พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 418 ดีใจ
“เอาน้ำแกงมาอีก”
ท่านชายโจวหกเอ่ยพลางยกชามในมือให้สาวใช้
“ห้ามให้เขา”
ท่านชายฉินสิบสามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้น เขาวางตะเกียบลงตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว
สาวใช้ยิ้มพลางรับชามจากมือท่านชายโวหกแล้วตักน้ำแกงให้เขาเพิ่ม
“ท่านชายหก คงคิดถึงน้ำแกงที่ตระกูลเรามากใช่ไหมเจ้าคะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่านชานฉินสิบสามมองสาวใช้แล้วหัวเราะออกมา
“เจ้าก็รู้นี่ว่าคือน้ำแกงของตระกูลเราเชียวนะ” เขาเอ่ย
สาวใช้ยิ้มไม่เอ่ยคำใดแล้วส่งชามน้ำแกงให้เขา
“ว่าแต่ ตอนเจ้าอยู่ทัพตะวันตกเฉียงเหนือได้กินอะไรบ้าง” ท่านชายโจวหกไม่สนใจท่านชายฉินสิบสาม แต่กลับหันไปพูดกับสาวใช่พลางส่งขนมอี๋ เข้าปาก ก่อนจะเอ่ยเสียงงึมงำออกมา “บ่อเกลือ ใช้เกลือทำอาหาร รสชาติเหมือนกันไปหมด ลำบากนัก”
สาวใช้ในห้องพากันตกใจก่อนตัดพ้อสงสาร
“น่าสงสารตรงไหน นั่นเป็นอาหารของเหล่าทหารผู้น้อยทหารฝึกหัด เขาไม่ได้กินของพวกนั้นหรอก” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยความเหลืออด “ไปได้แล้ว ไปได้แล้ว”
เหล่าสาวใช้ยิ้ม พอหันไปเห็นท่านชายโจวหกกินน้ำแกงหมดแล้วจึงเริ่มเก็บโต๊ะ
ท่านชายโจวหกยัดขนมอี๋ชิ้นสุดท้ายเข้าปาก ล้มกายลงเบาะรองนั่งก่อนจะตบหน้าท้องเบาๆ
ท่านชายฉินสิบสามใช้พัดฟาดเขา
“สายป่านนี้แล้ว นี่เจ้าเก็บท้องมากินข้าวที่บ้านข้าหรือ” เขาเอ่ย “ขี้เหนียวชะมัด!”
ท่านชายโจวคว้าพัดขึ้นมาพัดให้ตัวเอง
“ไปกัน ไปกัน กินดื่มอิ่มท้องแล้ว พวกเราไปขี่ม้ายิงธนูกัน ดูซิว่าจอหงวนร่างผอมแห้งอย่างเจ้าจะง้างธนูไหวไหม” เขาเอ่ยพลางกระเด้งตัวลุกขึ้น
ท่านชายฉินสิบสามส่งเสียงเย้ยหยัน
“ก็แค่ตากแดดตามลมจนผิวดำคล้ำแห้งกร้าน เลียนแบบนิสัยเสียของพวกทหาร มีอะไรน่าภูมิใจกัน” เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน “ไปก็ไป”
เขาสั่งให้บ่าวไปเตรียมม้า ทั้งสองออกไปหยิบธนูก่อนจะเถียงกันเพราะธนูขึ้นมาอีกรอบ
“นานมากแล้วที่ท่านชายไม่ได้อารมณ์ดีเช่นนี้”
“นั่นสิ นานมากแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ครื้นเครงเช่นนี้”
เหล่าสาวใช้หัวเราะคิกคักกันริมระเบียง
ม้าควบไปบนถนนอย่างไวว่อง จนผู้คนที่เดินขวักไขว่ต้องหลีกทางให้
“นี่ เจ้าเป๋ สองปีมานี้เจ้านั่งแต่รถไม่ได้ขี่ม้าเลยใช่หรือไม่” ท่านชายโจวหกเหลียวกลับไปถาม “เหตุใดถึงได้ขี่ช้าแบบนี้”
ท่านชายฉินสิบสามเร่งม้าตามไป
“เกินไปหรือเปล่า เจ้าแขนด้วน” เขาเอ่ย
ท่านชายโจวหกส่งเสียงถุย พลางยกแขนกำยำของตนขึ้นมาอวด
“แขนเจ้า ข้ามองไม่ออกหรอก แต่พอจะมองออกว่าใจกล้าขึ้นเยอะ คำก็เจ้าเป๋สองคำก็เจ้าเป๋ อันที่จริงก็คงอดกลั้นมานานแล้วสินะ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย “ไม่ใช่ว่าตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน ในใจเจ้าก็เรียกข้าเช่นนี้มาตลอดหรอกนะ”
“เจ้าไม่เข้าใจหรืออย่างไร” ท่านชายโจวหกเอ่ยพลางหัวเราะ “ข้าพูดกลับกันต่างหาก ในใจของข้าเจ้าไม่ใช่เจ้าเป๋ ข้าถึงได้เรียกเจ้าว่าเจ้าเป๋ หากเจ้าเป็นเจ้าเป๋จริง ข้าคงไม่เรียกเจ้าเช่นนั้นหรอก”
ท่านชายฉินสิบสามมองเขาก่อนจะร้องออกมาอย่างสงสัย พลางเลิกคิ้วขึ้น
“เจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจนี่ ข้านึกว่าเจ้าไม่รู้เสียอีก” เขาเอ่ยพลางเร่งม้าเข้าประชิด ก่อนจะเอ่ยกระซิบว่า “ว่าแต่หญิงงามที่เจ้าเอาแต่คิดถึงน่ะกลับมาแล้วนะ เจ้าจะไม่ไปหานางหน่อยหรือ”
“ใครอยากไปหานางกัน” ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด พูดจบก็นิ่งไป ใบหน้าพลันแดงก่ำขึ้นมา
หญิงงามอย่างนั้นหรือ! เขาเรียกนางว่าหญิงบ้ามาตลอด! ดังนั้นหากพูดกลับกันแล้ว แสดงว่าในใจของเขา นางคือหญิงงาม…
“ไม่ไปจริงหรือ” ท่านชายฉินสิบสามถาม “จากไปตั้งนาน ได้กลับมาทั้งที มิใช่เรื่องน่ายินดีหรือ เหตุใดถึงไม่ไปเจอกันเสียหน่อย”
ท่านชายโจวหกไม่ได้เถียงกับเขาต่อ ทว่าใบหน้ากลับหม่นหมองขึ้นมา ก่อนจะทอดสายตามองไปข้างหน้า
“ไม่นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีหรอก” เขาเอ่ยเสียงเนิบ “ไม่เจอกันยังจะดีเสียกว่า”
ที่เฉิงเจียวเหนียงมาเมืองหลวงก็เพราะการตายของพวกสวีเม่าทั้งห้า
ท่านชายฉินสิบสามไม่ได้พูดอะไรต่อ
อันที่จริงเขาเองก็จำชายเหล่านั้นได้ไม่ชัดนัก จำได้เพียงว่าเข้ากับแม่นางผู้นั้นได้ดี
‘ท่านพี่’ นางเรียกออกมาจากใจ
เรียกออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ได้ประจบสอพลอ ไม่ได้แสร้งทำให้ผู้ใดอื่นเห็น นั่นคือพี่ชาย นั่นคือคนในครอบครัว
ไม่มีอีกแล้ว
“ข้าขอโทษ ข้าขี้ขลาด” เขาเอ่ย “เจ้าพูดถูก ข้าไม่ได้เคยได้ออกรบ ไม่ได้เผชิญหน้ากับความตาย แต่กลับหนีไปก่อนเสียแล้ว”
ท่านชายโจวหกหันไปมองเขา
“ดูสิเจ้าคนขี้ขลาดจะทำอย่างไร” เขาหัวเราะลั่น ก่อนจะสะบัดแซ่ในมือ
ม้าของท่านชายฉิบสิบสามส่งเสียงร้อง ยกสองขาหน้าขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไป ท่านชายฉิบสิบสามแทบจะถูกสะบัดร่วงลงมา
“เจ้าหมอนี่!” เขาตะโกน
ท่านชายโจวหกหัวเราะชอบใจแล้วเร่งม้าตามไป ก่อนจะควบม้าแซงพลางมุ่งหน้าออกนอกเมืองไป
มองดูชายหนึ่งที่ควบม้าออกไปอย่างเร็วรี่เบื้องหน้า ท่านชายฉินสิบสามก็เผยยิ้มออกมา
ใช่แล้ว ยามพวกเขาไม่อยู่ คืนวันผ่านไปอย่างไรความหมาย จืดชืดไร้รสชาติ
ใช่แล้ว พวกเขากลับมาแล้ว เขานั้นดีใจมากจริงๆ ดีใจยิ่งนัก
ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าอาย!
ท่านชายฉินสิบสามเร่งม้าตามติด
แม้ปากบอกว่าจะไม่ไปพบเฉิงเจียวเหนียง แต่พอวันต่อท่านชายโจวหกก็มาถึงเรือนสะพายอวี้ไต้แล้ว
“ท่านพ่อมาก็พอแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องให้ข้ามองส่งข้าวปลาอาหารให้ด้วยก็ไม่รู้”
เขายืนอยู่หน้าประตู ลงจากม้าไปพลาง ปากก็บนไปพลาง
“นางจะสนใจหรือ”
บ่าวไม่ได้ฟังที่ท่านชายโจวหกพูดเลยสักนิด เขาประคองของขวัญสองกล่องใหญ่ในมือ มองไปที่หน้าประตูด้วยแววตาเป็นประกาย
ท่านชายจะเต็มใจมาหรือไม่ เขาไม่สน รู้เพียงแค่ว่าหลายคนอิจฉาที่เขาได้ติดตามมาด้วยในครั้งนี้
นึกถึงเหล่าผู้ติดตามที่กลับมาเมื่อสองคืนก่อน เพราะติดตามแม่นางผู้นั้นออกไปกว่าสองปี คนในเรือนก็แทบจะลืมพวกเขาไปแล้ว แต่ไม่ถึงเลยว่าจะกลับมาคราวนี้พวกเขาจะร่ำรวยกันขนาดนั้น
ทว่านั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา พอมาคิดดูแม่นางผู้นั้นมีกิจการในเมืองหลวงถึงสามแห่ง ทั้งยังยกให้สาวใช้ดูแลทั้งหมด เช่นนั้นแล้วที่เหล่าผู้ติมตามจะมีเงินมากมายจนคนตกใจ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่รู้ว่าข้างกายของแม่นางจะขาดบ่าวรับใช้หรือไม่…
หลังจากเคาะประตู ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก ทว่าไม่มีการถามไถ่อันใด
“มาแล้วหรือ เหตุใดถึงได้ช้านัก คราวหน้าข้าจะไม่ซื้อเหล้าร้านเจ้าแล้ว เอ๊ะ ท่านชายโจวหก เหตุใดถึงเป็นท่านไปได้”
สาวใช้เอ่ยมองท่านชายโจวหกด้วยความประหลาดใจ
“ท่านพ่อให้ข้ามา” ท่านชายโจวหกเอ่ย พอหันกลับมา บ่าวที่อยู่ด้านหลังก็วิ่งกระโดดโลดเต้นขึ้นมา
“พี่สาว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม ก่อนจะยื่นของขวัญในมือให้
สาวใช้หัวเราะพลางรับมาแล้วโยนเงินให้
บ่าวหนุ่มดีใจนัก เขาคำนับขอบคุณแล้วถอยออกไป
“ก็แค่ของกินของใช้ ส่งมาจากต้นตระกูลส่านโจวน่ะ…” เขาเอ่ย แล้วก็ยังมีของที่เขาเอามาจากตะวันออกเฉียงเหนือด้วยเป็นส่วนใหญ่
“เช่นนั้นก็ขอขอบคุณนายใหญ่และท่านชายด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยแล้วคำนับให้
ท่านชายโจวยกเท้ากำลังจะก้าวเข้าประตูไป ทว่าสาวใช้กลับขวางเอา
“ท่านชายหก นายหญิงของข้ามีธุระ ไม่สะดวกรับแขกเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ปั้นฉินที่อยู่ตรงระเบียงกำลังรับชามจากมือของสาวใช้สองนาง จังหวะที่กำลังจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องโถง ก็ได้ยินเสียงถีบประตูตึงตังดังขึ้น
“ท่านชายโจวหก!”
สาวใช้ร้องออกมาในทันใด
พอปั้นฉินเงยหน้าขึ้น ท่านชายโจวหกก็เดินจ้ำเข้ามาในลานบ้านแล้ว ทว่าคราวนี้เขาไม่อาจตรงเข้ามาในเรือนได้เหมือนแต่ก่อน เพราะถูกเหล่าผู้ติดตามขวางเอาไว้
ท่านชายโจวหกมองดูเหล่าผู้ติดตามที่ขวางเขาอยู่แล้วแค่นยิ้มออกมา
“พวกเจ้าแซ่อะไร” เขาถาม “คิดจะขวางข้าหรือ”
“ท่านชาย พวกข้าแซ่โจวก็จริง แต่ยามนี้พวกข้ารับใช้นายหญิง” หัวหน้าผู้ติดตามเอ่ยพลางยกมือทำท่าทำทาง
เหล่าผู้ติดตามพากันล้อมเข้ามาเพื่อจับตัวเขาโยนออกไปช้างนอก
ท่านชายโจวหกมองพวกเขา ก่อนจะถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา
“เฉิงเจียวเหนียง!” เขาแหงนหน้าตะโกนเข้าไปในห้องโถงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ประตูบานพับที่ปิดไว้กึ่งหนึ่งถูกเปิดออกโดยสาวใช้ ปั้นฉินออกเดินมา ก็ปรากฏร่างของหญิงสาวที่นั่งหลังตรงอยู่ข้างใน
นางสวมชุดกระโปรงผ้าคาดอกลายเรียบ คลุมทับด้วยเสื้อผ้าแพร เส้นผมสีดำดุจไหมคล้องหลังหู ใบหน้านั้นยังคงขาวนวลหมดจด ราวกับไม่ใช่มนุษย์
นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ทว่ากลับรู้สึกเหมือนเมื่อวาน
สาวใช้โบกมือไล่ เหล่าผู้ติดตามก็ถอยออกไป ปั้นฉินและเหล่าสาวใช้คำนับให้เขา มองดูท่านชายโจวหกเดินกระแทกเท้าปึงปังเข้ามาในห้องโถง
กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปทั่ว
สายตาของท่านชายโจวหกกวาดไปเห็นจอกใบใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเฉิงเจียวเหนียง พร้อมกับไหเหล้าที่วางเรียงราย
“เจ้าทำอะไรน่ะ” เขาถาม
เฉิงเจียวเหนียงยกจอกตรงหน้าขึ้น
“ดื่มเหล้าน่ะสิ” นางตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยกเหล้าขึ้นดื่มจริงดังที่พูด
ดื่มเหล้าอย่างนั้นหรือ
ท่านชายโจวหกมองนางอย่างสงสัย
ปั้นฉินและสองสาวใช้เดินเข้ามา คนหนึ่งยกไหเหล้ารินใส่จอก ปั้นฉินยกจอกเหล้ามาวางไว้ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง พลางจัดเรียงจอกเหล้าที่ว่างเปล่า
“นายหญิง เรือนอวิ๋นเซียนส่งเหล้ามาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเอ่ยขึ้นพลางอุ้มไหเหล้าใบไม่เล็กไม่ใหญ่เดินเข้ามา ก่อนจะวางเรียงไว้กับไหเหล้าใบอื่น
เหล่าสาวใช้ด้านในพากันรินเหล้าจากไหที่ส่งมาใหม่ใส่จอก
เฉิงเจียวเหนียงวางจอกเหล้าที่อยู่ในมือไว้ข้างกาย แล้วหยิบจอกใหม่ขึ้นมา ทว่าคราวนี้กลับไม่ได้ดื่ม ท่านชายโจวหกเดินเข้าไปใกล้ยื่นมือไปคว้าข้อมือของนาง แต่เพราะออกแรงมากเกินไป เหล้าจึงกระฉอกออกมาเปรอะเสื้อผ้า
ชุดกระโปรงหน้าร้อนผืนบางแนบไปกับเนื้อ เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าอวบอิ่มของหญิงสาว สองตาของท่านชายโจวหกที่มองจากมุมบนเห็นสายน้ำไหลผ่านร่องอกเต็มตา
ปั้นฉินกรีดร้องออกมาก่อนจะรีบพุ่งตัวเข้าไป
ท่านชายโจวหกผงะถอยหลังตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ใบหน้าแดงระเรื่อเบนสายตามองไปทางอื่น ท่าทางดูตกใจเสียยิ่งกว่าเหล่าสาวใช้
“ข้า ข้า เจ้าดื่มเหล้าไม่ได้ไม่ใช่หรือ!” เขาเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“ข้าแค่ไม่ชอบดื่มเหล้า ไม่ใช่ว่าดื่มไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางรับผ้าจากปั้นฉินมาเช็ดเสื้อ ก่อนจะส่งสัญญาณให้ส่งผ้าให้ท่านชายโจวหกด้วย
เสื้อผ้าของท่านชายโจวหกก็เปียกเช่นกัน ทว่าน้อยกว่านางนัก เขาชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นสาวใช้ส่งผ้ามาให้ แต่ก็รับมาก่อนจะก้มหน้าก้มตาเช็ด
“แต่ก่อนก็ไม่กล้าดื่ม… เพราะสติเลอะเลือนไม่สมประกอบอยู่แล้ว ขืนดื่มเหล้าอีก กลัวมาจะเมาจนหลับไม่ตื่น”
เสียงพูดของเฉิงเจียวเหนียงดังขึ้นข้างหูไม่หยุด
เช่นนั้นแปลว่าตอนนี้ไม่กลัวแล้วอย่างนั้นหรือ หรือว่ากลัวความเศร้าโศกมากกว่า
“เจ้าทุกข์ใจ แต่ก็ไม่ควรทำร้ายตัวเองเช่นนี้” ท่านชายโจวหกก้มหน้าเอ่ยเสียงขุ่น “ดื่มเหล้าย้อมใจจะช่วยอะไร สิ้นคิดแท้”
เฉิงเจียวเหนียงวางผ้าในมือลงแต่ไม่พูดอะไรต่อ หางตาของท่านชายโจวหกเหลือบไปเห็นนางยกจอกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง
“นี่!” เขาเชิดหน้าขมวดคิ้วตะโกนลั่น
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“เจ้าก็ดื่มสักจอกสิ” นางเอ่ยพลางยกมือส่งสัญญาณให้สาวใช้
ปั้นฉินยื่นจอกเหล้าให้ตามคำสั่ง
ท่านชายโจวหกยื่นมือออกไปรับจอกเหล้าก่อนยกดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นก็เดินมานั่งคุกเข่าลงข้างเฉิงเจียวเหนียง มองจอกเหล้าที่วางเรียงรายอยู่ข้างหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกดื่มในทันใด
ท่วงท่าของท่านชายโจวหกทั้งฉับไวและรุนแรง ทุกคนไม่ทันได้ตั้งสติเหล้าทั้งเจ็ดจอกก็ถูกดื่มจนหมด
ชายหนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปาก พลางมองเฉิงเจียวเหนียงแล้วทอดถอนใจ
“เป็นเพราะข้าดูแลพวกเขาไม่ดี” เขาพ่นลมหายใจออกมา น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นนั้นสั่นเครือ ฤทธิ์เหล้าเริ่มทำงาน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ดวงตาหยาดเยิ้มเพราะความมึนเมา “เป็นเพราะข้าดูแลพวกเขาไม่ดี เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร”
“ไม่เปลี่ยนไปเลยสัก” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วยิ้มบาง “ไม่มีผู้ใดต้องดูแลผู้ใด และก็ไม่มีผู้สมควรต้องได้รับการดูแล เรื่องของพวกเขาเองทั้งนั้น เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
นางพูดพลางยกเหล้าในมือขึ้นมาทำท่าจะดื่ม ท่านชายโจวหกยื่นมือออกไปคว้าไว้แล้วยกดื่มรวดเดียวหมดแทน
“ใช่แล้ว ที่ข้าพูดถึงก็เป็นเรื่องของข้าเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไม่เกี่ยวกับพวกเขา” เขาเอ่ย โยนจอกเหล้าแล้วลุกยืนขึ้น จังหวะที่กำลังจะก้าวเดินออกไป แข้งขาก็อ่อนแรงจนล้มลงกองบนพื้น
“นายหญิง เมาเสียแล้วเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเดินเข้าไปดูแล้วพูดขึ้น
“แปดจอกก็เมาเสียแล้ว เหล้านี่ใช้ไม่ได้เลย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วลุกยืนขึ้น มองดูไหเหล้าที่วางเรียงรายอยู่ในห้อง “ยกออกไปแบ่งกันดื่มเถิด”
ปั้นฉินขานรับ มองดูเฉิงเจียวเหนียงเดินผ่านท่านชายโจวหกไป ก่อนจะหันไปมองท่านชายโจวหกที่นอนเมาอยู่กลางโถง
“ใครก็ได้ มายกเหล้าออกไปที” นางเดินผ่านท่านชายโจวหกไป ก่อนจะเรียกเหล่าผู้ติดตามที่อยู่ตรงลานบ้าน
…
ณ วังหลวง หมอหลวงหลี่คลายมือออก ขันทีอยู่ซ้ายขวาก็คลายมือออกเช่นกัน ชิ่งอ๋องที่ถูกจับให้นั่งลงจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้วก็วิ่งออกไปในทันที
“พาเขาไปเล่นที่ลานกว้างเถิด” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ขันทีขานรับ
“ชิ่งอ๋องร่ายกายแข็งแรงดีพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่เอ่ย พูดจบกันหันไปยิ้มให้จิ้นอันจวิ้นอ๋อง “องค์ชายคงได้ยินคำนี้จนเบื่อแล้วใช่หรือไม่ ที่องค์ชายอยากได้ยินคงไม่ใช่คำนี้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ
“เปล่า ข้าเลิกหวังตั้งนานแล้ว” เอาเอ่ย “ชีวิตคนเราสั้นนัก จะมัวคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เสียเวลาไปทำไม”
หมอหลวงหลี่มองหนุ่มน้อยตรงหน้าก่อนพ่นลมหายใจออกมาแล้วพยักหน้า
“องค์ชายเองก็ต้องหาความสุขบ้างนะพ่ะย่ะค่ะ ชีวิตคนเราสั้นนัก” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้ายิ้ม
“ข้ามีความสุขนัก และจะมีความสุขมากกว่านี้ด้วย” เขาเอ่ย
เพียงแค่คิดถึงเรื่องที่ข้าทำอยู่ ข้าก็มีความสุขแล้ว หากทำสำเร็จ ก็จะยิ่งสุขใจกว่านี้