พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 423 ข่าวลือ
“เกาหลิงปอ ช่างร้ายกาจนัก!”
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว หลูซืออันยังคงแค้นฝังใจ โดยเฉพาะเมื่อถึงช่วงปลายเดือนเจ็ดย่างเดือนแปดที่เขาจะต้องออกราชการนอกเมือง
ไม่แปลกใจที่เขาจะโกรธแค้นนัก เพราะเดิมทีเขาต้องไปตะวันตกเฉียงเหนือก็ว่าหนักแล้ว ใครจะไปคิดเล่าว่าคำพูดของเกาหลิงปอแค่ไม่กี่คำ ทำให้สุดท้ายเขาต้องเดินทางไปยังเมืองหนานโจว
จะว่าไปเหตุผลของเกาหลิงปอก็ฟังขึ้นอยู่บ้าง เพราะบ้านของเจียงเหวินหยวนอยู่ที่เมืองหนานโจว เขาเคยบุกทำลายพวกคนป่าเถื่อนจากตอนใต้ ดังนั้นแล้ว เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจถึงวีรกรรมของเจียงเหวินหยวน ก็ต้องเริ่มสืบตั้งแต่รากเหง้าของเขาเสียก่อน
ฟังเข้าท่าก็จริง แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่านี่มันเป็นการเอาชีวิตไปเสี่ยงชัดๆ เพราะที่เมืองหนานโจวมีแต่โรคระบาดเต็มไปหมด สมมติว่าเข้าไปในเมืองนั้นสิบคน ก็คงรอดออกมาแค่คนเดียว ส่วนอีกหนึ่งคนที่รอดออกมาก็คงมีโรคภัยติดตัวไปตลอดชีวิต
นี่มันเชือดไก่ให้ลิงดูชัดๆ ราวกับต้องการประกาศศักดิ์ดาให้รู้ว่า ใครที่ต่อกรกับเกาหลิงปอ จะต้องพบกับความพินาศ!
ขุนนางที่ต้องออกราชการนอกเมืองหลวงต่างก็จำใจ ถ้าเป็นไปได้ก็ยังอยากจะยื้อเวลาอยู่ในเมืองหลวงไปให้นานที่สุดเท่าที่จะยื้อได้ หลูซืออันก็เช่นกัน แถมสถานที่ที่เขาจะต้องไปนั้นอย่างกับนรกบนดิน คนในครอบครัวของเขาแทบจะเตรียมงานศพล่วงหน้ากันไม่หวาดไม่ไหว ซ้ำทางการก็เร่งให้เขารีบออกนอกเมืองหลวงเพื่อรับตำแหน่งใหม่ ไม่รู้ว่าจะรีบกันด้วยเหตุใด
“นี่ส่งให้ไปรับตำแหน่งใหม่ หรือว่าส่งไปตายกันแน่” หลูซืออันวางแก้วเหล้าลง น้ำเสียงของเขาทั้งโมโหทั้งเศร้าโศกในคราเดียวกัน
ในตอนนี้ เหล่าเพื่อนฝูงที่มาดื่มเลี้ยงส่งเขาในหอเต๋อเซิ่ง ต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน
ว่ากันว่าคนที่อารมณ์ไม่ดีมักจะเมาง่าย พวกคนที่นั่งดื่มอยู่บางส่วนก็เริ่มมีอาการมึนเมากันแล้ว
“…ความผิดบ้าบออะไรกัน ก็แค่เผลอไปดูหมิ่นพวกทหารนิดเดียว แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยหรืออย่างไรกัน…” ชายผู้หนึ่งวางแก้วเหล้าลงแล้วเอ่ยต่อ “มีบุญคุณต่อแผ่นดิน แล้วไง คราก่อนกรณีของหวังเหวินเฉิงก็เช่นกัน โดนสั่งให้ฆ่าก็ฆ่าไปเลย ไม่เห็นจะต้องมีเหตุผลร้อยแปดอะไรมากมาย… แล้วดูตอนนี้สิ ระดับขุนนางอย่างใต้เท้าหลู แค่เอ่ยถึงพวกทหารแค่นี้ก็มิได้เลยหรืออย่างไร ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรกันไปหมดแล้วหรือ!”
“ก็แล้วอย่างไรเล่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพวกทหารเลย ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเกาหลิงปอต่างหาก!” ชายอีกคนเอ่ยขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง
ประโยคเมื่อครู่ทำเอาบรรยากาศที่ครึกครื้นแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงัด
นั่นสินะ เป็นเพราะเจ้าเกาหลิงปอนั่นแหละ แถมเจ้านั่นเป็นคนพูดจาฟังขึ้นอีกด้วย สำหรับหลูซืออันแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าสลดใจยิ่งนัก
“วันนี้วันฉลองดื่มเลี้ยงส่งให้กับซืออัน เรื่องอื่นพักไว้ก่อนเถอะ!” เหล่าเพื่อนฝูงพยายามสร้างบรรยากาศให้คึกคัก
“ใช่แล้ว หลูซืออันเพื่อนรัก ข้ามีของขวัญชั้นเยี่ยมจะมอบให้เจ้าด้วย” ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น พลางหยิบขวดดินเผาขึ้นมา
ทุกคนต่างสงสัยว่าในนั้นคืออะไร
“นี่เป็นยาที่ข้าไปปล้นมาจากบ้านของบัณฑิตถง” เขาเอ่ยออกมาอย่างภูมิใจ
สิ้นประโยคเมื่อครู่ ทำเอาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อสามปีก่อน เรื่องราวของบัณฑิตถงที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพอีกครั้งกลายเป็นข่าวประหลาดที่แพร่สะพัดอยู่ช่วงหนึ่ง ว่ากันว่า เส้นผมของเขาจากที่เคยเป็นสีขาวก็กลับกลายเป็นสีดำ ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่งราวกลับว่าได้ย้อนวัยไปตอนหนุ่มสาว นี่คงไม่ใช่ผลจากการที่เขาเล่นแร่แปรธาตุแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะหมอเทวดาผู้นั้น ที่นำเอายาวิเศษมาให้เขา
ภายหลังหมอเทวดาผู้นั้นจู่ๆ ก็หายตัวไป แต่ต่อมาก็ได้ยินว่าหมอเทวดาผู้นั้นได้ประจำอยู่ที่ร้านขายยาแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าพวกตระกูลถงและตระกูลเผิงก็เคยซื้อยาเหล่านั้นจากร้านขายยาแห่งนี้
เพียงแต่ว่ายาเหล่านั้นหายากเสียเหลือเกิน ไม่ว่าใครก็หาซื้อไม่ทัน โดยเพราะช่วงสองปีมานี้ที่ยาขาดตลาด ดังนั้นยาที่ถูกเก็บรักษาอยู่ในบ้านตระกูลถงและตระกูลเผิงจึงกลายเป็นของล้ำค่าขึ้นมาในทันที
คงไม่มีใครเอะใจหรอกว่ามียาหนึ่งขวดหายไปจากบ้าน ถึงแม้ขวดจะมีขนาดเล็กก็จริง แต่ก็เป็นยาวิเศษที่จะทำให้ทุกคนเกิดความตะลึง
“ตอนนั้นที่บัณฑิตถงใช้หินทองรักษา เพราะว่าในอดีตเขาเคยได้รับบาดเจ็บที่หนานโจว แต่ทุกวันนี้เขาไม่ได้ใช้มันแล้ว เพราะเพียงแค่ใช้ยาตัวนี้ก็ทำให้เขากลับมาแข็งแรงกว่าเก่า แถมลูกสาวของเขาดูเด็กกว่าหลานสาวของเขาตั้งหลายปี…” เขาอธิบาย พลางยื่นขวดยา “หลูเพื่อนรัก เจ้าเก็บสิ่งนี้ไว้ เมื่อถึงหนานโจวแล้วสิ่งนี้จะช่วยเจ้าได้”
ไม่เลวเลยนี่
ถึงแม้คำคนเมาจะเชื่อไม่ค่อยได้ แต่ในโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้
ในที่สุดหลูซืออันก็เผยรอยยิ้มออกมา พร้อมยื่นมือรับยาขวดนั้นแล้วเอ่ยขอบคุณ
“พูดถึงอากาศโสโครกและความหนาวเย็น เดิมทีข้าจองนางฟ้าผ่านทางจากเรือนนางฟ้า แต่ดันลืมไปว่าวันนี้เรือนนางฟ้าปิดร้าน” จากนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูเสียดาย “อาหารจานโปรดที่สมญานามว่านางฟ้าผ่านทางถ้าออกจากเมืองหลวงไปก็อดกินน่ะสิ”
“ทำกินเองก็ได้นี่นา” มีคนหัวเราะแล้วพูดแทรกขึ้น
“อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่านางฟ้าผ่านทางแล้วสิ กลายเป็นสุขใจไร้กังวลไปเสีย” คนที่พูดขึ้นก่อนหน้ารีบพยักหน้าตอบ
“เหตุใดเรือนนางฟ้าถึงปิดเล่า ตอนวันฉลองปีใหม่ก็ไม่เห็นว่าจะปิดร้านนี่” มีคนสงสัย
“เหมือนลูกน้องในร้านบอกว่าต้องไปรับพวกเถ้าแก่” มีคนอธิบาย “แต่รับเถ้าแก่ก็ไม่ถึงกับต้องปิดร้านเลยนี่นา ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
กลายเป็นว่าหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องร้านอาหารเสียแล้ว จากนั้นมีคนกระแอมขึ้น
“เรื่องของคนอื่นเอาไว้ก่อนน่า เรามาฉลองให้กับหลูซืออันเพื่อนรักกันดีกว่า”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว อดีตที่ผ่านมาช่างมัน เจ้าคิดถึงวันหน้าของเจ้าสิ ข้าว่าอย่างไรท่านเฉินก็คงหาวิธีช่วยเจ้าอยู่แล้ว ไม่แน่นะบางทีเจ้าอาจจะไม่ต้องไปถึงหนานโจว ก็อาจจะมีคำสั่งใหม่เข้ามาก็เป็นได้” มีคนรีบดึงหัวข้อสนทนากลับมาเรื่องเดิม
หลูซืออันยิ้มออกมาอย่างฝืนใจ ก่อนจะดื่มเหล้าพร้อมกับทุกคน
นั่นสินะ จะมีทางไหนอีกล่ะ คงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เฉินเซ่า ให้รีบหาวิธีพาเขากลับมายังเมืองหลวง แต่ก็อย่างที่โบราณกล่าวไว้ เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน ในเมืองหลวงมีผู้คนมากมาย ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่ยังคงจำเขาได้…
หลูซืออันคว้าจอกเหล้าขึ้นมาดื่มยกใหญ่ ต่อด้วยกับข้าวคำโต แต่ไม่ว่าอย่างไรก็กลบรสชาติที่ขมขื่นนี้ไปไม่ได้
ในห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยบรรยากาศอันคึกคัก แต่ทันใดนั้นเอง ความโกลาหลได้เกิดขึ้นบนท้องถนนที่มาพร้อมกับเสียงร้องของผู้คน ทุกคนที่อยู่ในห้องหันหน้ามองตากัน คนที่นั่งอยู่ใกล้หน้าต่างมากที่สุดอาสาลุกขึ้นยืนผลักบานหน้าต่างออกไป ก่อนจะชำเลืองดูเหตุการณ์ภายนอก
เสียงร้องเดิมเริ่มดังขึ้นก่อนจะดังเข้ามาให้ห้อง
“บนถนนมีแต่คนเต็มไปหมด” คนเห็นเหตการณ์เอ่ยขึ้น
“ปกติบนถนนก็มีคนเยอะอยู่แล้วนี่” อีกคนเอ่ยหัวเราะ
“ไม่ใช่แบบนั้น ดูเหมือนว่าเกิดเรื่องอะไรสักอย่าง มีคนเดินเป็นขบวน แถมยังวางอะไรสักอย่างลงไปบนพื้นอีกด้วย…”
ความใคร่รู้ของคนในเมืองหลวงไม่เข้าใครออกใคร ทั้งไม่แบ่งแยกชั้นวรรณะและอายุอานาม ผู้คนด้านในหอ
เต๋อเซิ่งออกมาดูเหตุการณ์อย่างอดไม่ได้ แล้วก็เป็นไปตามนั้น บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังยืนมุงดูกัน แถมจำนวนคนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ หน้าต่างแต่ละบานภายในหอเต๋อเซิ่งเริ่มทยอยเปิดออก ทางเดินก็เต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าของผู้คน
“พวกเขาวางไหเหล้ากับถ้วยเหล้าลงบนพื้น” มีคนเอ่ยขึ้น พลางมองไปที่บนถนน
“ทำไมต้องวางไหเหล้าบนถนนด้วย เป็นกลยุทธ์ของร้านอาหารอย่างนั้นหรือ” บางคนคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“พวกเจ้า ดูนั่นสิ ถนนทั้งสายมีแต่ไหเหล้าวางสลับกันเต็มไปหมดเลย” มีคนชี้นิ้วออกไปเพื่อให้ดูไหเหล้าที่ถูกวางอยู่บนถนน
พอมองดูอีกทีก็พบว่าบนถนนตอนนี้มีผู้คนมายืนมุงดูมากขึ้นกว่าเดิม
ทุกคนที่อยู่ในห้องสังสรรค์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น จะเหลือก็แต่หลูซืออันคนเดียวที่ยังคงนั่งจิบเหล้าอย่างสบายใจ
ที่นี่คือเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง มีเรื่องแปลกใหม่เกิดขึ้นไม้เว้น น่าเสียดายที่ตนเองจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ไปสักพัก บางทีอาจจะไม่ได้เห็นไปตลอดชีวิตแล้วก็ได้ ในช่วงเวลาอันครึกครื้นนี้ ภายในจิตใจของหลูซืออันกลับว่างเปล่าและหนาวเหน็บ
เขาดื่มเหล้าเสร็จแล้วลุกขึ้นยืน มองไปยังเหล่าพรรคพวกที่กำลังก้มๆ เงยๆ ดูเหตุการณ์ด้านนอก เขาเปิดประตูเดินจากไปโดยที่ไม่ได้บอกลากับเพื่อนฝูง
ตรงทางเดินในหอเต๋อเซิ่งเองก็เต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนที่วิ่งเข้าออกตามห้อง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“พวกเจ้าถามแล้วหรือยัง”
เป็นเสียงของผู้คนที่ถามไถ่ไปมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ทั้งด้านนอกและด้านในเต็มไปด้วยเสียงผู้คน แต่หลูซืออันยังคงย่ำเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ
เสียงพูดคุยของผู้คนที่อยู่บนถนนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นไหเหล้าขอรับ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังถูกผู้คนมากหน้ารุมถาม
คำตอบนั้นทำให้เกิดคำถามต่อมา
“เป็นเหล้าแบบใดกัน”
“จะทำขายหรือ”
“ไม่ได้จะขาย แต่แจกจ่ายให้ทุกคนขอรับ” ชายคนนั้นตอบ
มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยอย่างนั้นหรือ! พวกเขาได้ยินเข้าก็พากันคึกคัก ถนนทั้งสายแทบจะระเบิดไปด้วยเสียงของผู้คน
“อย่าเพิ่งเบียดกัน อย่าเพิ่งเบียดกัน! ตอนนี้ยังไม่แจกขอรับ ต้องรอให้เถ้าแก่มาก่อนถึงจะแจกได้ขอรับ”
เถ้าแก่อย่างนั้นหรือ เถ้าแก่ที่ไหนกันนะ
หลูซืออันที่กำลังจะเดินผ่านฝูงชนไป ก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก พลางนึกถึงคำพูดจากสหายที่เพิ่งคุยกันก่อนที่เขาออกมา
‘เหตุใดเรือนนางฟ้าถึงปิดเล่า ตอนวันฉลองปีใหม่ก็ไม่เห็นว่าจะปิดร้าน’ ‘เหมือนลูกน้องในร้านบอกว่าต้องไปรับพวกเถ้าแก่’
หรือว่า เถ้าแก่ที่ชายผู้นั้นพูดถึง จะเป็นเถ้าแก่ของเรือนนางฟ้า
ว่าแล้วเชียวว่าต้องมาขายเหล้าเพื่อการตลาด
หลูซืออันพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงลอยมาจากด้านหลัง
“เถ้าแก่ตายแล้วงั้นหรือ”
เถ้าแก่ที่ตายแล้ว
หลูซืออันเมื่อได้ยินดังนั้นก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไป เขาเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างถนนถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน ชายผู้นั้นกำลังพยักหน้าตอบคำถามที่ผู้คนต่างถามกันเข้ามา
“เป็นอย่างที่ท่านว่าขอรับ เถ้าแก่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว และนี่เป็นพิธีกรรมในการส่งเถ้าแก่ไปสู่สุขคติขอรับ” ชายคนนั้นอธิบาย “พวกข้าถูกจ้างมาเพื่อแจกไหเหล้าให้กับทุกคนขอรับ”
ไปสู่สุขคติ!
ทำพิธีส่งวิญญาณไปสู่สุขคติอย่างนั้นหรือ
“พิธีกรรมส่งวิญญาณไปสู่สุขคติ เริ่มจากเข้ามาทางประตูเมืองฝั่งตะวันตก แล้วตรงยาวไปจนถึงประตูเมืองฝั่งตะวันออก พวกข้าได้วางไหเหล้าไว้ตลอดทางเดินแล้วขอรับ” ชายคนนั้นอธิบายต่อ
นั่นก็หมายความว่า ไหเหล้าพวกนี้ถูกวางบนถนนที่ตัดผ่านเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ!
หลูซืออันเขย่งเท้ามองดูอย่างอดไม่ แค่ถนนสายนี้สายเดียวก็มีชายหนุ่มที่เหมือนกับชายคนนั้นอยู่ประมาณสิบคนได้ จากประตูตะวันตกไปยังประตูตะวันออก จะต้องผ่านถนนแบบนี้สักสิบกว่าสายได้ ถ้าอย่างนั้นต้องจ้างสักกี่คนกัน แล้วจะต้องวางไหเหล้าอีกเท่าไหร่กัน!
“เหล้าพวกนี้เป็นเหล้าอะไรหรือ ก็คงหนีไม่พ้นเหล้าถูกๆ สินะ”
เถ้าแก่ผู้นี้เป็นใคร ตายได้อย่างไร คงไม่ใช่คำถามสำคัญของผู้คนในเมือง แต่คำถามสำคัญกลับเป็นประโยคเมื่อครู่นี้
เหล้าที่เอามาแจกกันแบบนี้ จะดีสักแค่ไหนเชียว
“นี่เป็นเหล้าที่เถ้าแก่ใหญ่บ่มเอง มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีขายที่ไหน ได้ยินมาว่าเป็นเหล้าที่แรงที่สุดในปฐพีอีกด้วยนะขอรับ” ชายผู้นั้นอธิบาย
สิ้นประโยคเมื่อครู่ ผู้คนต่างพากันถกเถียงเซ็งแซ่อีกครั้ง และกล่าวหาว่าชายคนนั้นต้องพูดอะไรผิดไปแน่ๆ
“เหล้าที่แรงที่สุดคือเหล้าอวิ๋นซางของหอเต๋อเซิ่งต่างหาก…”
“…อะไรกัน ต้องเป็นเหล้าพุทราแดงสิ…”
ชายหนุ่มที่ต้องเผชิญหน้ากับความเห็นมากมาย ก็อดไม่ที่จะแสดงสีหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาว่ากันมาอีกที ทุกท่านได้ชิมแล้วเดี๋ยวก็รู้เองขอรับ” เขาตอบ
ประโยคนี้ทำให้ผู้คนต่างถกเถียงกันมากกว่าเดิม ทั้งยังเริ่มมีคนกรูกันเข้ามาทางนี้มากขึ้น
หลูซืออันไม่ได้สนใจราคาของเหล้านี้แต่อย่างใด แค่ดูจากจำนวนพวกที่ถูกจ้างมาก็พอมองออกแล้วว่าเหล้านี้คงแพงไม่น้อยแน่นอน
ชายหนุ่มที่น่าจะเป็นลูกจ้างร้าน ดูเผินๆ ก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่พอลองสังเกตดูก็จะเห็นได้ว่าได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี การพูดการจาฉะฉานชัดเจน คงได้รับค่าตอบแทนไม่น้อยเลยทีเดียว
ทุกวันนี้ คนเมืองหลวงบางคนก็เริ่มทำตัวฟุ่มเฟือยมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่งานแต่งงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานศพด้วย
แต่ว่าเมืองหลวงที่รุ่งเรืองและเฟื่องฟูแห่งนี้
ต่อไปก็คงไม่มีความเกี่ยวพันอะไรกับเขาแล้ว
หลูซืออันเบือนหน้าหนีแล้วถอนหายใจ
ไม่รู้ว่าตัวเองในวันหน้า เมื่อต้องจากโลกนี้ไปแล้ว จะเคว้งคว้างขนาดไหน
“เถ้าแก่ที่ว่านี่เป็นใครกันนะ” เสียงคำถามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ใครกันแน่นะ ไม่น่าใช่พวกขุนนางหรอก เพราะพวกนั้นคงไม่เสี่ยงทำอะไรแบบนี้แน่นอน ก็คงมีแต่พวกเศรษฐีเท่านั้นแหละที่จะทำอะไรเช่นนี้ได้
“ว่ากันว่าเป็นทหารที่ตายในสนามรบ”
“มีกันตั้งห้าคน ตายพร้อมกันด้วย ช่างกล้าหาญยิ่งนัก”
เป็นทหาร! แถมตายในสนามรบ!
คนมีเงินที่ไหนจะไปเป็นทหารกัน ยิ่งไปกว่านั้น คนมีเงินแบบไหนกันที่จะยอมตายในที่แบบนั้น
เป็นไปไม่ได้หรอก!
สงครามตะวันตกเฉียงเหนือ ห้าคน ตายในสนามรบ บ้านอยู่ในเมืองหลวง
เหตุใดฟังแล้วถึงได้คุ้นหูเช่นนี้นะ…
ฝีเท้าของหลูซืออันชะงักไป
หรือว่าจะเป็น…