พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 419 เหตุใดต้องกลัว (2)
สายฝนหยุดลงกลางดึก จันทร์เสี้ยวลอยอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี สองแส่งสว่างให้แก่โรงเตี๊ยมหลังฝน
เพราะฝนตกหนัก โรงเตี๊ยมจึงมีลูกค้าไม่มากนัก ยิ่งทำให้ห้องชั้นบนเงียบเชียบเสียยิ่งกว่าเดิม นอกจากเสียงแมลงและเสียงของน้ำฝนบนชายคาที่หยดลงมาแล้ว ก็มีเพียงความเงียบสงัด
เงาของคนสามคนภายใต้แสงจันทร์กำลังเคลื่อนเข้ามาโรงเตี๊ยมไป ก่อนจะหยุดที่หน้าประตูห้องชั้นบนราวกับภูติผีมิปาน
ชายคนหนึ่งแนบหูไปกับประตูเพื่อแอบฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ สอดลวดเหล็กเส้นเล็กผ่านซอกประตูเข้าไป ไม่นานก็ค่อยๆ เปิดประตูออก แล้วหันไปกวักมือเรียกคนที่อยู่ด้านหลัง
แสงจันทร์สะท้อนเงาร่างของคนทั้งสองบนพื้นภายในห้อง พริบตาเดียวก็เหลือบไปเห็นกล่องใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ชายผู้เป็นหัวโจกกำลังจะย่างเท้าเข้าไป แค่กลับถูกมือของชายอีกคนรั้งไว้เสียก่อน
ชายคนนั้นโบกมือไปมาให้เขา ก่อนจะชี้ไปที่พื้น
ชายหัวโจกไม่เข้าใจนักจึงก้มหน้ามองดู แสงจันทร์สาดสะท้อนถึงได้เห็นว่ามีเชือกเส้นบางขึงอยู่ที่หน้าประตู
ถึงกับเตรียมกับดักไว้ด้วยหรือนี่…
ชายทั้งสองไม่มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด แต่กลับดูดีใจเสียด้วยซ้ำ
เพราะนั้นแสดงว่าในกล่องใบนั้นต้องมีของมีค่าอย่างแน่นอน
ทว่าพอเดินไปได้อีกไม่กี่ก้าว เขาก็พลาดล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับเสียงดังตุบ ก่อนเสียงโครมครามจะดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“โธ่เว้ย แอบผูกไว้ตรงนี้อีกเส้นหรือนี่” ชายที่นอนหมอบอยู่บนพื้นสบถเสียงต่ำ พลางกุมขาที่ถูกบาดจนเลือดออกอย่างระมัดระวังแล้วลุกยืนขึ้น ขณะเดียวกันก็เหลียวไปมองด้านหลัง ก่อนจะต้องตกใจจนแทบผงะ
ชายที่ตามมาด้านหลังตอนนี้ล้มแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“อาซื่อ” เขาตะโกนเสียงพร่าแล้วรีบเดินเข้าไปหา
ชายที่อยู่บนพื้นสองตาเบิกโพลง ขนนกบนก้านศรธนูที่ปักลึกทะลุลำคอไหวตามแรงลม เลือดที่ค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากร่างส่องประกายระยิบแปลกตาภายใต้แสงจันทร์
“คิดจะเป็นโจรยังกล้าตะโกนโหวกเหวกอีก ไม่ได้เรื่อง”
เสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
ชายที่คุกเข่าอยู่ข้างศพหันไปมองด้วยความตกใจ ก็เห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากเตียงหลังฉากกั้นลม ในมือนั้นถือธนูอยู่คันหนึ่ง
“พี่ใหญ่ คราวนี้พวกข้าพลาดพลั้งเอง ข้ายอมแล้ว…” ชายผู้นั้นเอ่ยเสียงแหบพร่า “ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด…”
เขาพูดพลางโยนมีดที่กำอยู่ในมือไปอีกฝั่งแล้วชูมือขึ้น
ฟ่านเจียงหลินมองเขาด้วยความลังเล
“พี่ใหญ่ ข้าแค่จะมาขอข้าวกิน ไม่ได้คิดจะล่วงเกินอันใด ข้าจะไปตอนนี้เลย…” ชายผู้นั้นพูดพลางหายใจกระหืดกระหอบ ยังไม่ทันได้พูดจบก็คลานเข้ามา ทว่ากลับมีชายอีกผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู พร้อมปามีดบินในมือมาทางฟ่านเจียงหลิน ยังดีที่เขาเบี่ยงตัวหลบได้ทัน
ฟ่านเจียงหลินยิงธนูออกไปในทันที แม้มีดบินจะพลาดเป้า แต่ก็ยื้อเวลาพอให้ชายบนพื้นพุ่งตัวเข้ามาหาเขา แล้วคว้ามีดอีกเล่มบนขาหมายจะปาดคอของฟ่านเจียงหลิน
เสียงพรึ่บดังขึ้น ชายที่โถมตัวเข้ามาเมื่อครู่ล้มลงไป ในมือยังกำมีดไว้แน่น ศรธนูปักทะลุลำคอของเขา
ราวกับไม่เชื่อว่าตนเองจะตาย ชายผู้นั้นส่งเสียงร้องอึกอัก สองตาเบิกโพลง ฝ่าเท้ากระตุกเกร็งอยู่สองสามหนก่อนจะแน่นิ่งไป
“พี่…พี่ใหญ่…”
เสียงพูดตะกุกตะกักดังขึ้นหน้าประตู ชายที่ปามีดบินเมื่อครู่ก้าวเข้ามาใกล้ ด้านหลังมีชายสองคนจ่อมีดอยู่ที่คอของเขา เล่นแสงวิววับท่ามกลางแสงจันทร์ยามเหมันตฤดู
“ไว้… ไว้ชีวิตข้าด้วย…”
ฟ่านเจียงหลินมองเขา ก่อนจะเล็งธนูไปที่เขา
“เรียกคนมาสิ” เขาเอ่ย
“จับขโมย!” ทหารผู้น้อยสองคนร้องตะโกนในทันใด
ทั้งโรงเตี๊ยมโกลาหลขึ้นมาในทันใดเพราะเสียงตะโกนนั้น คนเป็นโจรเกลียดที่จะต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดวันแล้ววันเล่า พอได้เห็นแสงไฟและผู้มากมายในยามนี้ก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก
ทว่าเขากลับยิ้มไม่ออก พอได้ยินเสียงพรึ่บ ลูกธนูดอกหนึ่งก็ลอยออกมาท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้อง เขาไม่ทันได้ส่งเสียงร้องตะโกนก็ต้องล้มลงไปกับพื้นในทันใดเพราะธนูดอกนั้น ร่างของเขาคว่ำหน้าอยู่บนพื้น กระตุกเกร็งอยู่ไม่กี่หนก่อนจะแน่นิ่งไป
“จับขโมย!” ฟ่านเสียงหลินกำธนูในมือพร้อมกับตะโกนออกไปด้านนอกอีกครั้ง
ยามฟ้าสาง ลานกว้างของโรงเตี๊ยมเบียดเสียดไปด้วยผู้คนที่พากันมองไปยังชั้นบน
“พวกเขาจะขโมยของของเจ้า ก็เลยถูกเจ้าฆ่าอย่างนั้นหรือ” เจ้าหน้าที่ทางการมองเข้ามาในห้องแล้วถามขึ้น
ภายในห้องมีชายหนุ่นยืนอยู่มากมาย ทั้งยังมีหญิงที่อุ้มเด็กน้อยอีกนางหนึ่ง เพราะเจอทั้งขโมยทั้งการฆาตกรรม หญิงนางนั้นจึงใบหน้าซีดเผือด ลูบหลังเด็กน้อยในอ้อมอกไม่หยุด
“ใช่ขอรับ ไม่ใช่แค่ขโมยของ แต่พอข้าจับได้ ก็คิดจะฆ่าข้าอีกด้วย” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
เจ้าหน้าที่ทางการพยักหน้าพร้อมเดินเข้าประตูมาแล้วยืดมือออกมา
“คนที่ไหน ทำมาหากินอะไร” เขาถาม
ฟ่านเจียงหลินยื่นหนังสือผ่านทางที่พับอยู่ออกมาแล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่ของทางการ
“คนเหม่าหยวนซาน ฟ่านเจียงหลิน ขุนศึกทัพตะวันตกเฉียงเหนือ พาภรรยามากลับมาเยี่ยมญาติที่เมืองหลวง ส่วนทหารผู้น้อยเหล่านั้นอาสามาคุ้มกันขอรับ” เขาเอ่ยตอบ
พอตรวจสอบหนังสือผ่านทางก็พบว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เจ้าหน้าที่ทางการก็วางใจ
หากไม่ได้ฆ่าโจรตะวันตกสักสิบคนก็คงไม่มีทางได้เป็นขุนศึก โจรพวกนี้เขาเองก็รู้จักดี ลงมือได้ว่องไวนัก คนมากมากก็ตายด้วยน้ำมือของพวกมันมาแล้วเช่นกัน เขาเองก็กำลังจะหาทางจับตัวพวกมันอยู่พอดี นึกไม่ถึงเลยว่าจะดวงซวยมาเจอคนที่คร่าชีวิตคนเป็นอาชีพ
จะว่าไปเจ้าพวกนั้นก็ตาถั่วเสียจริง ทหารจนๆ พวกนี้มีอะไรให้น่าขโมยกัน…
สายตาของเจ้าหน้าที่ทางการตกอยู่ที่กล่องใบใหญ่ในห้อง กล่องไม้ชั้นดี เพียงแค่ราคาของกล่องก็คงสูงลิบแล้ว เช่นนั้นของที่อยู่ในนั้นก็ต้อง…
“นั่นคือสิ่งใด” เจ้าหน้าที่ทางการถาม
ฟ่านเจียงหลินก้าวเข้าไปแล้วเปิดกล่องออก ก็เห็นว่ามีโถดินเผาห้าใบวางเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ภายใน เจ้าหน้าที่ทางการชะงักไปครู่หนึ่ง
“พี่น้องทั้งห้าของข้าตายในสงคราม ข้าจะพาพวกเขากลับบ้าน” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
พอเห็นเจ้าหน้าที่ของทางการเดินลงมา ฝูงชนที่มุมดูอยู่ก็พากันโหวกเหวกขึ้นมา
“ท่านชายเจ็ด ท่านชายเจ็ด เจ้าพวกนั้นขโมยของดีอะไรหรือ” ชาวเมืองที่คุ้นเคยกับเขาถามอย่างใคร่รู้
เจ้าหน้าที่ทางการมองเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“คนตาย” เขาตอบ
คำพูดนั้นพาให้ชาวเมืองที่รุมล้อมอยู่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพากันกรูเข้ามาใกล้
เหล่าบ่าวของผู้ติดตามไล่ตะเพิดชาวเมืองพลางคุ้มกันเขาเดินออกไป มองดูศพทั้งสามบนรถม้าที่จอดอยู่ข้างนอกโรงเตี๊ยม เจ้าหน้าที่ทางการก็ส่ายหน้าอีกครั้ง
“บ้าชะมัด…มาตายเพราะคนตาย ช่างโชคร้ายแท้” เขาเอ่ยพลางเหลียวกลับไปมองโรงเตี๊ยมอีกหน
จะว่าไปทหารพวกนั้นก็โหดเหี้ยมเสียจริง
ก็แค่เถ้ากระดูไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงต้องลงมือรุนแรงเพียงนี้
ฟ่านเจียงหลินยืนจ้องมองกล่องนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเทเหล้าลงที่หน้ากล่องแล้วปิดฝาลง
“พี่เจียงหลิน กล่องนี่สะดุดตาเกินไปหรือเปล่า…”
“พี่เจียงหลิน ท่านทำการใหญ่โตเกินไปหรือเปล่า…”
“นั่นสิ พี่เจียงหลิน พวกเราอย่าได้ประเจิดประเจ้อถึงเพียงนี้เลย…”
ทหารผู้น้อยทั้งสามพากันพูดขึ้น
ฟ่านเจียงหลินหัวเราะ
“ถึงไม่ประเจิดประเจ้อ ก็ห้ามคนไม่ให้คิดร้ายไม่ได้หรอก ถึงจะประเจิดประเจ้อ ผลก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ขอทำให้มันสะใจไปเลย” เขาเอ่ย “หรือบางทีอาจจะต้องประเจิดประเจ้อยิ่งกว่านี้ พวกคนที่คิดร้ายกับพวกเราจะได้คิดลังเลขึ้นมาบ้าง”
เขาพูดพลางมองกล่องไม้เบื้องหน้า กำธนูในมือแน่น
พอสิ้นเสียง เสียงฝีเท้าโครมครามจากด้านนอกก็ดังขึ้น ทหารผู้น้อยที่ไปสืบข่าวจากศาลาพักม้ากลับมาแล้ว ในมือถือจดหมายด่วนจากศาลาพักม้า
“พี่เจียงหลิน จดหมายจากเมืองหลวงขอรับ” เขาเอ่ย
ฟ่านเจียงหลินรีบยื่นมือออกไปรับแล้วคลี่ออก ก่อนจะยื่นให้ภรรยาข้างกาย
ภรรยาที่อุ้มลูกอยู่โน้มตัวมาดู
“น้องสาวบอกว่า ให้พวกเราค่อยๆ เดินทาง เดือนเจ็ดค่อยไปถึงเมืองหลวง นางยังเตรียมการไม่เสร็จดี” นางอ่านออกเสียง
เตรียมการยังไม่เสร็จดีอย่างนั้นหรือ
ฟ่านเจียงหลินหันมองออกไปข้างนอกแล้วพับจบหมายในมือลง
เช่นนั้นก็รอ แม้จะรอนานเพียงใดก็จะรอ เพราะน้องสาวไม่เคยทำให้ผู้ใดต้องผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหลังของพวกตน หรือว่าผู้ใดที่นางต้องตอบแทนบุญคุณ