พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 420 ย่อมได้ (1)
ผลจากสุริยุปราคาจางหายไป ชีวิตของชาวเมืองหลวงยามเดือนเจ็ดกลับมาเป็นเหมือนวันวานอีกครั้ง
ยามเช้าตรู่ หลังจากประชุมราชสำนักเสร็จสิ้น เฉินเซ่าที่ควบม้ามาถึงสะพานอวี้ไต้ก่อนจะกระตุกม้าให้หยุด เหล่าผู้ติดตามข้างกายก็รีบเอ่ยถามในทันใด
“ไปดูว่าแม่นางเฉิงอยู่หรือไม่” เฉินเซ่านิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
ผู้ติดตามคนหนึ่งขานรับแล้วรีบวิ่งออกไป
เฉินเซ่ายืนอยู่ไม่นานก็เห็นว่าประตูถูกเปิดออก สาวใช้นางหนึ่งเดินออกมาคุยกับผู้ติดตามสองสามคำ จากนั้นผู้ติดตามก็กลับมา
“นางบอกว่าแม่นางเฉิงไม่อยู่ขอรับ” ผู้ติดตามตอบ
ไม่อยู่ที่นี่หรือ เช่นนั้นแล้วก็แสดงว่ายังไม่กลับมา หรือว่าคนที่คาดการณ์วันเกิดสุริยุปราคาจะไม่ใช่นาง
เฉินเซ่าขมวดคิ้วอยู่นาน เหล่าผู้ติดตามเองก็ไม่กล้าเร่งเร้า พอคนเดินถนนเริ่มมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เฉินเซ่าถึงได้ควบม้าออกไป
พอรถม้าของเฉินเซ่าเคลื่อนเข้าประตูเรือนมา ก็เห็นว่ามีรถม้าคนหนึ่งกำลังออกมาพอดี
“ท่านพ่อ” แม่นางเฉินสิบแปดและลูกสาวคนอื่นๆ ลงรถมาแล้วคำนับให้
“พวกเจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ” เฉินเซ่าถาม
“องค์หญิงป๋อหยางเชิญไปงานแต่งโคลงกลอนเจ้าค่ะ” แม่นางเฉินสิบแปดตอบ
เหล่าหญิงสาวในเมืองหลวงนิยมจัดงานแต่งโคลงกลอนกันเพื่อความบันเทิง ทั้งยังถือโอกาสนี้พบปะสังสรรค์กันในหมู่หญิงสาวอีกด้วย
น้อยครั้งที่แม่นางเฉินสิบแปดจะไปร่วมงานแต่งโคลงกลอน เพราะนางนั้นแต่งกลอนไม่เก่งนัก ทว่าเฉินเซ่าเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ จึงปล่อยให้ลูกสาวขึ้นรถม้าออกนอกเรือนไป
เพียงแค่สำหรับผู้อื่นแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยสักนิด พอเห็นว่าแม่นางเฉินสิบแปดมาเยือน เหล่าลูกสาวขององค์หญิงป๋อหยางก็พากันตกใจไม่น้อย
“แม่นางสิบแปด ไม่ใช่ว่าเจ้าได้ยินข่าวว่าแม่ครัวขององค์หญิงป๋อหยางเคี่ยวน้ำแกงได้อร่อยนักถึงได้มาหรอกนะ”
หญิงผู้หนึ่งเอ่ยพลางหัวเราะ
คำพูดนั้นพาให้ผู้คนโดยรอบหัวเราะไปด้วย
“ใช่แล้ว ข้าเฝ้าแต่คิดถึงน้ำแกงรสเลิศขององค์หญิงป๋อหยาง ได้กินครั้งหนึ่งก็ยากจะลืมเลือน” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย พลางมองดูองค์หญิงป๋อหยางที่นั่งอยู่ “ข้าเห็นแก่กินเช่นนี้ องค์หญิงอย่าได้หัวเราะเยอะข้าเลย”
องค์หญิงป๋อหยางยิ้มพลางส่ายหน้า
“คนชอบกิน ย่อมกินเป็นเป็น ย่อมเข้าใจอาหาร หาได้ยากนัก” นางเอ่ย
เดิมทีจะพูดเยาะเย้ยเสียหน่อย แต่กลายเป็นว่านางได้รับคำชมเสียอย่างนั้น จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก เพราะคนรอบตัวก็พากันเยินยอนางตามไปด้วย
แม่นางเฉินสิบแปดนั่งหลังเหยียดตรงพลางยกชาขึ้นดื่มแล้วส่งยิ้ม
เหล่าหญิงสาวคนอื่นได้แต่หงุดหงิดแต่ก็จนปัญญา
“ประเดี๋ยวตอนแต่งกลอนจะได้เห็นดีกัน” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้น
หลังจากทักทายกันเสร็จไม่นาน การต่อโคลงกลอนก็เริ่มขึ้น
“แม่นางสิบแปด”
ขณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้าใช้ความคิดกันอยู่นั้น ก็มีกลุ่มหญิงสาวหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะของบรรดาลูกสาวตระกูลเฉิน หนึ่งในนั้นเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง พลางจ้องมองโต๊ะอันวางเปล่าที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของแม่นางเฉินสิบแปด
“น้ำแกงก็กินหมดแล้ว เจ้าก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้วไม่ใช่หรือ”
“ข้าหญิงสิบแปดผู้นี้มิได้ช่ำชองแต่งกลอนบทกวี จึงมาเพื่อช่วยเหล่าพี่น้องเท่านั้น” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย
“ช่วยอย่างนั้นหรือ ช่วยอะไรกัน แม่นางสิบแปด งานแต่งโคลงกลอนวันนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่ฮ่องเต้เชียวนะ เจ้าจะไม่แสดงความจริงใจด้วยการแต่งกลอนสักบทหน่อยหรือ” หญิงอีกคนหนึ่งส่งเสียงเย้ยหยัน
“ความจริงใจมิจำเป็นต้องแสดงด้วยบทกลอน” แม่นางเฉินสิบแปดตอบ
“เช่นนั้นพวกข้าจะรอดูความจริงใจของแม่นางสิบแปดก็แล้วกัน” บรรดาหญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยพลางหัวเราะ
แม่นางเฉินสิบแปดสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางเฉินสิบแปดช่วงนี้แปลกพิกลนัก”
เหล่าหญิงสาวที่พากันเดินออกมาท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย พูดจากระแทกแดกดันเสียขนาดนั้นแล้วแต่กลับไม่มีท่าทีโมโหเลยแม้แต่นิด ยิ่งทำให้พวกนางร้อนรน
“เช่นนั้นก็คอยดูก็แล้วกัน ว่านางจะแสดงความจริงใจอย่างไร”
พวกนางยืนอยู่อีกฝั่ง เขียนบทกลอนของตัวเองไปพลาง จ้องมองบรรดาลูกสาวตระกูลเฉินที่ไปพลาง ก่อนจะเห็นว่าแม่นางเฉินสิบแปดที่นั่งนิ่งมาตลอด จนกระทั่งน้องสาวเรียกหานาง แม่นางเฉินสิบแปดถึงได้เดินไปหา ก่อนจะยกพู่กันจรดหมึกแล้วเขียนลงบนกระดาษ
ทุกคนชะงักไปครู่หนึ่ง นางกำลังเขียนอยู่จริงหรือ ทว่าพอแม่นางเฉินสิบแปดเขียนเสร็จ นางกลับเดินไปยังตะอีกตัวแล้วเริ่มเขียนต่อ
“อ๋อ นางกำลังช่วยเขียนอักษรแทนพี่น้องของนาง” ในที่สุดก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเข้าใจแล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อคำพูดนั้นเอ่ยออกมาทุกคนก็เข้าใจในทันใด
“นี่คือความจริงใจอย่างนั้นหรือ”
“เหล่าพี่น้องแต่งกลอนส่วนนางเขียนอักษรอย่างนั้นหรือ”
“พอถึงตอนนั้นก็จะบอกว่าเป็นผลงานที่พวกนางพี่น้องทำด้วยกันอย่างนั้นหรือ”
เสียงถกเถียงเริ่มกระจายวงกว้างออกไป สายตาที่จับจ้องมายังบรรดาพี่น้องตระกูลเฉินก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่องค์หญิงป๋อหยางที่นั่งอยู่ก็สังเกตเห็นเช่นกัน นางกำนัลกระซิบบอกนางว่าเกิดอะไรขึ้น องค์หญิงป๋อหยางได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ทำเช่นนี้จะไม่เหมือนเด็กไปหน่อยหรือ นางก็ยอมรับว่าตนเองแต่งกลอนไม่เป็นแล้วมาเล่นสนุกด้วยเฉยๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่
องค์หญิงป๋อหยางส่ายหน้าไม่เอ่ยคำใด ทว่าเห็นได้ชัดว่าผิดหวังมากเพียงใด
ไม่นานนางกำนัลก็รวบรวมบทกลอนที่เขียนเสร็จ นอกจากนี้องค์หญิงป๋อหยางยังได้เชิญเหล่าบัณฑิตฮั่นหลินปราชญ์จากลัทธิขงจื๊อมาเป็นผู้ตัดสินอีกด้วย ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันอยู่ในห้องโถงขณะรอผลตัดสิน
พอเห็นบรรดาบทกลอนถูกส่งเข้ามา บรรดาบัณฑิตฮั่นหลินที่กำลังดื่มเหล้ากันอย่างสำราญใจก็ไม่ได้มีท่าทีแยแสเลยแม้แต่นิด
ยามนี้แม้เหล่าหญิงสาวจะเรียนหนังสือ แต่สิ่งที่พวกนางร่ำเรียนนั้นนับว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเศษเสี้ยวเสียด้วยซ้ำ เหตุที่พวกเขารับคำเชิญนั้นไม่ใช่เพราะต้องการชื่นชมบทกลอน แต่ประการแรกเพราะเห็นแก่หน้าขององค์หญิงป๋อหยาง และประการที่สองเพราะเห็นแก่กิน
เหล้าที่เรือนองค์หญิงป๋อหยางบ่มนั้นนับว่าเป็นเหล้าชั้นดีที่เลื่องชื่อไปทั้งเมืองหลวง
“มา มา มาเดิมพันกัน วันนี้จะมีผู้ใดเล่นสัมผัสวรรณยุกต์บ้าง” บัณฑิตฮั่นหลินคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พลางยกจอกเหล้าในมือขึ้น “หากแพ้ต้องลงโทษตัวเองสามจอก”
“เช่นนั้นจะเรียกแพ้หรือ เรียกว่าชนะเสียมากกว่า ได้ดื่มตั้งสามจอก ใจในเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่” คนอื่นพากันเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ
แม้จะหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่เหล่าผู้คนที่ดื่มเหล้าอยู่นี้ยังต้องทำหน้าที่ของตน พวกเขาแจกจ่ายบทกลอนกันแล้วเริ่มอ่าน
“อืม บทนี้ไม่เลว ฝนหมึกได้ไม่เลว”
“ดูสิ ดูสิ บทนี้อ้างตำราถูกเสียด้วย…”
“ข้าเจอคนเล่นสัมผัสวรรณยุกต์แล้ว เห็นทีเหล้าสามจอกคงเป็นของข้าแล้ว…”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นไม่ขาดสายภายในห้อง จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งร้องออกมาอย่างตกใจ
“เยี่ยม เยี่ยม!” เขาตบโต๊ะพลางเอ่ย
ทุกคนเหลียวไปมองเขา รอฟังคำพูดประชดประชัน
“ยอดเยี่ยมนัก!” คนผู้นั้นเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นนัก ก่อนจะวางกระดาษในมือลงแล้วหยิบขึ้นมาใหม่ก่อนจะเอ่ยชื่นชมอีกครั้ง
ยอดเยี่ยมอย่างนั้นหรือ
“ไหนลองอ่านให้ฟังสิ” ทุกคนเอ่ยขึ้น
ทว่าคนผู้นั้นเหมือนจะไม่ได้ยิน เอาแต่จ้องมองบทกลอนในมือพลางเอ่ยชมไม่หยุดปาก ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็เริ่มขีดเขียนบนโต๊ะ
ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเชียวหรือ พอเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขา ทุกคนก็พากันรุมล้อมเข้ามา
“โอ้โห! นี่! นี่มัน…”
ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องตกใจก็ดังขึ้นในห้องโถง
ภายในโถงด้านหน้าเองก็คึกคักไม่น้อย ทั้งยังคึกคักกว่าแต่ก่อนเป็นเท่าตัว เหล่าหญิงสาวที่นั่งล้อมวงกันอยู่พากันหัวเราะขึ้นมาเป็นระยะ แถมยามหัวเราะยังหันไปมองทางเหล่าพี่น้องตระกูลเฉินอีกต่างหาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป บรรดาพี่น้องตระกูลเฉินคงทนนั่งอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหว สีหน้าของพี่น้องคนอื่นนั้นเริ่มไม่สบอารมณ์นัก เว้นเสียแต่แม่นางเฉินสิบแปด
หากเป็นเพราะลูกสาวของอำมาตย์เฉินก่อความวุ่นวาย นางเองในฐานะคนจัดงานก็คงเสียหน้าไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
องค์หญิงป๋อหยางหันไปหานางกำนัล
“ยังไม่เสร็จอีกหรือ” นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
เหตุใดวันนี้ถึงได้นานนัก
องค์หญิงป๋อหยางไม่ได้คิดว่าเหล่าบัณฑิตฮั่นหลินพวกนั้นจะตั้งใจอ่านบทกลอนอยู่แล้ว เพราะนางเองก็รู้ดีว่าฝีมือแต่งกลอนของเด็กสาวเหล่านี้เป็นเช่นไร คนที่แต่งได้ดีก็มีเพียงแค่หยิบมือ ส่วนใหญ่ก็นับว่าอ่านไหลลื่นพอไปวัดไปวาได้แค่นั้น
อย่างไรเสียนางก็มิได้คาดหวังว่าจะเลือกบทกลอนที่ดีที่สุดถวายให้แก่ฮ่องเต้แต่อย่างใด ก็แค่จัดงานขึ้นเพื่อแสดงความจงรักภักดีของตัวเองเท่านั้น
นางกำนัลลุกขึ้นยืนแล้วรีบออกไปถามในทันที ไม่นานก็กลับมาทั้งยังมีผู้อาวุโสเดินตามหลังมาอีกด้วย
องค์หญิงป๋อหยางตกใจ
แต่ก่อนเหล่าบัณฑิตฮั่นหลินผู้แสนเย่อหยิ่งพวกนี้ไม่เคยมาประกาศผลด้วยตนเองเลยสักครั้ง นางเองก็รู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะนางเชิญมา พวกเขาย่อมไม่มีทางมาอย่างแน่นอน
“ใต้เท้าหยาง…” นางเอ่ย “เหตุใดท่านถึง…”
นางยังไม่ทันได้เอ่ยจบ ผู้อาวุโสผู้นั้นก็เริ่มเอ่ยปากพูดด้วยความตื่นเต้น
“กลอน กลอนสี่บทนี้แม่นางคนใดเป็นผู้แต่งหรือ” เขาถามพลางมองกระดาษสี่แผ่นในมือ
เขาถือกระดาษสี่แผ่นนั้นไว้ในมืออย่างทะนุถนอม ไม่ได้กำขยำอย่างไม่ใส่ใจเหมือนแต่ก่อน
ผู้ที่ได้รับเชิญจากองค์หญิงป๋อหยางย่อมต้องมาจากตระกูลใหญ่โตในเมืองหลวงอยู่แล้ว แต่เพื่อมิให้ใช้อำนาจของตระกูลและป้องกันมิให้ผู้อื่นล่วงรู้ชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของเหล่าหญิงสาว กลอนทุกบทจึงมิได้ลงชื่อเอาไว้ และแบ่งแยกด้วยหมายเลขบนโต๊ะของแต่ละคนแทน
พอเห็นท่าทางตื่นเต้นของผู้อาวุโส คนทั้งห้องก็เข้าใจในทันทีว่านั่นคือบทกลอนชิ้นเอกของวันนี้
เหล่าหญิงสาวนั่งหลังตรงอย่างสง่างามอยู่ที่โต๊ะของตนเอง รอฟังคำยินดีจากทุกคน
“สิบสอง สิบสาม สิบสี่ สิบห้า…” โชคดีที่ผู้อาวุโสไม่ปล่อยให้ทุกคนต้องรอนาน แล้วขานเรียกหมายเลขในทันใด