พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 402 เจ็บตาย
เกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลิวขุยถามออกมา เขาวิ่งเข้ามาในป้อมอันมืดสลัวก็พบว่ามีแต่ศพเต็มไปหมด ศพคนตายนั้นไม่ได้น่ากลัว ศพที่ตายอย่างอเนจอนาถก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็น เขาพลิกดูศพเหล่านั้นไม่หยุด
เจ้าพวกสารเลวนั่น เจ้าพวกสารเลวนั่น
หนีไปแล้วหรือ หนีไปแล้วหรือ
“ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า! ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า!” เขาตะโกนซ้ำไปซ้ำมา ในที่สุดก็พลิกศพเจอใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ที่ด้านล่างกำแพงเมือง
หัวโตเช่นนี้ สองตาเบิกโพลง หนวดเครารุงรัง
มืออันสั่นเทาของหลิวขุยอยากจะพลิกหน้าเขาลง ทว่าคงเสียแรงเปล่า สองมือของสวีปั้งฉุยกุมตัวศัตรูไว้แน่น ทวนยาวแทงทะลุร่างของทั้งสอง เป็นไปได้ว่าสวีปั้งฉุยจับตัวคนผู้นี้ไว้แล้วพุ่งตัวใส่ทวนยาวเล่มนี้
หลิวขุยเบิกตาโพลงมอง ท้ายที่สุดก็ไม่ได้จับทั้งสองให้แยกออกจากกัน เขายืนนิ่งมองไปรอบกายอย่างตื่นตระหนก
เจ้าพวกนั้น เจ้าพวกนั้น
เขาเดินย่ำหนักย่ำเบาไปข้างหน้าอย่างหวาดหวั่น
ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า! ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า!
ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า! ห้ามหนีไปไหนเด็ดขาด! กลับมาให้หมด! กลับมาให้หมด!
หลิวร้องตะโกนลั่นแล้วนั่งลงกับพื้น ลมราตรีโบกพัด แสงดาวยามฤดูร้อนส่องประกายแวววับ
ฝันไปหรือไร นี่คือฝันใช่หรือไม่! ดียิ่งนัก!
เสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เสียงพูด เสียงตะโกน เสียงม้า เสียงประกายไฟตีกันสับสนจนวุ่นวาย
“…มีคนเจ็บกี่คนนับดูหรือยัง…”
“…หัวพวกโจรตะวันตกมีเท่าไหร่…”
“…ศพก็เผาให้หมด…”
“…มีคนรอดชีวิตสิบแปดคน… ยังพอช่วยได้…”
“…พาทหารเจ็บออกไปไกลๆ ก่อน…”
คนเจ็บ! คนตาย! ศพ! หลิวขุยสั่นไปทั้งกายไปชั่วขณะ นี่ไม่ใช่ฝัน!
เขาพยุงตัวขึ้นมาก่อนโซซัดโซเซวิ่งออกไป
ศพที่กองเกลื่อนถูกเก็บกวาดจนหมด ทางนี้เหลือเพียงหัวคนหัวหนึ่ง ซึ่งก็คือหัวโจรตะวันตกที่ถูกตัดออกมาเพื่อจะส่งกลับไปแลกกับรางวัล แม้จะผ่านไปเพียงแค่วันเดียว แต่เพราะเป็นฤดูร้อน กลิ่นเหม็นสาบจึงคละคลุ้งไปทั่ว ทั้งยังมีฝูงแมลงมากมายรุมตอม
ส่วนอีกฝั่งคือศพของเหล่าคนที่สวมชุดเดียวกันกับเขา แน่นอนว่าหัวจะไม่ถูกแยกออกจากร่าง แต่จะถูกวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ หลุมขนาดยักษ์กำลังถูกขุด ไม่ต้องรอให้ถึงฟ้าสางก็คงเริ่มฝังได้
หลิวขุยพุ่งตัวเข้าไป ล้มลุกคุกคลานพลิกร่างหาคนท่ามกลางกองศพก่อนจะ หนึ่งคน สองคน สามคน สี่คน…
เขาหยุดเดินแล้วล้มลงอยู่อย่างนั้น ก่อนจะพยุงตัวขึ้นมาแล้วพลิกหาต่อแล้วนั่งลง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาใหม่…
“แม่ทัพหลิว ท่านทำอะไรน่ะ!” มีคนทนดูไม่ไหวจนต้องตะโกนออกมา “กลายเป็นหญิงไปแล้วหรืออย่างไน ไม่เคยเห็นคนเจ็บ คนตายหรือ กลัวอะไรกัน!”
นั่นสินะ มีอะไรน่ากลัวกัน
มีครั้งใดบ้างที่ปะทะกับโจรตะวันตกแล้วไม่มีคนตาย มีศึกครั้งใดบ้างที่ไม่ต้องท้าความตายอยู่ทุกวินาที หากกลัวก็คงหนีกลับไปตั้งนานแล้ว
เขาไม่กลัว เขาจะกลัวได้อย่างไร เพียงแต่เขา… เขา…
“ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า! พวกเจ้าห้ามหนีไปไหนเด็ดขาด! พวกเจ้าลุกขึ้นมา! ลุกขึ้นมาให้หมด!”
ยามฟ้าสว่างจ้า เหล่ายอดทหารของราชาโจรตะวันตกล่าถอยไปในทันใดพร้อมกับเสียงโห่ร้อง
ศึกยามค่ำคืนทำให้ชายแดนของเมืองหลงกู่นั้นเหนื่อยล้า กองทัพใช้จังหวะนี้ในการผลัดเปลี่ยนกองกำลัง เหล่ายอดฝีมือที่ร่วมศึกเมื่อคืนวานถูกผลัดเปลี่ยนให้มานอนพักอยู่ในค่าย
เสียงกรนดังลั่นราวกับฟ้าผ่าพาลให้ท่านชายโจวหกนอนไม่หลับ ความตึงเครียดในสนามรบแทบทำให้เขาสติแตก หัวใจเต้นดั่งกลองรัว จนเขาต้องลุกออกไปจากตรงนั้น
คนและม้ากลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งเข้ามาในค่าย สร้างความโกลาหลขึ้นมาไม่น้อย มีทั้งทหารมีทั้งชาวเมือง ท่าทางดูอ่อนล้ากันทั้งหมด
กลับมาแล้ว!
ท่านชายโจวหกดีใจจนรีบเดินเข้าไป
เหล่าทหารผู้น้อยและชาวเมืองถูกต้อนออกไปอีกฝั่ง พวกเขาข้ามเขาอ้อมเส้นทางหลบหลีกทัพศัตรูกลับมาได้เช่นนี้คงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก บ้างก็นั่งลงกับพื้น บ้างก็ล้มตัวลงนอน
ท่านชายโจวหกกวาดสายตามอง ทว่ากลับไม่เห็นคนกลุ่มนั้น เขาไม่ได้มองดูต่อ คิดว่าตนเองคงเป็นห่วงพวกเขามากเกินไป
เขาสูดหายใจลึกก่อนจะเดินเข้าไปในกระโจมของค่าย
แม่ทัพผู้หนึ่งที่อยู่ในกระโจมท่าทางตื่นเต้นยิ่งนัก
“ขอบคุณใต้เท้าที่ส่งทหารมาช่วย…”
ใบหน้าของแม่ทัพจ้าวอ่อนล้าอย่างไม่อาจปกปิด เขาพยักหน้าก่อนจะเอ่ยชมเชย
“เจ้าทำได้ดีมาก ป้องกันเมืองจากโจรตะวันตกไว้ได้ พวกข้าถึงได้มีเวลาผลัดเปลี่ยนกองทหาร ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้หวัง ฟางซื่อจิ้น คุณงามความดีของเจ้าครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก” เขาเอ่ย
ความดีความชอบอันใหญ่หลวงอย่างนั้นหรือ
ฟางซื่อจิ้นตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าเดิม
“ล้วนแต่เป็นเพราะใต้เท้าชี้แนะ! พวกข้าภักดีต่อแผ่นดิน แม้ตัวตายก็ยอม!” เขายืดอกแล้วเอ่ยเสียงดังก้อง
เหล่าแม่ทัพในกระโจมพากันชื่นชมไม่หยุด
“หลังจบศึกก็ดูแลลูกน้องให้ดี ผู้ใดสมควรได้รับรางวัลก็ต้องให้รางวัล” ใต้เท้าจ้าวเอ่ย
ท่านชายโจวหกที่ยืนอยู่หน้ากระโจมถอนหายใจเฮือก ยังดีที่ไปทัน สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลง ขณะที่กำลังจะหันหลังเดินกลับไปนั้น ก็ถูกใต้เท้าจ้าวรั้งไว้เสียก่อน
“มา มา ฟางซื่อจิ้น” ใต้เท้าจ้าวกวักมือเรียกท่านชายโจวหก พลางบอกกับฟางซื่อจิ้นว่า “เจ้าต้องขอบคุณโจวเตี้ยนจื๋อ ด้วย เขาเป็นคนส่งทหารม้าไปรับช่วงต่อจากพวกเจ้า”
ฟางซื่อจิ้นคำนับให้ท่านชายโจวหกในทันใด
“เป็นขุนนางเหมือนกัน ก็ต้องช่วยเหลือกัน ข้ารับคำขอบคุณไว้มิได้หรอก” ท่านชายโจวหกคำนับกลับ
ใต้เท้าจ้าวตบบ่าท่านชายโจวหกเบาๆ ใบหน้านั้นเผยยิ้มอย่างไม่ปกปิด คราวนี้เขาคิดถูกแล้ว ดูท่าทางที่ผู้ตรวจการโจวพูดจะเป็นเรื่องจริง ต้องจับตาดูหนุ่มน้อยจากตระกูลโจวผู้นี้ให้ดี โดยเฉพาะคำแนะนำจากปากเขา
ตอนที่ได้ยินผู้ตรวจการโจวกำชับ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก หากบอกให้เขาฟังคำคนอื่นในตระกูลโจวก็ว่าไปอย่าง เพราะอย่างไรเสียตระกูลโจวก็เป็นแม่ทัพมารุ่นสู่รุ่นอยู่แล้ว เป็นที่ยำเกรงในกองทัพ แต่เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึงทัพตะวันตกเฉียงเหนือได้ไม่นานผู้นี้ มีอะไรให้น่าฟังกัน
ผู้ตรวจการโจวเองก็สงสัยเช่นกัน เพียงแต่บอกให้เขาทำตามนั้นก็พอ ทั้งยังบอกว่าก่อนเดินทางมาอำมาตย์เฉินเซ่าก็กำชับตนเช่นนี้เหมือนกัน
อำมาตย์เฉินเป็นคนกำชับอย่างนั้นหรือ เจ้าหนุ่มน้อยนี่อยู่ในสายตาอำมาตย์เฉินด้วยหรือ
ดังนั้นตอนที่ท่านชายโจวหกออกความเห็นว่าให้ส่งกำลังเสริมออกไป แม่ทัพจ้าวจึงเก็บมาไตร่ตรองอยู่นาน ยามนี้เห็นแล้วว่าคิดไม่ผิดจริงๆ ฟานซื่อจิ้นเองก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง พาทหารเอาชนะศัตรูกลับมาได้ ถึงเขาจะเป็นคนสั่งให้ส่งกองหนุนไป แต่ฟางซื่อจิ้นก็ได้ความดีความชอบเช่นกัน เช่นนี้แล้วกลศึกที่ล้มเหลวในสงครามครั้งก่อนของเขาก็คงไม่มีใครเอ่ยถึงอีก เพราะมีข้อแก้ตัวแล้ว
เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้ว
ตอนนี้ขาดเพียงแค่ศึกใหญ่เพื่อขจัดโจรตะวันตกออกไปให้พ้นเพียงเท่านั้น
“เอาล่ะ รีบไปพักผ่อนเถิด ยังมีศึกใหญ่รอเราอยู่!” แม่ทัพจ้าวเอ่ยเสียงดังลั่น
เสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วทั้งกระโจม ปลุกใจให้ฮึกเหิม
เหล่าทหารไม่กล้านอนพักนานสักเท่าไหร่ ไม่ทันครึ่งวันเสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังขึ้น เหล่าทหารที่หลับใหลกระเด้งตัวขึ้นมา ส่วนทหารที่ไม่ได้นอนพักก็รีบไปรวมพลราวกับถลาบินไป
แถวคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อยตั้งขึ้นท่ามกลางเสียงระฆัง ยังไม่ทันตั้งแถวเสร็จ ฝูงม้าของศัตรูก็พุ่งตัวเข้ามา
ศรธนูเทลงมาราวกับห่าฝน เสียงกลองรัวดั่งฟ้าลั่น ห่าฝนธนูปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าจนมืดมิด ทหารกล้าบนหลังม้าพร้อมกับทวนยาวและขวานพุ่งตัวแหวกกองทัพออกมาประจันหน้ากับทัพศัตรู การเข่นฆ่าได้เริ่มต้นขึ้น
เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วฟ้า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ท่านชายโจวหกนำทัพของตนบุกฆ่าศัตรู เรื่องเล่าในวัยเด็ก หยาดเหงื่อที่หยดลงราวกับสายฝนในสนามฝึก คำสอนของเหล่าพี่น้อง ทั้งหมดก็เพื่อวันนี้ ทั้งหมดสำเร็จผลในวันนี้
เขาแกว่งไกวขวานที่อยู่ในมือ
ยามตะวันอ่อนแสงลงอีกครั้ง เหล่าโจรตะวันตกแห่งเขาม่านซานก็ถอยทัพไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงแต่ศพจำนวนนับไม่ถ้วน เหล่าทหารที่คว้าชัยมาได้ยังคงยืนหยัดร้องเพลงศึกกวัดแกว่งขวานในมือ ก่อนจะบั่นหัวศพให้ขาดออกจากร่าง มีเพียงพื้นดินที่แดงฉานปรากฏสู่สายตา
นี่คือสีของชัยชนะและรางวัล ไม่ใช่เพราะโชคช่วย และไม่ใช่ภาพลวงตา
ยามตะวันทอแสงอีกครั้ง บรรยากาศแสนตึงเครียดในยามศึกมลายหายไป กองทัพอันคดเคี้ยวปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูเมืองหลงกู่ เมื่อรู้ว่านั่นคือผู้ที่ช่วยชีวิตพวกเขาจากภัยอันตราย เหล่าชาวเมืองก็พากันออกมาต้อนรับ พลางมองดูผลงานจากชัยชนะในครั้งนี้
หัวของศพลำเลียงมาคันรถแล้วคันรถเล่า ลำรถที่นำพาเหล่าวีรบุรุษกลับมาก็เคลื่อนผ่านไม่หยุดหย่อนเช่นกัน ดึงดูดให้ฝูงชนหน้าประตูเมืองเนืองแน่น เสียงตะโกนโห่ร้องดังไม่หยุด
ท่านชายโจวหกไม่ได้ดื่มด่ำกับความครื้นเครงนั้นแต่อย่างใด เพราะเป็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บจึงถูกส่งตัวกลับมาก่อนหน้า
“เตี้ยนจื๋ออดทนหน่อยนะขอรับ” หมอทหารเอ่ย
หัวธนูถูกมีดกรีดออกมาพร้อมกับคำพูดนั้น ก่อนจะถูกโยนลงบนจานเหล็กจนเกิดเสียงกระทบดังก้อง
ท่านชายโจวหกสั่นไปทั้งร่าง ปากกัดท่อนไม้แน่น มองดูหมอทหารโรยผงยาและชาวบ้านที่ใช้ผ้าขาวมาพันให้
“ใต้เท้าพักผ่อนไม่กี่วันก็หายดี” หมอทหารบอกพลางปาดเหงื่อ ก่อนจะขอตัวลา “ข้าน้อยขอตัวลา”
ทุกครั้งหลังจบศึกมีทหารบาดเจ็บมากมาย เหล่าหมอทหารจึงงานยุ่งไม่น้อย
ท่านชายโจวหกพยักหน้า ขณะลุกยืนขึ้นก็ได้ยินเสียงโหยหวนจากอีกฝั่ง
“เกิดอะไรขึ้น” หมอทหารรีบถาม
“มีทหารเจ็บโวยวายจะฆ่าตัวตาย” ชาวบ้านตอบกลับ
“กว่าจะช่วยออกมาจากกองศพได้ ยังยากตายอยู่อีกหรือ ไม่รู้จักรักชีวิต” ท่านชายโจวหกเปรยขึ้น
“เขาบอกว่าพี่น้องของเขาตายกันหมดแล้ว ตัวเองก็เลยไม่อยากอยู่” ชาวบ้านบอก “เป็นทหารที่เฝ้าป้อมหลินกวานน่ะขอรับ”
แม้ป้อมหลินกวานจะได้ข่าวเร็ว แต่เพราะประสบการณ์ศึกยังน้อย ถึงจะต้านทานยอดทหารของกองโจรตะวันตกได้ถึงครึ่งชั่วยาม ทหารกว่าสองพันนายก็เหลือเพียงสามร้อยนาย เรียกได้ว่าแทบจะตายกันหมด แต่เพราะพวกเขาถึงได้มีเวลาพอผลัดเปลี่ยนกองทหาร
พอได้ยินว่าเป็นทหารบาดเจ็บจากป้อมหลินกวาน ทุกคนก็ไม่เอ่ยคำใด
“ข้าจะไปดูเสียหน่อย” ท่านชายโจวหกโพล่งขึ้นมา
ไม่ให้ทันตั้งตัว เขาก็เดินก้าวฉับออกไปแล้ว
“ใต้เท้า ท่านยังพันแผลไม่เสร็จเลยนะขอรับ” ชาวบ้านร้องเรียก มองดูผ้าขาวที่หลุดลุ่ยลงมาจากมือ
ในค่ายมีทหารบาดเจ็บมากมาย เสียงร้องคร่ำครวญจากความเจ็บปวดดังระงม กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งจนคนเวียนหัว
เสียงร้องโวยวายเงียบลงแล้ว แต่หมอทหารและชาวบ้านกลับถูกไล่ออกมาข้างนอก พลางมองดูในห้องอย่างจนใจ
“…เขาจะทำเช่นนั้นเพื่ออะไรกัน”
“…ตายในสนามรบเป็นเรื่องธรรมดา”
“…อย่าคิดสั้นสิ”
“…ตีสลบไม่ดีหรือ”
คนด้านนอกถกเถียงกันไม่หยุด ท่านชายโจวหกที่ยืนอยู่ด้านหลังรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
“ถอยไป ถอยไป โจวเตี๋ยนจื๋อมาแล้ว” ผู้ติดตามประจำตัวตะโกนลั่น
เสียงนั้นพาให้ผู้คนที่รายล้อมอยู่แหวกทางให้
หลังคว้าชัยจากศึกใหญ่กลับมา ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความปิติ โดยเฉพาะเหล่าแม่ทัพทั้งหลาย แต่จู่ๆ กลับมีแม่ทัพยศใหญ่มาเยี่ยมทหารเจ็บเช่นนี้ มิใช่เรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป
ประตูห้องถูกเปิดออก ท่านชายโจวหกไม่กล้าก้าวเข้าไป
“ใต้เท้า เชิญขอรับ” หมอทหารรีบเอ่ยขึ้น
จิตใจของทหารบาดเจ็บหลังออกศึกนั้นเศร้าหมอง มักจะกลัดกลุ้มเพราะความเจ็บปวดหรือความพิกลพิการของตน หากยามนี้มีแม่ทัพมาให้กำลังใจก็คงดีไม่น้อย
ท่านชายโจวหกก้าวเท้าเข้าไปในห้อง
เพราะมีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับทหารที่บาดเจ็บ ห้องนี้เดิมทีคือห้องเก็บฟืนจึงถูกเก็บกวาดจนเรียบ แล้วซอยเป็นห้องเล็กๆ ให้เหล่าทหารเจ็บได้นอนพัก
ยามนี้ทหารเจ็บผู้นั้นนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้ เขายกมือขึ้นมาปิดหน้า เลือดจากบาดแผลบนแขนยังคงไหลไม่หยุด ไม่ใช่แค่บนแขน บนขา บนหัวก็เต็มไปด้วยรอยแผล
“โธ่ เช่นนี้ไม่ได้การแล้ว เจ็บหนักขนาดนี้ ผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรักษาอีก” หมอทหารร้องเอ่ยก่อนจะเดินเข้าไปใกล้
พอเขาเดินเข้าไป ทหารเจ็บที่นอนแน่นิ่งผู้นั้นก็วาดมือออกมาในทันใด ก่อนจะผลักหมอทหารออก
“ไสหัวไป ข้าอยากตาย พวกเจ้าอย่ามายุ่ง” เขาตะโกนลั่น สองตาแดงก่ำ “พี่น้องของข้าตายไปหมดแล้ว ข้าจะอยู่ไปทำไม!”
ท่านชายโจวหกมองเขา ก็รู้สึกเหมือนในหัวมีแต่เสียงดังอื้ออึงไปหมด
“ฟ่านเจียงหลิน” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า “เจ้าพูดว่าผู้ใดตายกัน”