูสงสารอยู่แล้ว
เหล่าผู้ติดตามพากันออกไป
เจ้ากรมกิจการเกาไพล่มือไว้ด้านหลัง เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ก่อนจะฮัมเพลงอย่างเบิกบานใจแล้วเดินออกไป
เดือนหนึ่งวันที่สิบห้า ไม่ใช่เพียงเมืองหลวงที่ฉลองเทศกาลโคมไฟอย่างคึกคัก แต่ทั่วทุกหัวเมืองหรือแห่งหนตำบลใดก็ล้วนแต่ครื้นเครงยิ่งนัก
เมืองเล็กๆ แห่งนี้ประดับด้วยโคมทรงสามเหลี่ยมละลานตา แม้จะฝีมือจะไม่ประณีตเท่าโคมไฟในเมืองหลวง แต่หากจุดไฟยามค่ำคืนก็ส่องแสงเรืองรองไม่แพ้กัน
บรรดาเด็กๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่รอบโคมไฟ ส่วนองค์ชายรองที่ยืนจับมือของจิ้นอันวจวิ้นอ๋องที่อยู่ข้างกายก็ตะโกนร้องเรียก ราวกับอยากจะวิ่งออกไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรั้งเขาไว้
องค์ชายรองหัวเราะคิกคักพลางเดินวนรอบโคมไฟก่อนจะเอื้อมมือไปดึง
ผู้ดูแลร้านที่อยู่ข้างกันปวดใจแปลบขึ้นมา จากท่าทางของผู้ติดตามที่ห้อมล้อมทั้งสองคนนี้ ก็พอมองออกว่าไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นเขาต้องเข้าไปห้ามไว้อยู่ดี
“ท่านขุนนาง คืนนี้พวกเรายังต้องใช้นะขอรับ นี่เป็นหยาดเหงื่อแรงกายนับเดือนของใครหลายคนเลยนะขอรับ” เขาเอ่ยอย่างน่าเห็นใจ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปดึงตัวองค์ชายรองกลับมาพลางเอ่ยกระซิบเกลี้ยกล่อม
ผู้คนโดยรอบต่างจ้องมองไปที่เด็กน้อยแววตาเลื่อนลอย เขากำลังยิ้มร่าน้ำลายไหลย้อย เดินโซซัดโซเซไปมา ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กสติไม่สมประกอบ แต่พอมองอีกทีก็เห็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบกว่าปีที่กำลังคอยปกป้องอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
“เด็กคนนี้…” ผู้ดูแลร้านถามออกไปอย่างอดไม่ได้
“เด็กคนนี้สติไม่สมประกอบ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบ
คำตอบแสนตรงไปตรงมานี้ทำเอาผู้ดูแลร้านตกใจไม่น้อย
“ถึงเขาจะเป็นเด็กสติไม่สมประกอบ แต่ก็เป็นน้องชายข้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะยกยิ้มบางพลางยื่นมืออกไปจูงองค์ชายรองไว้ ”ลิ่วเกอร์ พวกเราไปดูทางนู้นกันก่อนดีกว่า ข้างหน้ามีอะไรน่าดูกว่าเยอะแยะเลย”
เด็กน้อยร้องเอิ๊กอ๊ากไม่รู้ว่าฟังเข้าใจหรือไม่ ก่อนจะเดินโยกเยกไปข้างหน้า
“เลี้ยงดูเล็กบ้าอย่างดีขนาดนี้ ดูแลใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
มองดูทั้งสองเดินจากไป ผู้ดูแลร้านก็ได้แต่ส่ายหน้าทอดถอนใจ
เมืองเล็กๆ แห่งนี้ไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก ถนนเดินสายหนึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินมาจนสุดทาง องค์ชายก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มเหนื่อยแล้ว จึงนั่งลงกับพื้นส่งเสียงฮึดฮัดไม่ยอมเดินต่อ
“ท่านชาย พวกเราจะไปนั่งเรือหรือรถม้าต่อขอรับ” ผู้ติดตามเดินเข้ามาถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองไปข้างหน้า ก่อนจะก้มลงมองเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนพื้น เขานึกอะไรได้บางอย่างก่อนจะนั่งย่อตัวลง
“ลิ่วเกอร์” เขาเรียก
แน่นอนว่าเด็กน้อยไม่ได้สนใจ เอาแต่เล่นนิ้วมือของตนเองต่อ
“ลิ่วเกอร์ เจ้าชอบดูแผนที่ไม่ใช่หรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องคว้ามือของเขาไว้แล้วเอ่ยถาม “พี่จะพาเจ้าไปดูให้รู้ว่าภูเขาและแม่น้ำที่แท้จริงเป็นอย่างไร ดีหรือไม่”